พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2249 เหยียนหลัวหวัง
เมื่อได้ยินอย่างนี้ ทุกคนก็ตะลึงพร้อมกัน อวิ๋นจือชิวที่เคยปาดน้ำตาเบาๆ ก็เงยหน้ามองเขาอย่างงุนงงเช่นกัน
เหมียวอี้ยื่นมืออีกครั้ง กุมมือเรียวสวยของนางไว้ในมือตัวเอง จูงนางเดินอ้อมกำแพงไปที่ตำหนักหน้า
ในตำหนักฟ้าดิน บรรยากาศเคร่งขรึมเป็นทางการ แม่ทัพจำนวนเกือบพันรวมตัวกันอยู่ รอเงียบๆ อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตอนที่เห็นเหมียวอี้จูงมืออวิ๋นจือชิวเดินออกมาด้วยกัน พวกเขาก็งงนิดหน่อย มีคนไม่น้อยเริ่มมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา บางคนก็สุมหัวกระซิบกระซาบกัน ในตำหนักมีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์กระเพื่อมเบาๆ
เมื่อเห็นราชสำนักที่เดิมทีมีบรรยากาศเคร่งขรึมเริ่มวุ่นวายเพราะการปรากฏตัวของนาง อวิ๋นจือชิวที่เดิมทีกังวลอยู่แล้วก็เริ่มประหม่านิดหน่อย
ยามปกติไม่ว่านางจะเจอขุนนางใหญ่คนไหน ต่อให้เจอขุนนางใหญ่เป็นกลุ่ม นางก็ไม่เคยตื่นเต้นอะไรเลย แต่เห็นได้ชัดว่าวันนี้แตกต่างกัน ต่อให้นางมีฐานะสูงในระดับหนึ่งแล้ว ต่อให้ไม่มีกฎบอกไว้ว่าห้ามราชินีสวรรค์ปรากฏตัวที่ราชสำนัก แต่แนวคิดที่ฝังลึกอยู่ในใจคนก็ล้วนคิดว่าวังหลังห้ามแทรกแซงราชกิจ แม้แต่นางเองก็ตระหนักได้ ว่าการปรากฏตัวของนางตอนนี้ค่อนข้างออกนอกลู่นอกทาง นางรู้สึกไม่มั่นใจแล้ว จะไม่ให้ประหม่าได้อย่างไร?
เหมียวอี้เหมือนจะรู้สึกได้ถึงความกระวนกระวายใจจากฝ่ามือของนาง จึงออกแรงกุมมือนางอย่างอบอุ่น ให้ความมั่นใจกับนาง เหมือนกำลังบอกนางว่า มีข้าอยู่ ไม่ต้องกลัว!
การยืนหยัดสนับสนุนของเหมียวอี้ ช่วยคลายความอารมณ์ตื่นเต้นกังวลของนางได้บ้างแล้วจริงๆ อวิ๋นจือชิวแอบสูดหายใจลึก บอกตัวเองว่าต้องสงบนิ่งเยือกเย็น!
เมื่อเดินขึ้นบันได สองสามีภรรยาก็ยืนหันหลังให้บัลลังก์ เหมียวอี้ถือโอกาสยื่นมือบอกใบ้เล็กน้อย อวิ๋นจือชิวที่ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินั่งลงข้างกายเขา หันหน้าเข้าหากลุ่มขุนนางที่ยืนอยู่เบื้องล่าง
โชคดีที่บัลลังก์กว้างเพียงพอ เหมือนเตี้ยเตี้ยหลังหนึ่ง เพียงพอที่จะให้นั่งได้สองคน
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ยืนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาด้านหลังบัลลังก์ ตรงตีนบันไดฝั่งซ้ายและขวามีชิงเยว่และเหยียนซู่ยืนอยู่ คนที่มีข้อมูลอยู่ในใจแล้ว เมื่อเห็นการยืนลักษณะนี้ ก็รู้แล้วว่าเหยียนซู่มาแทนที่หลงซิ่นแล้ว หลายคนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหลงซิ่น อยู่ดีๆ เหตุใดจึงเสียตำแหน่งคนสนิทข้างกายฝ่าบาท
ส่วนหลงซิ่นก็ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มขุนนางในตำหนัก มองไปที่เหยียนซู่แววตาหลากหลายความรู้สึก ตอนที่มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของเขา เหมียวอี้ก็เคยเรียกเขาไปคุยกันแล้ว ถามเขาเพียงว่า : ถ้าผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์ใช้อารมณ์ทำงานเพื่อความรู้สึกส่วนตัวครั้งแล้วครั้งเล่า เจิ้นควรจะจัดการอย่างไร?
