Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์ - ตอนที่ 541
หลังจากที่ชู่มู่แย่งแหวนนักโทษของซิงหยางและเจียงอี้เถิงแล้ว ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองได้พุ่งลงจากฟ้าทันที
เจียงอี้เถิงเป็นโอรสน้อยของวังมารนิรย ตำแหน่งสูงส่งมาก ถ้าเขาถูกฆ่าตายละก็ ด้วยความโกรธของราชันปีศาจวังมารนิรย จะทำให้ฝ่ายจัดการประลองฟ้าดินเกิดปัญหาอย่างมากแน่นอน ดังนั้น ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองต้องคอยคุ้มกันเขา
ในไม่ช้า เจียงอี้เถิงกับซิงหยางถูกผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองพาขึ้นฟ้า เพื่อส่งไปรักษาตัวใต้เขา
วิญญาณของทั้งสองคนนี้อ่อนแอผิดปกติอย่างมาก ถ้าไม่ได้ทำการรักษาวิญญาณในระยะยาวจะอ่อนแอจนตายได้
ผู้เฝ้าบินด้วยความเร็วสูงมาก ในไม่ช้า พวกเขาได้ส่งเจียงอี้เถิงกับซิงหยางที่ญาณทั้งสี่ได้รับบาดเจ็บลงภูเขาเวหาอมตะ
“นั่นเป็นโอรสน้อยของวังมารนิรยกับซิงหยางแข็งแกร่งอันดับสองไม่ใช่เหรอ !!!”
ใต้เขายังมีผู้เข้าแข่งขันมากมายรอคอยข่าวสารจากการประลองอยู่ และแล้วหลังจากที่พวกเขาเห็นเจียงอี้เถิงกับซิงหยางถูกพาออกมา ต่างร้องด้วยความประหลาดใจ
ด้านข้างน้ำพุมีสวนแห่งหนึ่ง ในสวนนี้ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกวังมารนิรยที่ได้รับบาดเจ็บ ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองได้ส่งเจียงอี้เถิงกับซิงหยางมาที่นี่
“ทำไมแม้แต่พวกเขาสองคนยัง…เกิดอะไรขึ้น” นักวิญญาณหญิงของวังมารนิรยมองไปยังเจียงอี้เถิงและซิงหยาง ถามผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลอง
“พวกเขาสู้กับผู้เข้าแข่งขันอีกสองคนบนภูเขาหลักเวหาอมตะ…” ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองบอก
“ทำไมถึงอนาถแบบนี้ รีบส่งคนไปแจ้งท่านอาวุโสเย้เทา” นักวิญญาณหญิงวังมารนิรยพูดขึ้น
นักวิญญาณหญิงคนนี้ชื่อเฉี่ยนฉิง เป็นสมาชิกขั้นหนึ่ง ทว่า เธอไม่ได้เข้าร่วมการประลองฟ้าดิน แต่ได้เข้าร่วมเป็นฝ่ายจัดการประลองฟ้าดิน คอยรักษาตัวให้เหล่าผู้เข้าแข่งขันวังมารนิรยที่ได้รับบาดเจ็บ
ผู้แข็งแกร่งวังมารนิรยส่วนใหญ่ได้ผ่านการรักษาของเธอแล้ว บวกกับรูปงามของนักวิญญาณหญิงคนนี้ นับว่าเป็นผู้คุมดวงวิญญาณหญิงที่มีชื่อเสียงรองจากองค์หญิงวังมารนิรย อีกทั้งเมื่อเทียบกับตำแหน่งยากจะเข้าใกล้อย่างองค์หญิงวังมารนิรยแล้ว นักวิญญาณหญิงคนนี้เข้าใกล้ได้ง่ายกว่า…
เฉี่ยนฉิงเรียนคาถาวิญญาณเป็นเวลานานมากแล้ว เธอมองออกทันทีว่า ญาณทั้งสี่ของเจียงอี้เถิงและซิงหยางได้รับบาดเจ็บ เธอให้ดวงวิญญาณหมวดดอกไม้ปล่อยเกสรวิญญาณออกมาก่อน ใช้เกสรดอกไม้วิญญาณพิเศษนี้ปกป้องวิญญาณของสองคนนี้ ไม่ให้วิญญาณของพวกเขาอ่อนแอลง
และเธอก็รู้ว่า วิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสยากที่จะใช้ทักษะในการรักษา มีเพียงเกสรวิญญาณและหยดแห่งเยียวยาวิญญาณราคาแพงเท่านั้นที่จะรักษาได้
เฉี่ยนฉิงทำได้แค่ปกป้องวิญญาณของพวกเขาเอาไว้ การรักษาที่แท้จริงต้องใช้สองสิ่งนี้ และสองสิ่งนี้เกรงว่ามีเพียงท่านอาวุโสเย้เทาถึงจะมี
