พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2246 ตกตะลึงอ้าปากค้าง
เมื่อเห็นความเคลื่อนไหว เสวี่ยหลิงหลงก็ตกใจเช่นกัน นางตัวสั่นหวาดกลัว
กลับเป็นเสวี่ยเอ๋อร์ที่โบกมือ กันทหารที่พุ่งเข้ามาให้ออกไป
หลังจากทหารถอยออกไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็จ้องสวีถังหรานที่กำลังคุกเข่า พร้อมกล่าวเสียงเย็นว่า “เรื่องที่เจ้าเองก็ไม่อยากทำ แต่กลับให้ท้ายส่งเสริมฝ่าบาทไปทำ บอกมา มีเจตนาอะไรกันแน่?”
สวีถังหรานเงยหน้าอย่างตกใจกลัว บีบน้ำตาออกมา ในดวงตาสองข้างมีน้ำตารื้น ตบอกพร้อมทำเสียงสะอื้น อธิบายโดยใช้คำพูดที่มาจากใจ “เหนียงเหนียง ข้าน้อยจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ไม่มีใจคิดเป็นอื่นแน่นอน ก็แค่เลอะเลือนไปชั่วขณะเท่านั้นเอง! เหนียงเหนียงโปรดตรวจสอบให้กระจ่าง หากมีเจตนาไม่ซื่อแม้แต่น้อย ข้าน้อยยินดีชดใช้ความผิดด้วยความตาย!”
อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างเด็ดขาดว่า “ดี! ครั้งนี้ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้ง! ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ในวังหลังของตำหนักสวรรค์แห่งนี้ใครคุม?”
สวีถังหรานตอบเสียงสะอื้น “ยอมเป็นเหนียงเหนียงอยู่แล้ว เหนียงเหนียงเป็นประมุขของวังหลัง ฝ่าบาทเคยเอ่ยวาจาอันมีค่าไว้ชัดเจนแล้ว”
อวิ๋นจือชิวใบหน้าเยียบเย็น “นับว่าเจ้ายังมีความจำอยู่บ้าง! ใต้หล้าคือใต้หล้าของฝ่าบาท วังหลังก็คือวังหลังของข้า หากฝ่าบาทต้องการมายุ่งเรื่องวังหลัง ก็ต้องผ่านข้าให้ได้ก่อน ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ก็อย่าได้คิดว่าจะยัดใครเข้ามาในวังหลังได้ตามอำเภอใจ คิดว่าวังหลังเป็นหอโคมเขียวหรืออย่างไร? ถึงขั้นไม่บอกเรื่องนี้ให้ข้ารู้ล่วงหน้าด้วยซ้ำ สวีถังหราน เจ้าบังอาจมากนะ เจ้าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแล้วใช่ไหม? ใครทำให้เจ้ามีความกล้าที่จะทำอย่างนี้ บอกมา!”
สวีถังหรานโขกศีรษะกับพื้น กล่าวเสียงสะอื้นว่า “ข้าน้อยสมควรตายหมื่นครั้ง ข้าน้อยเลอะเลือน ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ล้วนเป็นความผิดของข้าน้อย!” ต่อให้ตายก็ไม่กล้าเอ่ยถึงผู้บงการเบื้องหลัง
“เห็นแก่ที่เป็นความผิดครั้งแรก และยังทำไม่สำเร็จด้วย ข้าจะไม่ถือสาเจ้าแล้วกัน แต่เจ้าฟังข้าวไว้ให้ดีนะ เรื่องของวังหลังไม่ใช่แค่เรื่องในครอบครัวของข้ากับฝ่าบาท แต่เป็นเรื่องใหญ่ของใต้หล้า ทำให้วังหลังเกิดหายนะ ก็เท่ากับทำให้ใต้หล้าเกิดหายนะ ผู้รอดชีวิตยังกวาดล้างไม่หมด ศัตรูของฝ่าบาทมีมากมาย ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรที่เจตนาไม่ดี ข้าพูดถูกหรือเปล่า?” อวิ๋นจือชิวถาม
สวีถังหรานพยักหน้าเอ่ยรับ “เหนียงเหนียงกล่าวมีเหตุผล!”
