กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ - ตอนที่ 31 อย่าเชื่อใจสตรี
“พอเถอะ ข้ายอมแพ้”
ท้ายที่สุด เป็นเยว่ยวินเองที่ไม่อาจทนรับแรงกดดันจนเลือกที่จะถอนตัวไปเอง
เยว่ยวินมีความรู้สึกที่หลากหลายขณะก้าวลงมาจากลานเมฆา ต้องขอบคุณเล่ห์กลของหวังลู่ที่ไม่มีบทเพลงไว้อาลัยอย่างที่คาดไว้ เขาไม่ได้พ่ายแพ้อย่างนักรบในสงคราม
ทว่า… พูดตามตรง จากการเผชิญหน้ากันในรอบที่ผ่านมา เยว่ยวินเห็นช่องว่างระหว่างสองฝั่งอย่างชัดเจน จ้านจื่อเย่ยังไม่ทันได้ปล่อยพลังเต็มที่… ไม่สิ เขาปล่อยพลังเต็มที่ เพียงแค่ว่าเขาใช้พลังที่ว่าไปกับการควบคุมสถานการณ์ไม่ใช่เอาชนะคู่ต่อสู้ พลังที่อีกฝ่ายใช้ไปกับฝ่ามือสายฟ้าเพียงพอแค่เจาะทะลวงโล่ดินของเยว่ยวินโดยที่ไม่ทำอันตรายไปมากกว่านี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการคำนวณอย่างเยี่ยมยอด
หากการต่อสู้ยังดำเนินต่อไป มันจะกลายเป็นการบุกสังหารฝ่ายเดียว ไม่แน่ว่าการจบรอบด้วยความอับอายเช่นนี้อาจจะดีกว่าสำหรับเขาเอง
หลังจากที่เขาออกจากลานประลองไป เยว่ยวินก็เดาไปเรื่อยว่านี่อาจเป็นเพราะศิษย์พี่หวังลู่หวังดีต่อเขา ทว่า… มันก็ยากที่จะยอมรับไปสักหน่อย
อย่างไรเสีย การประลองรอบแรกของทั้งสองสำนักก็สิ้นสุดลงแล้ว ก่อนจะถึงการแข่งรอบต่อไป ผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักจะต้องประเมินผลการแข่งในครั้งนี้เสียก่อน และความจริงแล้วนี่คือส่วนที่สำคัญที่สุดในการแข่ง
ตัวแทนของทั้งสองสำนักต่างก็เป็นหัวกะทิของพวกที่อยู่ในรุ่นเดียวกัน หากจัดลำดับในโลกบำเพ็ญเซียนของอาณาจักรเก้าแคว้นแล้ว พวกเขาย่อมเป็นหัวกะทิในหมู่หัวกะทิ และการต่อสู้ของพวกเขาย่อมเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดการประลอง ทว่าในสายตาของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่และขั้นเปลี่ยนวิญญาณ เป็นธรรมดาที่ข้อบกพร่องของพวกเขาย่อมมีมากมาย ข้อบกพร่องแต่ละข้อ… วิธีหลีกเลี่ยงและวิธีปรับปรุงให้ดีขึ้น… เหล่าผู้อาวุโสจะเป็นคนชี้ให้เห็นอย่างละเอียดลออ การชี้แนะเช่นนี้จากผู้อาวุโสย่อมเป็นสิ่งที่ศิษย์ทั่วไปต้องการ
ทว่าภายใต้สถานการณ์ที่น่าอับอายครั้งนี้ ผู้อาวุโสของทั้งสองฝ่ายต่างพากันนิ่งเงียบอยู่เป็นนาน