…
หลังจากนั้นไม่นาน ท่านอาวุโสเย้เทาวังมารนิรย หนึ่งในที่นั่งทั้งสี่ได้ปรากฏตัว
มีวัยหนุ่มรูปร่างสง่างามอีกคนหนึ่งปรากฏตัวพร้อมกับเขา มาพร้อมกับท่านอาวุโสเย้เทาได้ คาดว่าเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสูงยิ่งในวังมารนิรย
หลังจากวัยหนุ่มกับท่านอาวุโสเย้เทาเห็นผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มวังมารนิรยอนาถแบบนี้ สีหน้าแย่มาก ยากที่จะคิดว่าในขั้นสองนี้ จะมีใครทำให้พวกเขากลายเป็นแบบนี้ได้…
“ซือเทียนแห่งองค์กรวิญญาณใช่ไหม เจ้านี่รู้ตัวตนของเจ้าดี ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย หึหึ…” วัยหนุ่มพูดด้วยสีหน้าหมองคล้ำ
เจียงอี้เถิงนอนอยู่ตรงนั้น สีหน้าซีดขาว แต่ไม่พูดอะไร แค่มองเหม่อไปยังบางที่
สี่ญาณได้รับบาดเจ็บ และดวงวิญญาณหลักตายหมด ส่งผลกระทบต่อเจียงอี้เถิงอย่างมาก แค่รอให้วิญญาณหายดีก็ต้องใช้เวลานานมากแล้ว…
“ไม่…ไม่ใช่…เป็นตำหนักวิญญาณ..” ซิงหยางยังพูดได้บ้าง
“ฟางเจ๋อตำหนักวิญญาณเหรอ” ท่านอาวุโสเย้เทสูดหายใจเข้า กวาดตามองไปยังวัยหนุ่มด้านข้าง พูดขึ้นว่า “ฉาวเจิ้ง ด่านที่สิบไม่จำต้องเกรงใจพวกเศษสวะตำหนักวิญญาณแล้ว !”
“ท่านอาวุโสวางใจได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ข้าจะให้พวกเขาตายอย่างอนาถ !” ฉาวเจิ้งพูดด้วยร้อยยิ้มโหดร้าย
“เรื่องนั้น…ท่านอาวุโสเย้ คนที่ทำให้โอรสน้อยกับซิงหยางได้รับบาดเจ็บไม่ใช่นายท่านตำหนักวิญญาณฟางเจ๋อ แต่เป็น…แต่เป็นผู้เข้าแข่งขันที่ชื่อชู่เฉิง” ผู้เฝ้าวังมารนิรยคนนั้นพูดขึ้นเสียงเบา
“ขู่เฉิงเหรอ ชู่เฉิงคือใคร ทำไมเขาถึงทำให้เจียงอี้เถิงกับซิงหยางได้รับบาดเจ็บได้” ท่านอาวุโสเย้เทาเบิกตาพูดขึ้น
“ตอนนั้นข้าก็ประหลาดใจอย่างมาก แต่ว่าหลังจากนั้น…” ในตอนนี้ ผู้เฝ้าคนนี้ได้บอกเล่าเรื่องการต่อสู้ระหว่างชู่มู่กับเจียงอี้เถิงและซิงหยางให้ฟัง ในนั้นรวมถึงเรื่องที่ชู่มู่มีมารนิรยขาว และการกลืนกินมารนิรยขาวด้วยกัน
หลังจากผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองพูดจบ เฉี่ยนฉิง ท่านอาวุโสเย้เทา ฉาวเจิ้งต่างเต็มไปด้วยความแปลกใจ พูดอะไรไม่ออก
สมาชิกตำหนักวิญญาณคนหนึ่งมีมารนิรยระดับจักรพรรดิขั้นสูงก็ทำให้พวกเขาตกใจอย่างมากแล้ว อีกทั้งมารนิรยขาวยังมีความสามารถกลืนกินพวกเดียวกันเพื่อเป็นแหล่งเติบโตของตัวเอง นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน !
“ท่านอาวุโสเย้เทา มารนิรยขาวมีความสามารถแบบนี้เหรอ” เฉี่ยนฉิงอึ้งนิ่งไปนาน ถึงถามขึ้น
สีหน้าของท่านอาวุโสเย้เทาเคร่งเครียดอย่างมาก ผ่านไปพักหนึ่งถึงพูดขึ้นว่า “มีก็จริง…แต่ว่า…”
ฉาวเจิ้งที่อยู่ด้านข้างไม่พูดอะไรอีก เขารู้ความลับหลายอย่างเกี่ยวกับมารนิรยขาว แต่ยังคงไม่เข้าใจมากเท่าไร
จากสีหน้าของท่านอาวุโสเย้เทาแล้ว มารนิรบขาวมีความสามารถกลืนกินกลุ่มเดียวกันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่อยู่ที่ทำไมผู้เข้าแข่งขันตำหนักวิญญาณคนหนึ่งถึงมีมารนิรยขาวแบบนี้ได้ !!!