ดังนั้นหลงซิ่นจึงเป็นฝ่ายขอลาออกจากตำแหน่งเอง ออกจากตำแหน่งผู้ตรวจการขวาเดิม
เรื่องบางเรื่องแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่มีอะไรจะพูด แม้ในใจเขาจะรู้สึกไม่ยอม แต่เขาก็ทำได้เพียงยอมรับ ตัวเองต้องรับผิดชอบเรื่องที่ตัวเองเคยทำไว้
ส่วนคนอื่นๆ สายตาของคนส่วนใหญ่ในตำหนักจับจ้องไปที่อวิ๋นจือชิว ตามระเบียบพิธีการที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ไม่ได้บอกไว้ว่าอวิ๋นจือชิวจะปรากฏตัว ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กเป็นระยะ ถึงแม้หยางเจาชิงที่ยืนอยู่ข้างบัลลังก์จะส่งสัญญาณมือให้เริ่มได้ แต่ชั่วขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากพูดอะไรดี
อวิ๋นจือชิวเหมือนนั่งอยู่บนเข็มพรมทันที รู้สึกอึดอัดเก้อเขินแล้ว
เหมียวอี้ที่นั่งสง่าอยู่เบื้องบนมองสวีถังหรานที่ยืนอยู่เบื้องล่าง ส่งสายตาให้แล้ว
สวีถังหรานที่เดิมทีตะลึงงันเข้าใจความหมายทันที ปลุกตัวเองให้ฮึกเหิม ทำท่าเหมือนไม่กลัวตาย กุมหมัดคารวะโค้งกายค้างไว้ นำกล่าวเสียงดังว่า “ข้าน้อยคารวะฝ่าบาท คำนับราชินีสวรรค์!” การเคลื่อนไหวชัดเจนมาก
พอเขาเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นได้ชัดว่ายังมีคนลังเลเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ารู้สึกว่าไม่เหมาะสม แต่อวิ๋นอ้าวเทียนกับมู่ฝานจวินที่กุมหมัดคารวะแล้วส่งสัญญาณมือให้คำนับเบาๆ บรรดาลูกน้องเก่าของเหมียวอี้ก็ทำอย่างนี้เช่นกัน สุดท้ายก็มีคนทยอยทำตาม ส่วนคนที่เหลือรู้สึกว่าพรรคพวกน้อยกว่า บวกกับสายตาเยียบเย็นของเหมียวอี้จ้องมา พวกเขาจึงหัวใจกระตุกวูบ ต้องกุมหมัดคารวะด้วยความจนใจ
หยางเจาชิงส่งสัญญาณมืออีกครั้ง
ทุกคนถึงได้โค้งกายพร้อมกัน แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ข้าน้อยคารวะฝ่าบาท คำนับราชินีสวรรค์!”
เมื่อเห็นทุกคนยอมศิโรราบแล้ว เหมียวอี้ก็ผายสองมือเบาๆ “ยืนขึ้น!”
