Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์ - ตอนที่ 572
“ฆ่าตายได้สักที !”
อสูรพายุน้ำแข็งไม่สามารถแยกร่างได้ ลายเส้นผนึกแห่งโทษกับอัคคีแห่งโทษได้สลายร่างกายของมันทั้งในและนอก ในที่สุดอสูรพายุน้ำแข็งตัวนี้ยังคงไม่สามารถต้านทานพลังนรกราชันอัคคีของมั่วเย้ได้ ถูกนรกของมั่วเย้สลายไปในที่สุด แม้แต่วิญญาณของมันยังสลายไปเพราะพลังแข็งแกร่งนี้!
วิญญาณของฉิงเย้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกครั้ง เขาได้รับบาดเจ็ยสามญาณแล้ว เขาในตอนนี้อ่อนแออย่างมาก หมอบอยู่บนพื้น เหมือนคนพ่ายแพ้ไร้หนทาง สั่นไปทั้งตัว
นรกราชันอัคคีไม่ได้หายไปเพราะการตายของอสูรพายุน้ำแข็ง มั่วเย้ควบคุมอัคคีแห่งโทษและลายเส้นอัคคี ทำการโจมตีไปยังดวงวิญญาณสองตัวที่เหลือ !
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู”
กรงเล็บนับไม่ถ้วนบิดตัวสีแดงเข้มราวกับมังกรยักษ์ท่ามกลางนรกแห่งนี้ แต่ละตัวเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตายของลายเส้นแห่งโทษ อีกทั้ง เริ่มทำการสลายผนึกทั้งหลาเหล่านี้ ทำให้ผนึกนี้อ่อนแอมากยิ่งขึ้น
“นายท่าน ให้มั่วเย้หยุดนรกราชันอัคคี” เสียงของผู้เฒ่าหลีดังขึ้น
“ทำไมหรือ” ชู่มู่ถามขึ้นด้วยความสงสัย ฆ่าพวกมันผ่านนรกราชันอัคคีนี้ประหยัดเวลาได้มากกว่าไม่ใช่เหรอ
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้า นี่เป็นผนึกคู่อันหนึ่ง ผนึกที่สองสร้างขึ้นด้านหลังผนึกที่หนึ่งนี้ จิ้งจอกน้อยของเจ้ามีความสามารถคลายผนึก อัคคีแห่งโทษของมันจะทำลายผนึกด้านล่าง ข้ารู้สึกได้ว่าผนึกด้านล่างนั้นไม่มั่นคงอย่างมากแล้ว ถ้าปล่อยสิ่งมีชีวิตในผนึกนั้นออกมา เกรงว่าจิ้งจอกน้อยของเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”ผู้เฒ่าหลีบอก
ชู่มู่ตกใจทันที ไม่คิดว่า ด้านล่างแท่นบูชาอสูรเลือดจะมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวยิ่งกว่าผนึกอยู่
ชู่มู่กวาดตามองไปยังฉิงเย้กับเซี่ยกว่างหานที่ทรมานอย่างยิ่ง หลังจากปล่อยนรกราชันอัคคีออกมา ทั้งสองคนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ดวงวิญญาณสองตัวที่เหลือไม่เป็นอันตรายแล้ว
ในตอนนี้ ชู่มู่ให้มั่วเย้หยุดการปล่อยนรกราชันอัคคีแล้ว
“อู อู” ดวงตาที่มีอัคคีแห่งโทษลุกโชนของมั่วเย้หมองคล้ำลงอย่างช้า ๆ ในตอนนี้ลายเส้นแห่งโทษทั้งหมดก็ค่อย ๆ หายไป กลับไปยังลำตัวสีเงินของมั่วเย้
เปลวไฟที่ระบำเริ่มหายไป นรกแห่งอัคคีแห่งโทษกับลายเส้นแห่งโทษนี้ได้หายไปอย่างช้า ๆ กลับไปยังโลกในดวงตาของมั่วเย้
หลังจากนรกสีแดงเข้มหายไป ผู้คนยังอยู่ในผลของภาพลวงตานั้น จนกระทั่งนรกนี้หายไปเนิ่นนานถึงได้สติกลับมา
“จบแล้วเหรอ” องค์หญิงจิ่งโหลวเหมือนฟื้นจากความฝัน มองไปยังมั่วเย้ด้วยสายตาอ้างว้าง
ความสะเทือนใจของเย้หวันเชิงยากที่จะสงบลงได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสพลังของราชันในระยะใกล้แบบนี้ พลังที่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง ยิ่งทำให้เย้หวันเชิงสะเทือนใจอย่างยิ่ง เพราะนี่เป็นพลังแข็งแกร่งที่เขาปรารถนามาตลอด !