มารนิรยที่วังมารนิรยควบคุมเป็นแค่จำนวนส่วนใหญ่เท่านั้น โลกนี้มีดวงวิญญาณนับไม่ถ้วน บางครั้งอาจมีคนเจอกับมารนิรยขาวพเนจร แล้วทำสัญญาวิญญาณกับมันก็เป็นไปได้
“แค่ดวงดีเจอกับมารนิรยขาวที่มีพรสวรรค์แบบนี้จริงเหรอ หรือว่าเดิมมารนิรขาวตัวนี้เป็นของวังมารนิรยพวกเรา…” ท่านอาวุโสพึมพำ
“ท่านอาวุโส จากมุมมองของท่าน เจ้าชู่เฉิงนี้เป็นสมาชิกเก่าของวังมารนิรยพวกเรา แล้วย้ายไปยังตำหนักวิญญาณหรือไม่” ฉาวเจิ้งถามขึ้น
“อาจเป็นไปได้ เฉี่ยนฉิง ข้าจะให้คนส่งหยดแห่งหล่อเลี้ยงวิญญาณมาให้ เจ้าดูแลพวกเขาทั้งสองให้ดี ข้าไปตำหนักวิญญาณก่อน ขอสืบประวัติของชู่เฉิงก่อน” ท่านอาวุโสเย้เทาบอก
…
บนยอดเขาหลักเวหาอมตะ
ชู่มู่กับเย้ชิงจือได้ครองยอดเขาหลักเวหาอมตะนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้เข้าแข่งขันวังมารนิรยหรือตำหนักวิญญาณ ไม่กล้าขึ้นไปอีก
หลังจบการต่อสู้ ชู่มู่ไม่ได้ผ่อนคลายลง เพราะเขารู้ว่าฉิงเย้ปรากฏตัวได้ทุกเมื่อ
แต่ว่า จนถึงจบด่านที่แปด ฉิงเย้ยังคงไม่ปรากฏตัว
“หรือว่าเขาจะล้มเลิกแล้ว” เย้ชิงจือก็รู้สึกแปลกมาก ฉิงเย้เป็นผู้เข้าแข่งขัน ต่อให้เขาเป็นสมาชิกขั้นหนึ่ง จะลงมือต่อสมาชิกขั้นอง ผู้เฝ้าก็ห้ามไม่ได้ ไม่มีเหตุผลให้เขาล้มเลิก
“ที่นี่มีผู้เข้าแข่งขันมากมาย บวกกับหลีเหิงก็อยู่ ถ้าก่อนหน้านี้พวกเราสละสิทธิ์ หลีเหิงจะลงมือแน่นอน เขาน่าจะไม่ถูกกัน จึงล้มเลิก”ชู่มู่บอก
“ก็ดี”เย้ชิงจือก็วางใจลงได้
ฉิงเย้เป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดของขั้นที่หนึ่ง ความสามารถแข็งแกร่งกว่าพวกเขาอย่างมาก เย้ชิงจือก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับคนที่แข็งแกร่งแบบนี้เร็วเกินไป
“ทว่า ข้ารู้สึกว่า จะมีบางคนที่ไม่ล้มเลิกง่าย ๆ แบบนี้ ในเมื่อฉิงเย้เข้ามาในสนามต่อสู้ขั้นที่สองของพวกเราได้ ถ้าอย่างนั้นในด่านที่เข้าก็ทำได้…ดังนั้น ข้าคิดว่า เขาน่าจะปรากฏตัวในด่านที่เก้า เพราะในด่านที่เก้าไม่มีผู้เฝ้าคอยปกป้อง…” ชู่มู่บอก
ด้วยความสามารถของชู่มู่ในตอนนี้ น่าจะชิงเกียรติในขั้นที่สองได้ไม่ยากแล้ว สามารถเอาชนะเจียงอี้เถิงวังมารนิรยได้ ถ้าอย่างนั้นคนที่เป็นอันตรายในตอนนี้มีเพียงซือเทียนองค์กรวิญญาณที่ผู้คนยกย่องแล้ว เอาชนะเขาได้ เกียรติสุดท้ายในขั้นสองก็เป็นของชู่มู่แล้ว
แต่ว่า การปรากฏตัวของเซี่ยกว่างหานและฉิงเย้ กลับทำให้เส้นทางนี้มีอุปสรรคเพิ่มขึ้น
“ความจริงแบบนี้ก็ดีกว่า…” ชู่มู่ฉีกยิ้มออกมา
ถ้ามั่วเย้เกิดการแปรเปลี่ยนต่อหน้าผู้คนอีก ถ้าอย่างนั้นจะมีคนคิดว่า ตัวเองเป็นเจ้าแห่งเกาะนักโทษได้ แบบนี้จะสร้างความวุ่นวายให้กับตัวเองอย่างมาก
และในด่านที่แปด ใช่ว่าจะมีสถานการณ์ที่มีผู้ชมแบบนี้ หากเป็นเช่นนี้ ชู่มู่ไม่จำต้องหวาดกลัว ให้มั่วเย้แปรเปลี่ยน แล้วมุ่งหน้าต่อไป !