อวิ๋นจือชิวพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ส่วนตำแหน่งของเจ้าในอนาคต คงไม่ต้องให้ข้าพูดมากแล้ว เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจ ตัวอยู่ในตำแหน่งหน่วยตรวจการ เป็นหูตาของตำหนักสวรรค์ ต้องถลึงตาจ้องเอาไว้ให้ข้าด้วย ไม่อนุญาตให้นางแพศยาเจตนาไม่ซื่อที่ไหนมามอมเมาฝ่าบาท ถ้าพบว่าข้างกายฝ่าบาทมีผู้หญิงที่อยู่นอกวัง ให้มารายงานข้าทันที นี่คือเรื่องที่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของข้า ส่งให้ข้าจัดการก็เป็นเรื่องที่ชอบธรรม ใครว่าอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าเจ้ากล้าปิดบังไม่ยอมรายงาน ข้าจะเด็ดหัวเจ้า!”
“ขอรับ! ข้าน้อยจดจำไว้ในใจแล้ว!” สวีถังหรานก้มหน้าเอ่ยรับ แต่ในใจกลับร้องอย่างขื่นขม ฝ่าบาทออกไปหาความสำราญ เจ้าจะให้ข้ารายงานอย่างไร? เรื่องของฝ่าบาทกับหวงฝู่จวินโหรว ถ้าจะกล้ารายงานเจ้าได้อย่างไร?
ตอนนี้เขาหวังเพียงว่าเหมียวอี้จะเลิกไปมาหาสู่กันหวงฝู่จวินโหรวให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้าวันไหนเผยพิรุธขึ้นมา เกรงว่าต่อให้เขาจะแกล้งโง่แต่ก็ปิดบังไม่ไหวอยู่ดี
ในใจขื่นขมจริงๆ สวีถังหรานพบว่าขอเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ อวิ๋นจือชิวก็ได้นำเชือกมามัดคอเขาไว้แล้ว…
หลังจากขู่ให้สองสามีภรรยาตกใจ และไล่ออกไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็หันกลับมาบอกเสวี่ยเอ๋อร์ว่า “ไป พวกเราไปพบฝ่าบาทสักหน่อย!” ในน้ำเสียงเผยกลิ่นอายสังหารพุ่งพล่าน
“เพคะ!” เสวี่ยเอ๋อร์ออกแรงพยักหน้า สำหรับเรื่องในด้านนี้ นางยืนหยัดอยู่ข้างอวิ๋นจือชิว เรียกได้ว่ามีศัตรูคนเดียวกัน
ที่จริงในสายตาของพวกเสวี่ยเอ๋อร์ ยังรู้สึกว่าเหนียงเหนียงมีเมตตาเกินไป ผู้หญิงที่ไร้ระเบียบอย่างนี้ ทางที่ดีอย่าให้เข้ามาในวังหลังแม้แต่คนเดียว ผู้หญิงของฝ่าบาทมีมากพอแล้ว ทำไมยังต้องใส่คนเข้ามาในวังหลังอีก?
ตำหนักดาราจักร หยางเจาชิงที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ในตำหนักชำเลืองไปทางหอสมุดเป็นระยะ ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า เมื่อครู่เห็นรางๆว่า ในหอสมุดไม่ได้มีแค่ฝ่าบาทคนเดียว เหมือนจะมีคนเพิ่มอีกคน
ในหอสมุด เหมียวอี้กำลังถือม้วนหนังสือพลิกอ่าน ข้างหลังเขามีคนที่อยู่ในชุดดำมีหมวกยืนอยู่ กำลังถ่ายทอดเสียงรายงานอะไรสักอย่าง
ขณะที่ฟังรายงาน เหมียวอี้ก็กระตุกมุมปากเป็นบางครั้ง ความสนใจไม่ได้อยู่บนม้วนหนังสือเลย ใช้มือพลิกไปมาส่งเดช