อวิ๋นจือชิวไม่ได้พูดอะไร แต่พยายามผายมือขึ้นตามเหมียวอี้อย่างใจกว้าง
เมื่อกลุ่มขุนนางยืนตรง อวิ๋นอ้าวเทียนกับมู่ฝานจวินก็เงยหน้ามองอวิ๋นจือชิวที่นั่งอย่างสง่างามอยู่ข้างบนอีกครั้ง อาภรณ์หงส์และอาภรณ์มังกรหรูหราสะดุดตา ท่วงท่าดูสูงส่งเยือกเย็นไร้ที่เปรียบ!
ในใจทั้งสองเรียกได้ว่าสะท้อนใจไร้ที่สิ้นสุด ในปีนั้นใครจะไปคาดคิดว่าเหมียวอี้จะเดินมาสูงระดับนี้ ยอมนึกไม่ถึงเช่นกันว่าอวิ๋นจือชิวจะมีวันที่ได้เป็นมารดาแห่งใต้หล้า ทว่าวันนี้ปรากฏตัวเป็นๆ อยู่ข้างหน้าแล้ว กำลังรับการคำนับจากเหล่าขุนนาง
มู่ฝานจวินนึกถึงลูกชายตัวเองที่ตายไป มองไปที่อวิ๋นจือชิวด้วยปลาบปลื้มชื่นชม มีความรักและเอ็นดู แต่ไหนแต่ไรมาดวงตาที่คมกริบแข็งกร้าว ตอนนี้เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนแล้ว ทั้งชีวิตนี้นางก็แข็งแกร่งมากจริงๆ ใครบอกละว่าสตรีเทียบบุรุษไม่ได้? แต่ในวันนี้ นางพอใจมาก นางพอใจกับการกระทำของเหมียวมาก เห็นได้ชัดว่าให้หลานสาวของตัวเองได้นั่งเคียงข้างอย่างเท่าเทียมกัน
หากคนคนนั้นมีความคิดได้ครึ่งเหมียวอี้แม้เพียงครึ่งเดียว ตนก็คงไม่ถึงขั้นแข่งกับเขาไปทั้งชีวิตหรอก! มู่ฝานจวินเอียงหน้ามองอวิ๋นอ้าวเทียนโดยจิตใต้สำนึก
ใครจะคิดว่าอวิ๋นอ้าวเทียนก็กำลังเอียงหน้ามองนางเช่นกัน ทั้งสองราวกับจิตใจเชื่อมถึงกันได้ พอสบตากันก็รีบหลบสายตาทันที ความลับบางอย่างทั้งสองไม่คิดจะเผยต่อภายนอก เมื่อก่อนไม่พูดก็เพราะกำลังแข่งขันกัน ตอนนี้ไม่พูดก็บย่อมเป็นเพราะมีเหตุผลนี้อยู่เช่นกัน ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือหวังดีต่ออวิ๋นจือชิว สามารถสนับสนุนอวิ๋นจือชิวได้ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
“ประกาศ!” เหมียวอี้ตะโกนอย่างเด็ดเดี่ยว ในน้ำเสียงแฝงอำนาจบารมี เสียงดังก้องอยู่ในตำหนักใหญ่
หยางเจาชิงนำแผ่นหยกที่สร้างขึ้นมาเฉพาะกิจขึ้นมา กวาดสายตามองกลุ่มคน อ่านประกาศด้วยท่วงทำนองอันหนักแน่น “ก่วงลิ่งกง เฉิงไท่เจ๋อ เถิงเฟย ลั่วหม่าง หวงฮ่าว กูอวี้เฉิง หยางชิ่ง ผังก้วน เหิงอู๋เต้า ซูชิงฉวน จินม่าน อวิ๋นอ้าวเทียน มู่ฝานจวิน ซือถูเซี่ยว จีฮวน อวี้หลัวช่า จางซินหู ฉางเหลย ทั้งสิบแปดคนมีคุณูปการ แต่งตั้งเป็นสิบแปดอ๋องของตำหนักสวรรค์!”