ชู่มู่เองก็สะเทือนใจกับนรกราชันของมั่วเย้เช่นกัน ระหว่างราชันกับจักรพรรดิไม่ได้มีความแตกต่างแค่พลัง การป้องกันและหมวด เห็นได้ชัดว่า ราชันส่วนใหญ่จะมีความสามารถพิเศษของตัวเอง หลังจากผ่านการค้นพบนับร้อยพันครั้ง หรือเป็นพรสวรรค์ขั้นสูงที่มีมาตั้งแต่เกิดของกลุ่ม !
“ฮู ฮู ฮู !!!”
อัคคีแห่งโทษบนตัวมั่วเย้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง สีแดงเข้มอันแสบตานั้นได้นำพาความสยองแห่งความตาย
ทุกครั้งที่มั่วเย้ก้าวเท้าออก จะมีอัคคีแห่งโทษลุกโชนขึ้น เต็มไปด้วยพลัง บ้าคลั่งอย่างยิ่ง เผชิญหน้ากับจักรพรรดิชั้นยอดสองตัวที่ถูกนรกราชันอัคคีทรมาน เมื่อเทียบพลังแล้ว มันได้เผยราชันจิ้งจอกรุ่นใหม่ออกมาอย่างหมดจด !
มั่วเย้เดินไปตรงหน้าแมลงทองคำร้ายอย่างช้า ๆ พลังชีวิตของแมลงทองคำร้ายตัวนี้ดื้อดันอย่างมาก อัคคีแห่งโทษกับลายเส้นแห่งโทษนี้ไม่ได้รวมโจมตีไปที่มันทำให้มันไม่ได้รับบาดเจ็บมากเท่าไร
และแล้วในตอนนี้ แมลงทองคำร้ายที่ยืนอยู่ตรงหน้าจิ้งจอกราชันอัคคีสลายโทษทั้งเจ็ดนี้ ได้กลายเป็นแมลงตัวเล็กที่แท้จริง ไม่มีแม้แต่ความสามารถที่จะต่อต้าน ถูกหางของมั่วเย้ม้วนขึ้นอย่างช้า ๆ !
หางเก้าเส้น หางแต่ละเส้นล้วนมีพลังของลายเส้นแห่งโทษ ลายเส้นแห่งโทษเหล่านี้ได้ซึมเข้าร่างของแมลงทองคำร้าย ทำลายร่างกายของแมลงทองคำร้ายช้า ๆ !
ฉิงเย้หมอบอยู่บนพื้น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยเส้นเลือด เขาในตอนนี้ทำได้แค่มองไปยังแมลงทองคำร้ายที่ถูกลายเส้นแห่งโทษทำลายชีวิตทีละนิด !
“ข้า…ข้าเป็น…ข้าเป็นบุตรแห่งฉิงอู่ สิบหกนักยอด เจ้า…เจ้าฆ่า..ฆ่าดวงวิญญาณทั้งหมดของข้าได้…แต่…ห้าม…ห้ามฆ่าตัวข้า มิฉะนั้น เพื่อนของเจ้า ญาติของเจ้า รวมถึงคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้า จะต้องตายไปพร้อมกับข้า !” ฉิงเย้กัดฟันแน่น พูดด้วยน้ำเสียงดูถูกและข่มขู่ !
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ของฉิงเย้ องค์หญิงจิ่งโหลวขมวดคิ้วทันที เธอรู้ระบบขององค์กรวิญญาณอย่างมาก ตำแหน่งของสิบหกนักยอดสูงมาก มีอำนาจควบคุมเขตโลกต่าง ๆ รวมถึงการกำหนดชะตา !