“อะแฮ่ม” ในฐานะเจ้าบ้าน หลิวเสี่ยนย่อมต้องเอ่ยอะไรสักอย่างเพื่อทำลายความเงียบที่น่ากระอักกระอ่วนเช่นนี้ “เมื่อครู่ จ้านจื่อเย่ หัวหน้าศิษย์ของสำนักเซียนหมื่นเวท และเยว่ยวิน ศิษย์สำนักของเราได้แสดงให้พวกเราเห็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม จ้านจื่อเย่คู่ควรกับการเป็นตัวแทนหลักของสำนักเซียนหมื่นเวทอย่างแท้จริง ไม่เพียงเขาจะมีพลังอิทธิฤทธิ์ที่ดีเลิศ แต่วิชาจิตเซียนห้าอสนีบาตระดับกลางของเขาก็ปล่อยความร้อนออกมาได้ค่อนข้างมาก และทุกคนก็คงประจักษ์กับความทรงพลังของกายสายฟ้ากันแล้ว ข้าหวังว่าศิษย์ของทั้งสองสำนักจะถือเอาจ้านจื่อเย่เป็นแบบอย่างและพยายามพัฒนาการบำเพ็ญเซียนของตน…”
คำพูดของหลิวเสี่ยนนั้นค่อนข้างแห้งแล้งเมื่อเทียบกับความคาดหวังของผู้ชม ในความคิดของหลายๆ คน หลังจากที่การต่อสู้จบลง ผู้อาวุโสควรที่จะวิจารณ์การต่อสู้อย่างครอบคลุม เช่น หลิวเสี่ยนควรชี้ข้อดีและข้อด้อยของจิตเซียนห้าอสนีบาตโดยประยุกต์มันเข้ากับมุมมองของเยว่ยวินเพื่อที่ว่าเยว่ยวินจะได้มีโอกาสชนะจ้านจื่อเย่ เผื่อว่าพวกเขาจะได้ต่อสู้กันอีกในภายหน้า ถึงแม้เยว่ยวินจะห่างชั้นกับจ้านจื่อเย่มาก แต่ก็ไม่ได้ยากที่จะชนะหากได้ประสบการณ์และความเข้าใจที่ลึกซึ้งของผู้อาวุโสขั้นกำเนิดใหม่เข้าช่วย
ในขณะเดียวกัน หยวนฉาวเหนียนก็ควรประยุกต์การสังเกตของเขาผ่านมุมมองของจ้านจื่อเย่เพื่อที่เขาจะได้บรรเทาวิธีของเยว่ยวิน จากนั้นทั้งสองฝั่งควรจะโต้เถียงกันในเรื่องนี้ ซึ่งไม่ควรน่าสนใจน้อยกว่าการแข่งขันจริงๆ
ทว่าตอนนี้หลิวเสี่ยนจะมีหน้ามาถกเถียงเรื่องการต่อสู้ได้อย่างไร หลังจากกล่าวยกย่องไปอย่างแกนๆ และจืดชืดแล้ว เขาก็รีบจบการประเมินผลที่น่าอึดอัดนี่โดยเร็ว
ทว่าคำพูดของหยวนฉาวเหนียนนั้นกลับเกินความคาดหมาย
“การต่อสู้ครั้งนี้นั้นวิเศษมาก โดยเฉพาะการที่สำนักกระบี่วิญญาณแสดงให้เห็นความจริงที่เรียบง่ายและลึกซึ้งผ่านวิธีที่ไม่คาดคิด ผลของการแข่งขันไม่ได้ขึ้นอยู่กับพลังอิทธิฤทธิ์และขั้นตบะเพียงอย่างเดียว ไม่มีใครควรมีความคิดว่าแค่เพียงพวกเขาแข็งแกร่งกว่าชัยชนะย่อมเป็นของพวกเขาแน่ เมื่อครู่จากผู้แข่งขันทั้งสองฝ่าย จ้านจื่อเย่ได้เปรียบด้านความแข็งแกร่งแต่หากไม่ได้ไห่อวิ๋นฟานช่วยเอาไว้ ข้าก็เกรงว่าฝ่ายเราจะพ่ายแพ้ แพ้เพราะผ้าเช็ดหน้าผืนเดียว!”
จ้านจื่อเย่ที่ยืนอยู่ด้านล่างมีใบหน้าแดงก่ำและพยายามปฏิเสธ “เดี๋ยวก่อน ข้าไม่แพ้แน่!”