คนที่ถูกเรียกชื่อแอบยิ้มเจื่อน เดิมทีเป็นสี่อ๋องสวรรค์ ตอนนี้กลายเป็นสิบแปดอ๋องสวรรค์แล้ว แบบนี้น้ำหนักของอ๋องสวรรค์ยังเหลืออยู่เท่าไร ยังต้องพูดอยู่อีกเหรอ?
ในบรรดาสิบแปดคนนี้มีสองคนที่ไม่ได้มา หนึ่งคือก่วงลิ่งกง ตระกูลก่วงอ้างว่าขาดสติสัมปชัญญะ จึงไม่ได้เข้าประชุมขุนนาง ส่วนอี่กคนก็คือ ‘จางซินหู’ ทุกคนไม่รู้จักเลย ไม่เคยได้ยินชื่อด้วย แม้แต่ตัวอยู่ตรงไหนก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังเล่นลูกไม้อะไร
อวี้หลัวช่าที่ยืนอยู่กลางตำหนักเม้มริมฝีปาก รู้สึกปลาบปลื้มใจมาก นางย่อมรํู้ว่าจางซินหูคือลูกชายของนาง ไม่ว่าลูกชายจะมีอำนาจทางทหารหรือไม่ แต่อย่างน้อยท่านลุงใหญ่อย่างเหมียวอี้ก็ไม่มีอะไรให้ว่าเลย ในการแต่งตั้งอ๋องชุดแรกก็ยังไม่ลืมหลานชายตัวเอง
“แต่งตั้งชิงเยว่เป็นผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้าย แต่งตั้งเหยียนซู่เป็นผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ขวา!”
“หวงลี่ หนานกงหรูอวี้ ม่ายจื่อ จ่างซุนจู ซิงหลัว ลวี่เกอ หลีเซิง เย่สิงคง…ทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดคน แต่งตั้งเป็นหนึ่งร้อยแปดเทพประจำดาวของตำหนักสวรรค์!”
กลุ่มคนที่ได้รับแต่งตั้งทำได้เพียงแอบจนใจ เทพประจำดาวกลายเป็นหนึ่งร้อยแปดคนแล้ว สิ่งที่พอจะปลอบใจได้บ้างก็คือ ตำแหน่งจอมพลที่อยู่ระหว่างอ๋องสวรรค์ถูกยกเลิกแล้ว
ผ่านไปครู่เดียว หยางเจาชิงก็ประกาศรายชื่อออกมาอย่างต่อเนื่องอีก รายชื่อเหล่านี้ยาวพอสมควร มีจำนวนห้าร้อยคน ทุกคนทำได้เพียงหูผึ่งคอยฟังว่าจะมีชื่อของตัวเองอยู่ในนั้นหรือไม่ ตำแหน่งโหวถูกยกเลิกแล้ว ต่อไปนี้ตำหนักสวรรค์ไม่มีตำแหน่งโหวแล้ว ห้าร้อยคนนี้ถูกแต่งตั้งเป็นขุนพลใหญ่ตำหนักสวรรค์!
