Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์ - ตอนที่ 610
นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ คนแรกสุดที่เข้ามาคือท่านปู่ชู่หมิง หลังจากชู่มู่เจอกับท่านปู่แล้ว ทั้งรู้สึกดีใจและรู้สึกเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม คนแก่คนนี้อ่อนแอลงเรื่อยๆ แล้ว ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกกี่ปี ถ้าเจอกับภัยแร้งแบบนี้ ด้วยความชุลมุนและกังวลใจแบบนี้ หากไม่ระวังอาจจากไปก็ได้
อายุขัยของมนุษย์ทำได้แค่เพิ่มจากการฝึกของตัวเอง โดยปกติต้องถึงระดับราชันวิญญาณ ถึงจะเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้น สำหรับชู่หมิงที่ชราลงทุกวัน ชู่มู่เองก็ทำอะไรไม่ได้
ร่างกายของคนแก่อ่อนแอ อีกทั้งยังตื่นเต้นมากเกินไป พูดไม่กี่ประโยคก็เหนื่อยแล้ว ชู่มู่เองได้ให้คนพยุงชู่หมิงกลับไปพักผ่อน
“ร่างกายเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว ตอนงานราตรี…เจ้าคุยกับท่านอาพวกเขาก่อน ช่วงนี้มีเรื่องมากมายในตระกูล…” ชู่หมิงไอเล็กน้อย จากไปอย่างไม่เต็มใจ
ชู่มู่พยักหน้า พยุงคนแก่เดินพักหนึ่งถึงกลับไปยังห้องโถงใหญ่
ตอนที่กลับไปถึงห้องโถง ชู่เทียนเหิงกับชู่เทียนหลิงอยู่ที่นั่นแล้ว ตอนที่เห็นชู่มู่ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น
ชู่มู่ทักทายตามมารยาท ท่านอาทั้งสองก็ถามไม่น้อย ชู่มู่ค่อยๆ ตอบ ไม่ปกปิดเท่าไร
“ถ้าอย่างนั้น ความสามารถของเจ้าเพิ่มขึ้นอีกแล้ว ท่าทางภัยแร้งครั้งนี้พวกเราจะลดภาระได้ไม่น้อย” ชู่เทียนเหิงบอก
ในตอนนั้น ความสามารถของชู่มู่เข้าใกล้ชู่เทียนเหิงมากแล้ว ตอนนี้หลายปีผ่านไป ด้วยความสามารถของชู่มู่ คาดว่าน่าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูล เพียงแค่ได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลชู่หลักและประตูเมืองหลัว อาจต้านทานภัยแร้งในครั้งนี้ได้
“เรื่องภัยแร้งข้าจะจัดการตั้งแต่ต้นเหตุ ท่านอาใหญ่ อาสองไม่ต้องกังวล” ชู่มู่พูดอย่างจริงจัง
“จะกำจัดต้นเหตุ ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายแบบนั้น…” ชู่เทียนเหิงพูดพร้อมส่ายหัวอย่างไร้ทาง
กำจัดต้นเหตุงั้นหรือ ชู่เทียนเหิงอยู่ที่นี่มาหลายปี รู้ถึงความน่ากลัวของต้นเหตุภัยแร้งตั้งนานแล้ว นอกจากเจ้าโลกตะวันตกจะให้ผู้แข็งแกร่งของเขตเมืองใหญ่ต่างๆ เข้าช่วยเหลือ มิฉะนั้น พวกเขาไม่มีทางกำจัดภัยแร้งนี้จากต้นเหตุได้แน่นอน
ส่วนเจ้าโลกตะวันตกกับเจ้าเมืองต่างๆ พื้นที่ของพวกเขาปลอดภัยมาก จะมาช่วยเหลือเมืองเจ็ดสีแบบนี้ได้อย่างไร
ชู่เทียนเหิงกับชู่เทียนหลิงต่างเชื่อว่าความสามารถของชู่มู่ในตอนนี้แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนถึงระดับที่พวกเขาไม่กล้าประเมิน แต่เผชิญกับโลกอลวนภัยแร้งที่ต้องใช้ผู้แข็งแกร่งทั้งเขตโลกถึงจะกำจัดได้แบบนี้ พวกเขาจะเชื่อได้อย่างไรว่าชู่มู่คนเดียวจะทำได้