หยวนฉาวเหนียนส่งเสียงฮึ “งั้นหรือ งั้นทำไมเจ้าไม่ทิ้งผ้าเช็ดหน้าในมือไปเสียเล่า”
“เอ่อ ต่อให้ข้าตาย ข้าก็จะไม่ทิ้งมันแน่ๆ!” ต่อหน้าผู้เป็นอาจารย์ ตัวแทนหลักก็ได้แสดงความกล้าหาญที่น่าตกตะลึงออกมา
“…” หยวนฉาวเหนียนปรายตามองอีกฝ่าย พลางตัดสินใจว่าควรจะสั่งสอนเขาในภายหลัง จากนั้นก็วิจารณ์ต่อ “หลายคนอาจจะสงสัยว่าจ้านจื่อเย่มีอาการป่วยทางจิตหรือเปล่า หรือวิสัยของเขาต่อการบำเพ็ญเซียนได้พังทลายไปแล้ว ความจริงสติปัญญาและความเฉียบแหลมของเขานั้นดีกว่าคนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่ ความมุ่งมั่นในการบำเพ็ญเซียนของเขาก็ไม่น่าเคลือบแคลงใจ จากมุมมองของผู้ที่มีจิตเซียนสายฟ้าสีชาดสิบหกชั้น กายสายฟ้าของเขานั้นอยู่ในขั้นที่สูงส่ง ทว่าการบำเพ็ญจิตเซียนไม่ได้หมายความว่าจะไม่กระทบกับสภาวะอารมณ์ ตรงข้าม มากกว่าครึ่งของวิชาบำเพ็ญจิตเซียนในโลกบำเพ็ญเซียนจะทำให้บุคลิกของผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นดุร้ายขึ้น!
ยิ่งผู้บำเพ็ญเซียนทรงพลังเท่าไร จุดอ่อนของเขาก็จะยิ่งเห็นได้ชัดเจนเท่านั้น สิ่งที่เรียกว่า ‘ผู้บำเพ็ญเซียนสงบนิ่ง’ ทางอารมณ์เป็นเพียงสิ่งล้าสมัย ปฏิเสธไม่ได้ว่าจุดอ่อนของจ้านจื่อเย่นั้นชัดเจนมาก และถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะเล่นงานจุดอ่อนนั้นอย่างชาญฉลาดและสมเหตุสมผล แต่หลายคนอาจคิดว่ามันเป็นการกระทำที่เลวทราม ทว่าหลังจากรู้ว่าความแข็งแกร่งของตนนั้นไม่เท่ากับฝ่ายตรงข้าม และโอกาสในการชนะนั้นแทบจะเป็นศูนย์ เขากลับพยายามทำตัวกล้าหาญและสู้กับอีกฝ่ายซึ่งๆ หน้า เช่นนั้นคนคนนั้นก็ถือว่าเบาปัญญา! ในเมื่อไม่มีในกฎข้อห้าม เช่นนั้นก็สามารถเล่นงานจุดอ่อนของอีกฝ่ายและเอาชนะจากจุดอ่อนนั้นได้! ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจความจริงข้อนี้”
ทันใดนั้น เสียงปรบมือกึกก้องก็ดังมาจากลานเบื้องล่าง และส่วนใหญ่มาจากศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณ
นั่นเพราะพวกเขาไม่คิดว่าผู้อาวุโสของสำนักเซียนหมื่นเวทที่ถือตัวและทรงอำนาจจะใจกว้างอย่างไม่น่าเชื่อ คำพูดของเขาถือเป็นการให้อภัยต่อแผนการน่ารังเกียจนั่น! น่ายกย่อง น่ายกย่องมากจริงๆ!