ไม่ใช่รายงานอะไรอย่างอื่น หลังจากรายชื่อแต่งตั้งสนมสวรรค์ส่งไปถึงตำหนักนารีสวรรค์ เหมียวอี้ก็กำลังจับตาดูปฏิกิริยาของอวิ๋นจือชิว สิ่งที่คนชุดดำคนนี้รายงานก็คือเรื่องที่อวิ๋นจือชิวตำหนิสั่งสอนสวีถังหราน
ปฏิกิริยาที่รุนแรงของอวิ๋นจือชิวทำให้เหมียวอี้หวาดระแวง เริ่มสงสัยว่าอวิ๋นจือชิวรู้อะไรมาแล้วหรือเปล่า
ในขณะเดียวกัน เรื่องที่สวีถังหรานยอมเป็นแพะรับบาปเอง ต่อให้ตายก็ไม่ยอมบอก ก็ทำให้เขาชื่นชมมาก พบว่าการทำเรื่องแบบนี้เหมาะกับสวีถังหรานที่สุด ตัวเองนับว่ามองคนไม่ผิด
เมื่อรู้ว่าอวิ๋นจือชิวจะมาพบ เหมียวอี้ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง โยนม้วนหนังสือกลับไว้บนชั้นหนังสือเสียเลย แล้วก็เลี้ยวหนีทันที เตรียมจะหาที่หลบภัยสักหน่อย
ทว่าตอนที่เดินมาถึงประตูตำหนักดาราจักร เหมียวอี้ก็พลันหยุดฝีเท้าอีก หลบเหรอ? จะไปหลบที่ไหนล่ะ? แบบนั้นแสดงว่าต่อไปจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเองก็สง่าผ่าเผย ทำไมต้องหลบด้วยล่ะ ถ้าหลบแล้วจะไม่เป็นการพิสูจน์ว่าตัวเองกินปูนร้อนท้องหรอกหรือ
ดังนั้นหยางเจาชิงจึงไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาคิดจะทำอะไร เห็นเพียงฝ่าบาทหันกลับมา เดินกลับมานั่งลงหลังโต๊ะยาว หยิบแผ่นหยกขึ้นมาอ่านอย่างเสแสร้ง เพียงแต่สายตาที่ชำเลืองไปนอกประตูเป็นระยะ เหมือนจะไปทรยศใครมา
ผ่านไปครู่เดียว ด้านนอกก็มีรายงานว่า ราชินีสวรรค์เสด็จมาแล้ว ขอเข้าเฝ้าขอรับ
หยางเจาชิงเข้าใจกระจ่างทันที พอจะเข้าใจถึงพฤติกรรมผิดปกติเมื่อครู่นี้ของเหมียวอี้แล้ว อดไม่ได้ที่จะชำเลืองไปทางหอสมุด สงสัยนิดหน่อยว่าเหมียวอี้รู้ได้อย่างไรว่าเหนียงเหนียงจะมา
เสวี่ยเอ๋อร์รออยู่นอกตำหนัก เจอกับเชียนเอ๋อร์ที่คอยรับใช้เหมียวอี้โดยเฉพาะอยู่ตรงประตู อวิ๋นจือชิวท่าทางสง่าภูมิฐาน เงยหน้าแอ่นอกเดินเข้าตำหนักดาราจักรอย่างสง่าผ่าเผย
หยางเจาชิงโค้งตัวคำนับ
อวิ๋นจือชิวรักษาธรรมเนียม หลังจากหยุดยืนแล้ว ก็ย่อตัวทำความเคารพเหมียวอี้ที่นั่งหลังโต๊ะยาวก่อน “หม่อมฉันคำนับฝ่าบาท”
“เหอะๆ!” เหมียวอี้วางแผ่นหยกในมือลง เดินอ้อมออกมา ยื่นมือไปประคองด้วยตัวเอง “น้องชิว เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน ตรงนี้ไม่มีคนนอก จะเกรงใจขนาดนี้ไปทำไม”
“จะเสียธรรมเนียมไม่ได้!” อวิ๋นจือชิวสีหน้าเรียบเฉย
“เหอะๆ!” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ ทำท่าเหมือนบอกว่าตามใจเจ้า แล้วถามว่า “ทางเจ้ามีงานตั้งเยอะ ทำไมมีเวลามาที่นี่ได้?”