ชู่มู่กำลังจะพูด ในตอนนี้ กลิ่นหอมกุหลาบพิเศษลอยเข้ามา ชู่มู่ยังไม่ทันได้ชื่นชมกับกลิ่นหอมนี้ หญิงสาวที่มีรูปร่างมากเสน่ห์ได้ยืนอยู่ตรงหน้าตัวเองแล้ว
“ฮะฮะ เจ้ากลับมาแล้วจริงด้วย คิดว่าเจ้าลืมตระกูลเล็ก ๆ นี้ไปตั้งนานแล้ว” ชู่อิงตบไหล่ของชู่มู่ พูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
ชู่มู่เองก็จำชู่อิงได้ ส่วนนิสัยของชู่อิง ชู่มู่เข้าใจเป็นอย่างดี แค่พยักหน้าเล็กน้อยอย่างอ่อนโยน ไม่ได้พูดอะไรอีก
“ทำไมรู้สึกว่า เจ้าอ่อนโยนกว่าเมื่อก่อน ตอนนั้นเยือกเย็นอย่างกับนักฆ่า” ชู่อิงถามขึ้นทันที
อ่อนโยนเหรอ
ใช้คำนี้กับชู่มู่ยังคงเกินไปหน่อย ชู่มู่แค่รู้จักเก็บสีหน้ามากขึ้น ไม่เป็นคนไร้อารมณ์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“ไร้มารยาท เป็นผู้หญิงเสียเปล่า ไปนั่งตรงนั้น ไม่อนุญาตให้เจ้าพูดก็ห้ามพูด!” ชู่เทียนเหิงจ้องเขม็งไปยังชู่อิง
ชู่อิงทำท่าทีไม่ชอบใจ แต่กลับไม่กล้าไม่เชื่อฟังชู่เทียนเหิง กลับไปนั่งด้านข้างด้วยความเชื่อฟัง แต่ดวงตาที่เป็นประกายนั้นยังคงจับจ้องไปยังชู่มู่ ต่อให้เธอไม่พูดอะไร ชู่มู่ก็รู้ว่า เธออยากถามตัวเองว่า ความสามารถของดวงวิญญาณตอนนี้เป็นอย่างไร
ชู่เทียนเหิงก็รู้ว่า ชู่มู่เดินทางไกลเพื่อกลับมาที่นี่ ยังไม่ให้เขาได้พักหายใจก็พูดเรื่องภัยแร้งก็คงไม่ดี จึงให้หัวหน้าคนรับใช้หญิงพาชู่มู่ไปพักผ่อนในห้องที่สะอาด รอให้ถึงตอนอาหารเย็นค่อยพูดต่อ
ชู่มู่กลับไม่พักผ่อน หลังจากกลับถึงห้อง ได้ปล่อยมังกรจำศีลขี้เล่นออกมา
เวลาสองเดือนผ่านไปแล้ว ได้ต่อสู้ตลอดในหนึ่งเดือน ตอนนี้มังกรจำศีลน้อยอยู่ในลักษณะสองขั้นสี่แล้ว ความสามารถเข้าใกล้ระดับแม่ทัพขั้นต่ำมากแล้ว
อาศัยตอนที่มีเวลาว่าง ชู่มู่ได้พามังกรจำศีลน้อยไปฝึกในสวน
“ซา ซา ซา”
มังกรจำศีลน้อยก็ชอบออกกำลังกาย หลังจากเห็นหินก้อนหนึ่งในสวน เงาสีเขียวกะพริบ รวมประกายสีเขียวบนกรงเล็บทันที !
ประกายสีเขียวเป็นพลังแห่งมังกร พลังที่มันระเบิดออกมาแข็งแกร่งกว่าพลังของร่างกายมาก !
“บึ้ง !!!”
หินที่สูงเท่าคนถูกมังกรจำศีลน้อยโจมตีเป็นเศษ กระจายไปทั่ว
“บวกกับผลของพลังแห่งมังกร ความสามารถอยู่ในแม่ทัพขั้นต่ำแล้ว รอให้ถึงตอนที่ควบคุมพลังแห่งราชันได้ ความสามารถน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก”
เห็นมังกรจำศีลน้อยระเบิดพลังแบบนี้ในลักษณะสองได้ ชู่มู่เองตื่นเต้นอย่างมาก คาดว่าผ่านไปอีกสักพัก มังกรจำศีลน้อยคงกล้าต่อสู้ในเมืองตะวันตกแล้ว
“กริ๊ง กริ๊ง”
ตอนที่ชู่มู่ฝึกมังกรจำศีลน้อยอยู่ เสียงผ่องใสของภูตเวหาน้ำแข็งดังขึ้นในหัวของชู่มู่
นิ้งตื่นขึ้นมาแล้ว !