เมื่อการประเมินการต่อสู้ในรอบนี้จบลง ทั้งสองฝ่ายก็เตรียมพร้อมในการต่อสู้รอบต่อไป หยวนฉาวเหนียนรวมถึงผู้อาวุโสคนอื่นเดินตรงมายังบริเวณที่ศิษย์ของพวกเขานั่งอยู่
แน่ละว่าหลายคนไม่พอใจกับคำพูดของเขา
“อาจารย์ ทำไมถึงปล่อยคนสารเลวนั่นไป สิ่งที่พวกเขาทำกับเราเห็นชัดว่าเป็นกลโกง!” เจ้าเจียงยวันผู้ที่ดูหงุดหงิดที่สุดถามเสียงดัง
หยวนฉาวเหนียนเหยียดยิ้ม “โกง? โกงด้วยกฎข้อไหนกัน เจ้าน่าจะท่องกฎได้ขึ้นใจแล้ว ไหนลองท่องมาซิข้าจะได้ฟังด้วย”
เจ้าเจียงยวันอับจนคำพูดในทันที “…แต่มันเป็นวิธีที่ยอมรับไม่ได้”
“ยอมรับไม่ได้? ดูเหมือนว่าคำพูดที่ข้าเพิ่งพูดไปจะเปล่าประโยชน์แล้ว ข้านึกว่าสิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าเจอมาจะทำให้พวกเจ้ามีสติขึ้นสักนิด แต่ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะหัวดื้อกว่าที่คาดไว้! ใช่ คนพวกนั้นต่างน่ารังเกียจ แต่หากไม่ใช่เพราะไห่อวิ๋นฟาน ที่ใช้วิธีน่ารังเกียจโต้กลับเช่นกัน ศิษย์พี่ใหญ่ที่เจ้าบูชานักหนาอาจจะแพ้ไปแล้ว! ก่อนที่เราจะลงจากเขาเพื่อมาที่นี่ เจ้าสำนักบอกข้าอย่างสุขุมว่าหากสำนักกระบี่วิญญาณดีเพียงชื่อแต่ไร้แก่นสาร เช่นนั้นเราจะเหยียบย่ำพวกเขายังไงก็ได้ แต่หากเป็นตรงกันข้าม เราก็ควรจะถือว่าการแข่งขันนี้คือการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ที่นานๆ ทีจะได้เจอสักครั้ง โดยไม่ต้องสนว่าเราอาจจะพ่ายแพ้! พวกเจ้าทั้งหลายยกเว้นไห่อวิ๋นฟานยังขาดความเจนจัดในชีวิต ใครก็ตามที่เริ่มบำเพ็ญเซียนตั้งแต่อายุยังน้อยมักขาดมุมมองด้านนี้ทั้งนั้น เหตุผลหลักที่เจ้าสำนักให้ข้าเป็นหัวหน้าในการเดินทางครั้งนี้เพื่อที่ข้าจะได้มีโอกาสพูดคำเหล่านั้นยังไงเล่า!”
เมื่อถูกผู้เป็นอาจารย์ตวาดใส่ เหล่าศิษย์ก็ได้แต่นิ่งเงียบในทันใด
“ทว่าในเมื่อฝ่ายตรงข้ามหวังพึ่งเล่ห์กลสกปรกเช่นนี้ มันก็แปลว่าพวกเขาหมดปัญญาที่จะตอบโต้เราซึ่งๆ หน้า… ในการวิเคราะห์ครั้งสุดท้าย ถึงแม้ความแข็งแกร่งจะไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เมื่อพิจารณาจากปัจจัยทั้งหมดแล้ว ความแข็งแกร่งของพวกเจ้าย่อมบดขยี้ฝ่ายตรงข้ามได้แน่นอน! ดังนั้นในการแข่งขันสามรอบต่อจากนี้ อย่าทำให้ข้าผิดหวังเสียล่ะ”
เย่เฟยเฟย เจ้าเจียงยวันและคนอื่นๆ รับคำเป็นเสียงเดียวกัน
——
ผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ การแข่งขันรอบที่สองก็กำลังจะเริ่มขึ้น ถึงตอนนี้ความกระตือรือร้นของผู้ชมก็มากกว่ารอบที่แล้วถึงเท่าตัว
นั่นเพราะหลิวหลีจะได้ปรากฏตัวเสียที
ในฐานะศิษย์ผู้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์และไพ่แห่งชัยชนะที่แกร่งที่สุดของสำนักกระบี่วิญญาณ ความโด่งดังของหลิวหลีนั้นล้นหลามอย่างมากในเหล่าศิษย์ด้วยกัน แม้แต่หวังลู่เองซึ่งเป็นศิษย์ผู้สืบทอดเหมือนกันก็ไม่อาจเทียบได้ นางถือกระบี่น้ำหนักเบาและเหาะมาบนลานประลองพร้อมเสียงโห่ร้องดังกึกก้องจนดูราวจะเจาะทะลวงก้อนเมฆได้
“ศิษย์พี่หญิงหลิวหลี พวกเรารักท่าน!”