จากนั้นหยางเจาชิงก็อ่านประกาศตำแหน่งขุนนางที่เป็นตำแหน่งลอยอีกนิดหน่อย
ตำแหน่งหัวหน้าภาคที่อยู่ระดับล่างกว่านั้นก็รักษาไว้ แต่ตำหนักสวรรค์แต่งตั้งไปแล้วโดยตรง ทำลายระบบพรรคพวกโดยสิ้นเชิง
ที่จริงแล้วในตอนนี้ หัวหน้าภาคที่กระจายตัวกันอยู่ตามที่ต่างๆ ต่างหากคือคนที่กุมอำนาจทางทหารเอาไว้ กลุ่มคนที่อยู่ในที่ประชุมราชสำนัก ไม่ว่าจะเป็นพวกอ๋องสวรรค์ เทพประจำดาวหรือขุนพลใหญ่ ทุกคนล้วนถูกยึดอำนาจทางทหาร บนราชสำนักกลายเป็นสถานที่ปรึกษาหารือเรื่องการปกครองใต้หล้า ฝ่าบาทสร้างจวนกลยุทธ์ฟ้าขึ้นมา อำนาจทางทหารของใต้หล้าไปรวมอยู่ที่จวนกลยุทธ์ฟ้าที่เดียว หากเกิดศึกสงครามขึ้นมาจริงๆ บนราชสำนักจะตัดสินใจเพียงทิศทางโดยรวม ส่วนจวนกลยุทธ์ฟ้ารับหน้าที่บัญชาการทำศึกโดยละเอียด
หากเกิดเรื่องศึกสงครามจริงๆ ตำหนักสวรรค์เรียกตัว แม่ทัพที่ถูกเรียกก็จะกลายเป็นจอมพล หลังจากจบศึกสงครามแล้ว จอมพลก็จะส่งมอบอำนาจทางทหารออกมา หัวโขนของจอมพลก็จะถูกถอดทิ้ง ตำแหน่งจอมพลที่ถูกยกเลิกก็เอาไว้ใช้งานตรงจุดนี้
ตำแหน่งหัวหน้าภาคแม้จะมีอำนาจทางทหาร แต่ก็มีจำนวนเยอะเกินไป กำลังของรายบุคคลน้อยเกิน ต่อให้ก่อเรื่องก็ทำไม่สำเร็จ และจวนกลยุทธ์ฟ้าก็ยังสามารถโยกย้ายได้ตอลดเวลา มักจะสับเปลี่ยนตำแหน่งหัวหน้าภาคเหล่านั้น ไม่ให้หัวหน้าภาคคนหนึ่งกุมอำนาจของที่ใดที่หนึ่งไว้ตลอด
ขณะเดียวกัน วังสวรรค์ก็ปล่อยข่าวออกมาหยั่งเชิงแล้ว ความหมายคร่าวๆ ก็คือ ขั้นถัดไปอาจจะต้องให้ขุนนางบนราชสำนักและกำลังพลตำหนักสวรรค์ทั้งหมดแบ่งแยกฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น ต้องแบ่งภาระหน้าที่ของแต่ละคนให้ละเอียด ไม่อนุญาตให้คนที่คุมทหารควบตำแหน่งปกครองอาณาเขต ต้องแยกตำแหน่งขุนนางฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น มีคนกลุ่มใหญ่ที่ต้องถอดอาวุธยุทโธปกรณ์ออก
ขณะที่ฟังหยางเจาชิงอ่านประกาศเสียงดัง เหมียวอี้ที่กำลังนั่งสง่าก็มีสีหน้าเรียบเฉย กำลังสังเกตปฏิกิริยากลุ่มคนอยู่ตลอด
อวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่เคียงข้างมีลักษณะสุภาพเยือกเย็น นั่งอย่างสง่าภูมิฐาน บางครั้งก็ชำเลืองเหมียวอี้ ในใจเต็มไปด้วยความอ่อนโยนหวานซึ้ง นางกำลังหวนนึกถึงเรื่องในอดีต นึกย้อนไปถึงอุปสรรคขวากหนามที่เหมียวอี้ผ่านมาตลอดทาง เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้ว นางก็รู้สึกสะท้อนใจมากเช่นกัน
“แต่งตั้งหลงซิ่นทูตซ้ายจวนกลยุทธ์ฟ้า เฉิงไท่เจ๋อควบตำแหน่งทูตขวาจวนกลยุทธ์ฟ้า!”
“แต่งตั้งสวีถังหรานเป็นทูตตรวจการซ้ายตำหนักสวรรค์ หยางชิ่งควบตำแหน่งทูตตรวจการขวาตำหนักสวรรค์!”
“แต่งตั้งหยางเจาชิงเป็นผู้การใหญ่วังสวรรค์!”
“แต่งตั้งจ้าวเชียนเอ๋อร์ หลิวเสวี่ยเอ๋อร์เป็นเทพสตรีเก้าสวรรค์!”