ชู่มู่ดีใจมาก รีบร่ายคาถาขึ้น อัญเชิญภูตเวหาน้ำแข็งออกมาตรงหน้าของตัวเอง
ความสามารถของภูตเวหาน้ำแข็งเรียกได้ว่า เพิ่มขึ้นอย่างพุ่งทะยาน ตอนที่ชู่มู่อัญเชิญมันออกมา ทั้งสวนนี้เกือบถูกแช่แข็งหมด ถ้าชู่มู่ไม่ห้ามภูตเวหาน้ำแข็งปล่อยกลิ่นไอออกมาได้ทัน ทั้งเรือนตระกูลชู่จะต้องถูกแช่แข็งแน่นอน
“จักรพรรรดิชั้นยอดลักษณะเก้า!” ชู่มู่ดีใจมาก ท่าทางผลของน้ำแข็งเทพดิน ทำให้ภูตเวหาน้ำแข็งได้ประโยชน์ไม่น้อย ไม่เพียงแต่ข้ามไปยังระดับจักรพรรดิชั้นยอด อีกทั้งยังเติบโตจนถึงลักษณะเก้าขั้นสูงอีก ความสามารถนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก!
จักรพรรดิชั้นยอดลักษณะเก้าขั้นสูง ความสามารถของมันเทียบเท่ากับจักรพรรดิลักษณะสิบขั้นสูงแล้ว และถ้าเพิ่มจากลักษณะเก้าขั้นสูงให้เป็นลักษณะสิบจะไม่ใช่เรื่องยาก
“พื้นที่ของภัยแร้งครั้งนี้น่าจะไม่น้อย อีกไม่กี่วันจะต้องให้เจ้าแสดงฝีมือแล้ว” ชู่มู่ลูบภูตเวหาน้ำแข็งแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
ภูตพันวายุของชู่มู่เน้นโจมตีกลุ่ม แต่พลังทำลายล้างของลมยังคงไม่สามารถเทียบได้กับหมวดน้ำแข็งได้ ภูตเวหาน้ำแข็งยังต้องเป็นกำลังหลัก
“กริ๊ง” ภูตเวหาน้ำแข็งยิ้มอย่างไร้เดียงสา อดใจไม่ไหวที่จะให้ชู่มู่เห็นพลังใหม่ของมัน
…
ระหว่างอาหารเย็น นอกจากเสี่ยวหยุนกับซุนหยวนแล้ว ชู่มู่รู้จักคนอื่นหมด แต่ละคนเป็นคนกันเองทั้งสิ้น
ชู่เทียนเหิงพูดเรื่องชื่นชมชู่มู่ก่อน แล้วดื่มพร้อมกัน ส่วนคนอื่นต่างรู้ตำแหน่งของชู่มู่ในตระกูลชู่ พวกเขาต่างส่งเสียงไปด้วย
ส่วนเสี่ยวหยุนและซุนหยวนสองคนนี้ ต่างรู้สึกแปลกใจที่ทำไมตระกูลชู่ถึงให้ความสำคัญกับวัยหนุ่มคนหนึ่งแบบนี้ แขกคนสำคัญอย่างพวกเขาสองคนยังไม่ได้รับการต้อนรับแบบนี้
แม้จะเป็นอาหารเย็น แต่เป็นเพราะเรื่องของภัยแร้งเป็นเรื่องฉุกเฉิน ยังคงเลี่ยงที่จะคุยเรื่องนี้ไม่ได้
“ครั้งนี้เป็นภัยแร้งระดับที่เท่าไร ใครมีข่าวแน่นอนไหม” ชู่มู่เองก็รู้สึกว่า นี่เป็นเรื่องที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน จึงถามขึ้น
“คาดว่าเป็นภัยแร้งขั้นเก้า อีกสามวันน่าจะมีฝูงดวงวิญญาณระดับทาสถูกดวงวิญญาณแข็งแกร่งไล่ต้อนมาที่นี่แล้ว ต่อจากนี้จะมีดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นปรากฏตัว” ชู่เทียนเหิงบอก
หลังจากได้ยินว่า เป็นภัยแล้งขั้นเก้า ลูกสาวเจ้าเมืองเสี่ยวหยุนเองก็อดใจที่จะพูดไม่ได้ว่า “ภัยแร้งขั้นเก้า เมืองขั้นเก้าจะสลายแน่นอน ก่อนหน้านี้บอกว่าแค่ขั้นแปดไม่ใช่เหรอ”
ชู่เทียนเหิงยิ้มฝืน ๆ แล้วพูดว่า “ขั้นเก้ายังเป็นการประเมินเผื่อไว้ คุณหญิงเสี่ยวหยุนมาไม่เป็นเวลาจริงๆ”
“น่าจะประมาณวันที่สิบ ภัยแร้งจะเกิดขึ้นจริงๆ”