อวิ๋นจือชิวกล่าวเสียงเรียบว่า “หม่อมฉันกังวลว่าจะทำให้ฝ่าบาทไม่พอใจ เลยตั้งใจมาอธิบายสักหน่อยเพคะ”
“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้?” เหมียวอี้ถามเหมือนแปลกใจ
อวิ๋นจือชิวจ้องตาเขา “หม่อมฉันขีดรายชื่อหวงฝู่จวินโหรวออกจากรายการแต่งตั้งสนมแล้ว ไม่ไว้หน้าฝ่าบาท กลัวว่าจะทำให้ฝ่าบาทโกรธเคือง จึงมายอมรับผิดเพคะ”
หยางเจาชิงที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ขยับมุมปากเล็กน้อย พึมพำในใจว่า จบเห่แล้ว นี่มาหาเรื่องกันชัดๆ โถ่เหนียงเหนียง ท่านควรจะพักสักหน่อยเถอะ ฝ่าบาทเพิ่งจะเข้าวังสวรรค์ ท่านอย่าเคลื่อนไหวใหญ่โตจนฝ่าบาทหาทางลงไม่ได้เลย!
เหมียวอี้หนังศีรษะชาวาบแล้ว แต่ภายนอกยังกล่าวอย่างเยือกเย็น “ก็ยังนึกว่าเรื่องอะไรซะอีก ที่แท้ก็เรื่องนี้ ข้าก็ไม่มีสมาธิมารับมือกับเรื่องผู้หญิงกลุ่มนี้หรอก ไม่มีกะจิตกะใจจะมาพัวพันด้วย บอกไว้แล้วว่าเรื่องของวังหลังให้เจ้าจัดการ ในเมื่อเจ้าไม่อนุญาต เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ข้าจะมีอะไรให้โกรธล่ะ เพียงแต่ข้าก็แปลกใจนิดหน่อย ไม่ได้ถือสาที่จะมีหวงฝู่จวินโหรวเพิ่มอีกสักคน จะได้มีประโยชน์ต่อการรวบสมาคมวีรชน แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าก็เป็นคนเข้าใจหลักเหตุผล ทำไมไม่ยอมตอบรับล่ะ?”
ที่จริงแล้ว เขายังคิดจะแก้ไขปัญหาเรื่องหวงฝู่จวินโหรวให้เรียบร้อย จะให้คำชี้แจงกับหวงฝู่จวินโหรว
“ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว บทบาทของสมาคมวีรชนอ่อนแอลงแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ฝ่าบาทเสียสละตัวเองแต่งงานรับเข้ามาหรอก” อวิ๋นจือชิวกล่าว
เหมียวอี้โบกมือ “จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก ถ้ามีหูมีตาที่เราควบคุมได้เอาไว้คอยตรวจสอบใต้หล้าก็เป็นเรื่องดี ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร”
“ถ้าฝ่าบาทมีความตั้งใจนี้จริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องทำเองหรอกเพคะ ลดเกียรติลดฐานะ ประมุขชิงยังให้ซ่างกวนชิงควบคุมได้เลย ฝ่าบาทไม่สามารถเชื่อใจเจาชิงได้หรือเพคะ? ตามที่ข้ามอง ให้เจาชิงแต่งงานรับไว้เองก็สิ้นเรื่องแล้ว ได้ประโยชน์ไม่ต่างกัน” อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างใจเย็น
เหมียวอี้มุมปากกระตุก หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ รีบปฏิเสธ “เหนียงเหนียง ไม่เหมาะสมขอรับ!”
อวิ๋นจือชิวเอียงหน้ามองมา “ทำไมจะไม่เหมาะสม? หรือว่ากลัวหลินผิงผิง? เจ้าไม่ต้องห่วง ทางฝั่งผิงผิงนั้นข้าคุยได้ พวกสนมนักโทษที่ถูกคุมตัวไว้ที่ตำหนักอุทยาน ข้าก็นำมาตบรางวัลให้เจ้าได้หลายคน”
หยางเจาชิงรีบบอกว่า “ข้าซื่อสัตย์ต่อผิงผิง ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้…” สรุปก็คือพูดคล้ายๆ กับสวีถังหราน
โชคดีที่อวิ๋นจือชิวไม่ถือโอกาสใช้คำพูดนี้วางกับดักเหมือนที่ทำกับสวีถังหราน เป็นเพราะสวีถังหรานกล้ามาก้าวก่ายเรื่องในครอบครัวของนาง ทำให้นางโมโหแล้ว ก็แค่คิดจะสั่งสอนสวีถังหรานเท่านั้น อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม “สวีถังหรานปัดความรับผิดชอบแบบนี้ เจ้าก็เหมือนกัน ฝ่าบาท คนสนิทข้างกายท่านสองคนนี้ ถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับผู้หญิงอย่างพวกเราเลยนะ ถ้าฝ่าบาทเรียนรู้อะไรบ้าง หม่อมฉันคงดีใจตายเลย”
คำพูดนี้ทำให้เหมียวอี้อับอายนิดหน่อย “ข้าแย่ขนาดนั้นเชียวเหรอ? เรื่องบางเรื่องข้าก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้”
ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะตอบอย่างไม่ลังเล “กับเรื่องนี้ ไม่ว่าใครก็คุยง่ายทั้งนั้น มีเพียงหวงฝู่จวินโหรวคนเดียวที่ไม่ได้!” ดวงตางามทั้งคู่ก็ยิ่งจ้องตาเหมียวอี้ไม่ละไปไหน ราวกับต้องการจะมองให้ทะลุเข้าไปในหัวใจเขา
เหมียวอี้ถูกนางจ้องจนอึดอัดไปทั้งตัว สาเหตุหลักเป็นเพราะกินปูนร้อนท้อง ขมวดคิ้วถามว่า “เพราะอะไร?”