“องค์หญิง สิบหกนักยอดฉิงอู่คือใคร” ชู่มู่มองไปยังองค์หญิงจิ่งโหลวแล้วถามขึ้น
“ระบบขององค์กรวิญญาณ ไม่เหมือนกับวังมารนิรยและตำหนักวิญญาณ พวกเขาไม่มีชื่อเรียกตำแหน่ง ถ้าพูดถึงอำนาจหลักละก็ คือ หนึ่งเจ้า สองราชินี สี่วีรบุรุษ แปดขุนนาง สิบหกนักยอด ความสามารถของคนเหล่านี้ล้วนอยู่ในชั้นยอดของมนุษยชาติพวกเรา ดวงวิญญาณที่พวกเขามียิ่งแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการได้ หากมองแค่ด้านความสามารถ ความสามารถของสิบหกนักยอดแข็งแกร่งกว่าท่านอาวุโสของพวกเราอีก” เสียงขององค์หญิงจิ่งโหลวทุ้มต่ำมาก
“แข็งแกร่งกว่าท่านอาวุโสอีกเหรอ” ชู่มู่เกิดความประหลาดใจขึ้น จำได้ว่า ผู้เฒ่าหลีเคยบอกกับตัวเอง ท่านอาวุโสจำต้องมีดวงวิญญาณระดับราชันชั้นยอด การที่ยืนอยู่บนชั้นยอดของมนุษยชาติ ถ้าอย่างนั้นต่อให้สิบหกนักยอดไม่มีดวงวิญญาณเกินกว่าระดับราชัน เกรงว่าคงมีดวงวิญญาณระดับราชันชั้นยอด อีกทั้งคงไม่ได้มีแค่ตัวเดียว !
“รู้ไว้ก็ดี การต่อสู้…ระหว่าง…ระหว่างรุ่นวัยหนุ่ม ท่านพ่อข้า…ท่านพ่อข้าจะไม่สืบ แต่ว่า…ถ้าพวกเจ้าฆ่าข้า…ฆ่าข้าละก็ ต่อให้เจ้าเป็นองค์หญิง นายท่าน ก็ต้องรับเคราะห์ !” ฉิงเย้เองก็ฉลาดมาก หลังจากข่มขู่แล้ว ได้ใช้เรื่องการต่อสู้รุ่นวัยหนุ่มจะไม่ถูกสืบเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามปล่อยให้ตัวเองมีชีวิตรอด มิฉะนั้นบีบบังคับแบบนี้ ฉิงเย้เองก็ต้องตายอยู่ดี !
ฉิงเย้จงใจสังเกตชู่มู่ พบว่าชู่มู่เผยความลังเลออกมาแล้ว คิดในใจว่า แค่รอดไปได้ ต่อให้ต้องใช้พลังขององค์กรวิญญาณก็ต้องชำระล้างความอับอายในวันนี้ให้ได้ !
“องค์หญิง ข้าเชื่อเจ้าได้ไหม” ชู่มู่หันไปถาม
“เจ้าคิดว่าอย่างไร” องค์หญิงจิ่งโหลวเหมือนจะเข้าใจความหมายของชู่มู่ หางตาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
ชู่มู่พยักหน้า หันกลับไป เดินตรงไปยังตำแหน่งที่เซี่ยกว่างหานอยู่
ฉิงเย้เห็นชู่มู่จากไป เหมือนยกภูเขาออกจากอก หัวเราะเย้ยที่ชู่มู่ไม่ใจเด็ดมากพอเช่นกัน ถ้าเป็นเขาละก็ ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร เพื่อไม่ให้เป็นภัยของตัวเองในภายหน้า เขาจะฆ่าฝ่ายตรงข้ามตายโดยที่ไม่เกรงใจ ต่อให้เป็นบุตรของเจ้าองค์กรก็ตาม !
และแล้ว ในตอนที่ฉิงเย้ยังไม่ทันได้คิดวิธีออกจากที่นี่ เขารู้สึกได้ว่า มีบางสิ่งปีนขึ้นตัวเขา
ฉิงเย้รีบก้มหน้าลง พบว่าลายเส้นแห่งโทษสีแดงเข้มอันหนึ่งปีนไต่ขึ้นตัวเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ คืบคลานไปตามขาของเขา ตลอดจนหน้าท้อง แล้วหน้าอก และบริเวณหัวในที่สุด !
ฉิงเย้ยืนนิ่ง ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดของเขาจับจ้องไปยังชู่มู่ พูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธเคืองที่สุดว่า “ชู่มู่ เจ้ากล้าฆ่าข้าละก็ !!! เจ้า…”
“บึ้ง !!!”
ฉิงเย้ยังไม่ทันได้พูดจบ ลายเส้นแห่งโทษได้สลายร่างกายของเขา เลือดเนื้อกระจายออก !
สภาพการตายของฉิงเย้อนาถอย่างมาก นับว่าเป็นการตายอย่างไร้ซาก !