“อืม ฮ่ะๆ” หลิวหลีหันหลังไปส่งยิ้มให้พวกเขา กระโปรงสีสันสดใสของนางโบกสะบัดราวเมฆสีกุหลาบ
“ศิษย์พี่หญิงหลิวหลี ท่านทำได้แน่! เอาให้พวกเขารู้ไปเลยว่าใครเป็นใคร!”
“อืม!” หญิงสาวพยักหน้าจากนั้นก็กำหมัด
“ศิษย์พี่หญิงหลิวหลี พวกเราอยากเห็นกระบี่กระจ่างใจจัง!”
“ได้เลย!” หญิงสาวทำท่า ‘ไม่มีปัญหา’ จากนั้นก็ยิ้มหวานปานดอกไม้
…
ขณะเดียวกัน ที่ปลายอีกฝั่งของลานประลอง ลู่เฉียนไช่ก็ยิ้มหยันออกมาเล็กน้อย
‘ช่างเป็นศิษย์พี่หญิงหลิวหลีที่วางโตเสียจริง ใช่ ใช่ เจ้าน่ะแข็งแกร่งเหลือกำลัง แม้แต่ศิษย์พี่ของข้ายังมีโอกาสชนะเจ้าได้แค่เจ็ดส่วน ส่วนข้านั้นโอกาสยังไม่ถึงสามส่วนเลย’
‘แต่สามส่วนที่ว่าก็ไม่ใช่ตัวเลขที่ต่ำเตี้ย ตราบใดที่ข้าวางแผนได้ดี ชัยชนะก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นแล้ว’
‘เราทั้งคู่ต่างมีตบะขั้นสร้างฐานระดับต้น ดังนั้นแล้วพลังอิทธิฤทธิ์ของเราจึงถือว่าไม่ต่างกัน หลิวหลีมีเพียงสิ่งที่เรียกว่าวิชากระบี่กระจ่างใจ ซึ่งเป็นวิชาเซียนชั้นยอดที่เทียบได้กับวิชากระบี่เซียนโบราณ ทว่าเมื่อพิจารณาลักษณะพิเศษที่สุดโต่งของวิชากระบี่นี้ ตราบใดที่ข้าเตรียมตัวให้ดีล่วงหน้า… ข้าย่อมไม่สิ้นท่าให้กับมันแน่’
‘ข้าเตรียมตัวมาถึงหนึ่งวันเต็มเพื่อจะรับมือกับเพลงกระบี่กระจ่างใจของเจ้า ไม่แน่ว่าศิษย์พี่สามเองหรือแม้กระทั่งศิษย์พี่หญิงสองก็คงไม่มีวิธีรับมือในสถานการณ์เช่นนี้ ดังนั้นข้าจึงถูกเลือกให้เป็นคู่แข่งของเจ้า และก็ถือเป็นคราวเคราะห์ของเจ้าแล้ว’
ไม่นานนัก ผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักก็ก้าวขึ้นมาบนลานประลอง หลังจากพิสูจน์และยืนยันตัวตนแล้ว พวกเขาก็ประกาศให้เริ่มการแข่งขันได้
หลิวหลีหัวเราะคิกคักและพุ่งตัวเข้าไปหาฝ่ายตรงข้ามเกือบจะในทันที ขณะที่นางเสือกกระบี่คมกริบเข้าใส่อีกฝ่ายกระโปรงยาวหลากสีของนางมองดูไม่ต่างจากสายรุ้งที่งดงาม
วิหารหยกของลู่เฉียนไช่สั่นไหวรุนแรง เขารู้สึกได้ถึงหายนะที่ใกล้เข้ามาได้ในทันที ตอนที่มืออันว่องไวของหญิงสาวเสือกกระบี่มาด้านหน้า มองจากภายนอกมันไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่มีความหมายเลยสักนิด ทว่าด้วยการรับรู้ของพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขา การเคลื่อนไหวของนางไม่ต่างจากเปลวเพลิงที่เผาไหม้ท้องฟ้าและทะเล และดูราวกับว่าความคมของมันจะสามารถแยกสวรรค์และโลกมนุษย์ออกจากกันได้