ไม่เห็นว่าเขายังไม่ยอม ในหัวอวิ๋นจือชิวก็เกิดภาพชุดชั้นในตัวนั้นแวบเข้ามา ไฟโกรธพรั่งพรูอยู่ในใจ “ฝ่าบาทรู้อยู่แก่ใจแต่ยังแกล้งถามเหรอ?”
คำพูดนี้มีความหมายสองชั้น เหมียวอี้แอบกระวนกระวายใจ แต่กลับไม่ยอมรับอย่างซื่อสัตย์ แกล้งโง่ต่อไป “ข้ารู้อะไร?”
อวิ๋นจือชิวตวาดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ไม่ว่าจะมีบุญคุณความแค้นอะไรกับตระกูลโค่ว ไม่ว่าจะช่วงชิงใต้หล้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เรื่องบางเรื่องก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเลือก นั่นก็ช่างเถอะ ถึงยังไงโค่วหลิงซวีก็ได้ชื่อว่าเป็นบิดาบุญธรรมของพวกเรา หวงฝู่จวินโหรวกับโค่วเหวินหลานมีความสัมพันธ์อะไรล่ะ? ตอนรับตำแหน่งอยู่ที่ตลาดสวรรค์ ยังจำที่เจ้าเคยบอกข้าได้ไหม? ความสัมพันธ์ชู้สาวระหว่างโค่วเหวินหลานกับหวงฝู่จวินโหรว ทั้งสองมีความสัมพันธ์กันแบบนั้น แล้วเจ้าอยู่ในฐานะอะไร? เจ้าคืออาของโค่วเหวินหลาน จะรับผู้หญิงของหลานตัวเองมาเป็นสนมเหรอ ช่างคิดได้นะ ยังมีความละอายอยู่มั้ย? เจ้าหน้าด้านไร้ยางอาย แต่ข้ายังอายคน ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ราชันสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยอย่างเจ้าทำเรื่องที่เลวกว่าหมูกับสุนัขแบบนี้ แล้วจะให้คนในใต้หล้ามองเจ้ายังไง…”
เรียกได้ว่าด่าอย่างเจ็บแสบ ด่าสาดเสียเทเสียเหมือนเอาเลือดสุนัขมาสาดหัวเหมียวอี้
“…” เหมียวอี้ถูกด่าจนเหม่อ ถูกด่าจนอ้าปากค้างเถียงไม่ออก พบว่าแม้แต่จะแก้ตัวก็ยังไร้เรี่ยวแรง
ตอนนี้เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าในปีนั้นตอนที่เขากับหวงฝู่จวินโหรวแอบไปเริงรักกัน ชุดชั้นในที่ทิ้งไว้บนเตียงถูกอวิ๋นจือชิวพบแล้ว ตอนนั้นเขากินปูนร้อนท้อง หาข้ออ้างผลักเรื่องนี้ไปที่โค่วเหวินหลาน ตอนนั้นขายผ้าเอาหน้ารอดไปได้ ตอนนี้พอนึกย้อนกลับไป เขาก็แทบจะร้องไห้แล้ว เขาพบว่าตัวเองยกหินทุ่มเท้าตัวเองแท้ๆ