ฉิงเย้ไม่รู้ว่า ชู่มู่แค้นองค์กรวิญญาณเพราะท่านพ่อของตัวเองอย่างมากแล้ว อย่าบอกว่าต่อให้ฆ่าในผนึกนี้จะไม่มีใครรู้ ต่อให้ฉิงอู่สิบหกนักยอดคนนั้นรู้ ชู่มู่ก็จะฆ่าฉิงเย้อยู่ดี ชู่มู่ไม่ใช่คนใจอ่อนอยู่แล้ว !
ศพของฉิงเย้ถูกลายเส้นแห่งโทษนี้ตัดอย่างละเอียดมาก สภาพการตายชวนขนลุก โดยเฉพาะสำหรับเซี่ยกว่างหาน
“โจมตี !!! โจมตีพวกเขา !!! โจมตีพวกเขาเดี๋ยวนี้ !!!” เซี่ยกว่างหานพบว่า ชู่มู่กับมั่วเย้กำลังเดินตรงมาที่นี่ กลัวจนร้องอย่างบ้าคลั่ง
เซี่ยกว่างหานเหลือแค่ภูตวายุสลายตัวสุดท้ายนี้แล้ว ภูตวายุสลายตัวนี้ร่ายคาถาหมวดลมอย่างเร่งรีบมาก พัดพาพายุสลายขั้นสิบไปยังชู่มู่ !
ลมสลายขุ่นมัว ดูเหมือนจะปกคลุมทั่วฟ้าดิน และแล้วทุกครั้งที่พัดผ่านมั่วเย้ จะถูกหางของมั่วเย้ฟาดออกไป แล้วทักษะหมวดลมนี้หายไปทันที !
ดวงตาเยือกเย็นของมั่วเย้จับจ้องไปยังเซี่ยกว่างหาน มันเดินอยู่ข้างชู่มู่อย่างไม่รีบร้อน เดินไปยังเซี่ยกว่างหานพร้อมชู่มู่อย่างช้า ๆ
“จิ้งจอกแสงจันทร์ยังคงเป็นจิ้งจอกแสงจันทร์ ไม่มีทางจะเป็นคู่ต่อสู้ของมารนิรยขาวได้ ต่อให้มดจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ยังคงถูกสิงโตเหยียบตายได้…”
ชู่มู่มองไปยังเซี่ยกว่างหาน พูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำมากกับเซี่ยกว่างหานที่ใบหน้าบิดเบี้ยวถึงที่สุด
ประโยคนี้ เซี่ยกว่างหานเคยพูดกับชู่มู่ในตอนนั้น ชู่มู่จำได้เป็นอย่างดี
ในตอนนั้น เซี่ยกว่างหานไม่รู้ว่า มั่วเย้เป็นดวงวิญญาณแปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่อง ในตอนนั้น เซี่ยกว่างหานเหมือนยืนอยู่ในที่สูงมาก สามารถกำหนดชะตาของชู่มู่ได้ตามใจ !
ส่วนชู่มู่กลับเวียนวนอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย ทนต่อการทำลายจิตวิญญาณ เขาไม่เคยล้มเลิก ไม่เพียงแต่เพราะความคิดถึงที่มีต่อท่านพ่อของตัวเอง อีกทั้งได้สาบานว่า จะออกจากชะตาที่ถูกคนอื่นเหยียบย่ำศักดิ์ศรีแบบนี้ด้วย
วินาทีนี้ ได้มาถึงแล้วในที่สุด เมื่อเทียบกับหลายปีก่อน ตำแหน่งของชู่มู่กับเซี่ยกว่างหานเหมือนจะสลับกัน คนที่ควบคุมชะตาของเซี่ยกว่างหาน กลายเป็นชู่มู่แล้ว !
มั่วเย้เข้าใกล้ภูตวายุสลายอย่างมากแล้ว ทักษะของภูตวายุสลายในตอนนี้ไร้ประโยชน์อย่างมาก ถูกมั่วเย้ปัดออกอย่างง่ายดาย
ยังคงใช้หางม้วนภูตวายุสลายขึ้น ไม่มีอสูรพายุน้ำแข็งแล้ว จักรพรรดิชั้นยอดแทบไม่มีแรงต่อต้านเมื่ออยู่ต่อหน้าจิ้งจอกราชันอัคคีสลายแห่งโทษทั้งเจ็ดนี้
“ตอนนี้ ใครเป็นผู้กุมชะตากันแน่” ชู่มู่มองไปยังเซี่ยกว่างหาน แล้วพูดขึ้น