นี่คือเพลงกระบี่ที่รุนแรงระดับเซียน ซึ่งมีจิตกระบี่กระจ่างใจคอยหนุนอยู่อีกที พลังของมันนั้นเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ ทั้งกระบี่และเปลวเพลิงหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ การโจมตีครั้งนี้ดูเหมือนไม่อาจสกัดได้ ต่อให้เป็นศิษย์พี่ของเขาก็เถอะ ไม่มีทางที่จะสกัดได้อย่างแน่นอน
ทว่าแทนที่จะหลบหรือหนีไป ลู่เฉียนไช่กลับดูไม่ไยดี ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะเขาตั้งรับไม่ทันหรือว่ามั่นใจกันแน่
อึดใจถัดมา เมื่อกระบี่อัคคีเกือบสัมผัสเข้าที่หน้าผากเขา ลู่เฉียนไช่ก็โคจรพลังอิทธิฤทธิ์ พร้อมกับโปรยยันต์นับสิบแผ่นออกมาและจุดมัน ทำให้กายของเขาไร้รูปร่าง กระบี่จึงพุ่งผ่านเขาไปโดยที่ทั้งกระบี่และเปลวเพลิงไม่ส่งผลใดๆ กับลู่เฉียนไช่สักนิด!
ขณะเดียวกัน มือทั้งสองข้างของลู่ฉียนไช่ก็ถือยันต์สีทึมไว้ เขายิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
นี่คือจังหวะที่เขารอคอย! เพื่อที่จะรับมือกับกระบี่เพลิงของอีกฝ่าย เขาใช้เวลาเมื่อวานทั้งวันตระเตรียมการโต้กลับเป็นพิเศษ เขาเปลี่ยนแก่นชีวิตและเลือดของตัวเองให้กลายเป็นยันต์นับสิบใบที่ส่งผลแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นทำให้ร่างกายพร่ามัว ต้านกระบี่ เปลี่ยนร่างกายให้เป็นเปลวเพลิงและอื่นๆ
มีเพียงผู้เชี่ยวชาญด้านยันต์เท่านั้นที่จะทำอะไรเช่นนี้ได้ เขาวางแผนและเตรียมการอยู่เนินนานเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังพิเศษในชั่วขณะหนึ่ง!
แม้เมื่อต้องเผชิญกับพลังกระบี่ที่น่าทึ่งของหลิวหลี ยันต์ของลู่เฉียนไช่จะมีผลเพียงแค่ระยะสั้นๆ แต่ก็เพียงพอให้เขาเตรียมตัวโต้กลับได้ อย่างที่ศิษย์พี่จ้านจื่อเย่กล่าวไว้ แม้การจู่โจมของหลิวหลีจะทรงพลังมาก แต่การตั้งรับของนางกลับไม่ดีนัก เมื่อนางพุ่งกระบี่ใส่ศัตรู จุดอ่อนของนางก็จะเผยออกมาทันที หากเขาต้องการจะชนะ เขาก็ต้องฉวยโอกาสนี้ไว้!
“พอข้าจุดยันต์วิญญาณนี่และโยนใส่เจ้า เราก็จะรู้ผลแพ้ชนะในทันที!”
ทว่าทันใดนั้นลู่เฉียนไช่กลับตะลึงไป
กระบี่อ่อนสีน้ำเงินเข้มเสือกตรงมาที่หน้าเขาราวกับเซียนที่เหาะมาจากสวรรค์ คลื่นอากาศมหาศาลเข้าโอบรอมตัวเขาในทันที
ในฐานะศิษย์แห่งสำนักเซียนหมื่นเวทที่ร่ำเรียนมาอย่างดี ลู่เฉียนไช่ก็รู้ในทันทีว่านี่คือกระบี่วารีกระจ่างใจสิบหกชั้น ซึ่งเป็นกระบี่ซึ่งยันต์ที่เขาเตรียมมาไม่อาจรับมือได้
“ระยำ ทำไมไม่เคยมีใครบอกข้าว่าหลิวหลีคนนี้มีกระบี่สองแบบเล่า…”
…………………………………………………………