“แต่งตั้งเหยียนซิวเป็นเหยียนหลัวหวัง คุมแดนรัตติกาล! แต่งตั้งเฮยอวี้ถังเป็นราชามังกร ปกครองเผ่ามังกรทั้งใต้หล้า! แต่งตั้งเป็นเทพสตรีผู้พิทักษ์เผ่าหงส์!”
เอ๋อและซีก็คือชื่อของสองเทพสตรีผู้พิทักษ์เผ่าหงส์ พวกนางอยู่ในตำหนักด้วยเช่นกัน ได้ยินแล้วจนใจมาก เดิมทีทั้งสองเป็นเทพสตรีผู้พิทักษ์เผ่าหงส์ แต่ถูกกดดันจากอำนาจที่แข็งแกร่งของเหมียวอี้ มิอาจฝ่าฝืนการแต่งตั้ง ทั้งสองได้ชื่ออย่างเป็นทางการแล้ว
ส่วนเฮยอวี้ถัง ก็คือชื่อของเฮยทั่นนั่นเอง ตอนนี้กำลังแอบยิงฟันยิ้มอย่างเริงร่าอยู่ในตำหนัก อยู่ดีๆ ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นราชามังกรแล้ว เขาดีใจมาก นี่คือชื่อที่เขาตั้งให้ตัวเองตอนที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะถูกแต่งตั้งเป็นราชามังกร ชื่อเฮยทั่นที่แปลว่าถ่านดำไม่ไพเราะ ไม่เหมาะจะประกาศชื่ออย่างเป็นทางการท่ามกลางฝูงชน เขารู้สึกว่าตัวเองก็หน้าตาไม่แย่ ถึงได้เรียกตัวเองว่าเฮยอวี้ถัง ซึ่งแปลว่าตำหนักหยกดำ
เหยียนซิวรู้ล่วงหน้าว่าตัวเองจะถูกแต่งตั้งเป็นอ๋อง รู้เช่นกันว่าเหมียวอี้จะแบ่งแดนรัตติกาลให้เป็นอาณาเขตของเขา เพราะแดนรัตติกาลเหมาะกับการฝึกตนของเขา แต่กลับไม่รู้ว่านามตำแหน่งอ๋องของเขาจะเป็น ‘เหยียนหลัวหวัง’ เขาพลันเงยหน้ามองเหมียวอี้ เรียกได้กว่าการแต่งตั้งนามนี้กระทบจุดที่อ่อนแอที่สุดในใจของเขาแล้ว ชั่วพริบตานั้นน้ำตาอุ่นร้อนพรั่งพรูออกมา น้ำตาไหลใส่ปกคอเสื้อ เขาค่อยๆ ก้มหน้าลงแล้วส่ายหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าสุดจะทน น้ำตาไหลอาบใบหน้าชรา สองไหล่สั่นเทิ้มขณะอดกลั้นไม่ส่งเสียงร้อง
ข้างๆ มีคนสังเกตได้ถึงความผิดปกติของเขา ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงร้องไห้
แน่นอนว่ามีคนแปลกใจว่าทำไมนามของเหยียนซิวถึงมีคำว่า ‘หลัว’ เพิ่มเข้ามา
เหมียวอี้ที่นั่งอยู่เบื้องสูงจ้องไปทางเหยียนซิว เขาเข้าใจความรู้สึกแย่ในใจเหยียนซิวที่สุด ชื่อ ‘ฮูหยินสิบพ่าย’ คือความอัปยศทั้งชีวิตของผู้หญิงคนนั้น
หยางชิ่งที่ยืนอยู่แถวหน้าค่อยๆ หันกลับไปมองเหยียนซิวแวบหนึ่ง เมื่อเห็นท่าทางของเหยียนซิว เขาก็เงียบไป ฮูหยินของเหยียนซิวสามารถเรียกได้ว่าตายด้วยน้ำมือเขา ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหยียนซิวไม่ทางกลมเกลียวกันได้ นี่คือเงามืดในใจของเขา