“ในเมื่อเลือกที่จะอยู่ต่อละก็ ต้องเฝ้าทั้งตะวันตก ออก ใต้ ให้ดี ทิศใต้น่าจะเป็นบริเวณที่โจมตีดุเดือดที่สุด ให้คนของตระกูลพวกเรารับผิดชอบ ประตูเมืองหลัวจะส่งผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งมา ได้ข่าวว่าอยู่ในระดับเจ้าวิญญาณหมด พวกเขาน่าจะมาถึงพรุ่งนี้ ให้พวกเขาช่วยพวกเราเฝ้าตะวันตก ส่วนด้านตะวันออกจะให้ผู้คุมดวงวิญญาณและคนช่วยจากตระกูลชู่หลักที่พวกเราจ้างมารับผิดชอบ…” ชู่เทียนหลินเริ่มแบ่งหน้าที่คร่าว ๆ
ก่อนหน้านี้ได้แบ่งวิธีการเฝ้าเมืองไว้แล้ว แต่ระดับของภัยแล้งเพิ่มขึ้น บวกกับการเข้าร่วมของสมาชิก จำต้องมีการเปลี่ยนแปลง
หลังจากพูดจบ ชู่เทียนหลิงเองก็กวาดตามองไปยังชู่มู่ ถามขึ้นว่า “ชู่มู่ เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“ทำไมคนของประตูเมืองหลัวถึงยอมเข้าช่วย” ชู่มู่ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เรื่องนี้ ท่านอาห้าของเจ้ารู้จักกับคนของประตูเมืองหลัวบางคน แต่ครั้งนี้ก็แปลกมาก ความจริงคนที่ท่านอาห้ารู้จักมีตำแหน่งที่ไม่สูงเท่าไร แต่ครั้งนี้กลับมีผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงหลายคนมา ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเรื่องนี้ พวกเราก็ไม่กล้าอยู่ที่เมืองเจ็ดสีนี้ต่อ” ชู่เทียนหลิงบอก
“อย่างนั้นหรือ ได้รับการช่วยเหลือก็ดี…” ชู่มู่พูดอย่างมีนัยแฝง
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดอย่างไร มีวิธีต้านภัยแร้งวิธีอื่นไหม” ชู่เทียนเหิงถามขึ้น
ตอนนี้ตระกูลชู่ต่างยอมรับว่า ชู่มู่เป็นคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่สุด ย่อมต้องฟังความเห็นของชู่มู่
ชู่มู่ส่ายหัว ไม่ได้เสนอความเห็นอะไร
กองทัพระดับทาสงั้นหรือ มังกรจำศีลน้อยของชู่มู่ต้องการฝึกพอดี มาเท่าไรก็ฆ่าเท่านั้น
ส่วนกองทัพระดับแม่ทัพกับกองทัพระดับผู้นำภัยหลัง ให้ภูตเวหาน้ำแข็ง ปีศาจนักรบไม้ ภูตพันวายุซึ่งเป็นดวงวิญญาณโจมตีแบบกลุ่มมาจัดการก็พอแล้ว ชู่มู่ไม่ได้รู้สึกต้องกังวลอะไร
แต่กลับเป็นการปรากฏตัวของประตูเมืองหลัว ที่ทำให้ชู่มู่รู้สึกไม่ชอบกล
ตามปกติแล้ว อำนาจของประตูเมืองหลัวเกินกว่าโลกตะวันตกแล้ว จำนวนของราชันวิญญาณน่าจะไม่น้อย ประตูเมืองหลัวเองได้รับสมาชิกที่มีความสามารถค่อนข้างแข็งแกร่งเข้ามา ชู่มู่ไม่เข้าใจว่า ทำไมคนของประตูเมืองหลัวถึงขยันส่งผู้แข็งแกร่งมาช่วยเหลือตระกูลชู่ได้
“นายท่าน ไม่ต้องเดาแล้ว หากเป็นเพราะฉิงมางเอ๋อได้นำจดหมายไปยังประตูเมืองหลัว บอกว่าผู้ที่ชนะการประลองฟ้าดินอย่างเจ้าเป็นคนของตระกูลชู่ ประตูเมืองหลัวจงใจเข้ามาเพื่อผูกมิตร หรือไม่ก็ประตูเมืองหลัวมาเพื่อแหล่งวิญญาณอันนั้นที่ข้าบอก ความจริงแล้ว พอผ่านช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขาจะมาสืบข่าวที่นี่ แล้วดูว่ามีโอกาสจะได้มาไหม ที่บอกว่าจะเข้ามาช่วยเหลือเมืองเจ็ดสีครั้งนี้อาจเป็นเรื่องโกหก ความจริงก็มาเพื่อสืบข่าว ตามหาแหล่งวิญญาณมากกว่า ข้ารู้สึกว่า อันหลังมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า” ผู้เฒ่าหลีบอก
———————————————————————