…
หลังจบด่านที่แปด ชู่มู่ได้กลับไปยังตำหนักวิญญาณภายใต้การคุ้มกันของหลีเหิง
ชู่มู่รู้ว่า การต่อสู้ครั้งนี้จะสร้างความฮึกเหิมอย่างมาก ไม่เพียงแต่เอาชนะเจียงอี้เถิงผู้แข็งแกร่งที่สุดของวังมารนิรย แต่ยิ่งเป็นเพราะการปรากฏตัวของมารนิรยขาวและความสามารถกลืนกินพิเศษของมานิรยขาว
ชู่มู่รู้ว่า หลังจากเรื่องนี้ตัวเองจะถูกคนที่มีตำแหน่งของวังมารนิรยสอบถามแน่นอน ดังนั้น หลังจบด่านที่แปด ชู่มู่ได้เข้าไปอยู่ในตำหนักวิญญาณทันที เริ่มเก็บวัตถุวิญญาณที่ตัวเองต้องการ ส่วนปัญหาอื่น ให้นักวิญญาณเฒ่าเต๋อจัดการ
“เจ้าแก่ ขอร้องว่า เจ้าอย่าหาเรื่อง ก็แค่มารนิรยขาวตัวหนึ่ง ไม่แน่ผู้เข้าแข่งขันวังมารนิรยของพวกเจ้าก็มีดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักวิญญาณ !” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อชี้ไปยังท่าอาวุโสเย้เทาแล้วพูดขึ้น
หนวดของเย้เทาปลิวออก เจอคนที่ไม่มีเหตุผลอย่างนักวิญญาณเฒ่าเต๋อ ทำให้คนเป็นบ้าได้จริง ๆ
ทว่า ความจริงบางคนในวังมารนิรยมีดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลายเส้นทั้งเจ็ดจริง ส่วนใหญ่ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะอยู่ในการควบคุมของสมาชิกตำหนักวิญญาณ แต่อาจเกิดสมาชิกวังมารนิรยได้ทำสัญญาวิญญาณกับดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิในป่าก็ได้
“มารนิรยขาวตัวนั้นพิเศษมาก ให้เขาอัญเชิญออกมา ข้าจะตรวจดู ข้าอยากรู้ตัวตนของมารนิรยขาวตัวนั้น !!!”ท่านอาวุโสเย้เทาบอก
“ข้าบอกว่า สมมติได้พิสูจน์ตัวตนแล้วละ” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อถาม
“ก็ต้องเก็บกลับมา !” เย้เทาพูดด้วยความถูกต้อง
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้แน่นอน” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อบอก
“อะไรเป็นไปไม่ได้ เจ้าเด็กไร้ชื่อเอามารนิรยขาวที่ถูกวังมารนิรยควบคุมเข้มงวดไป เดิมควรจะต้องประหารชีวิต ยิ่งกว่านั้น…” เย้เทาพูดถึงตรงนี้ ก็หยุดลงกะทันหัน เปลี่ยนเรื่องแล้วพูดว่า “อย่างไรก็ตาม เจ้าให้เจ้าเด็กนั่นออกมา”
“เด็กไร้ชื่องั้นหรือ เจ้าแก่ อย่าคิดว่า เจ้าเป็นหนึ่งในสี่ที่นั่งจะทำอะไรก็ได้ บอกเจ้าก็ไม่เป็นไร ชู่เฉิงเป็นนายท่านที่สิบของตำหนักวิญญาณในอนาคต” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อพูดพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็น
“นายท่านที่สิบ ตำหนักวิญญาณของพวกเจ้ามีนายท่านที่สิบตั้งแต่เมื่อไร บุตรของท่านอาวุโสคนใด” เย้เทาอึ้งเล็กน้อย ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ไม่ใช่บัตรของท่านอาวุโส” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อบอก
“ไม่ใช่บุตรของท่านอาวุโส แล้วคือ…” เย้เทาพูดไป เสียงเบาลงอย่างมาก จับจ้องไปยังนักวิญญาณเฒ่าเต๋อ “เขา… เขาเป็นบุตรชายของท่านหญิงตำหนักวิญญาณของพวกเจ้า !!!”