STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา - ตอนที่ 30-3 คืนก่อนพายุลมฝนจะมา (3)
ตอนที่ 30 คืนก่อนพายุลมฝนจะมา (3)
หลี่ฮ่าวขมวดคิ้วถาม “ผู้พิทักษ์รัตติกาลก็ทำอะไรไม่ได้เหรอครับ อย่างน้อยก็เป็นถึงผู้บังคับการตรวจตราของกองตรวจการณ์! ครอบครัวของผู้บังคับการตรวจตราถูกฆ่า ผู้พิทักษ์รัตติกาลยังไม่ช่วยแก้แค้นให้ แล้วองค์กรแบบนี้ ต่อให้เป็นของทางการ แล้วจะยังเหลือความน่าเกรงขามอะไรอีก”
เขาไม่คิดว่าเพราะยำเกรงต่อองค์กรพลังเหนือธรรมชาติ แม้ครอบครัวของผู้บังคับการตรวจตราจะถูกฆ่า ผู้พิทักษ์รัตติกาลก็ยังไม่สามารถเอาคืนให้ได้
นี่…ยังเหลือความน่าเกรงขามอีกหรือ
จากนิสัยของหลี่ฮ่าว ต่อให้ไม่เอาคืนกันซึ่งๆ หน้า ก็ต้องหาวิธีเชือดไก่ให้ลิงดูลับๆ บ้างสิ ไม่อย่างนั้นจะรักษาความน่าเกรงขามได้อย่างไร
ส่วนหลิวเยี่ยน ก็เหลือเพียงความน่าเห็นใจ
คำพูดของหลิวหลงชัดเจนมาก ถ้าใครแก้แค้นให้หลิวเยี่ยนได้ ดอกกุหลาบมีหนามดอกนี้ เกรงว่าจะยอมทำทุกอย่าง!
ความจริงนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเรื่องหนึ่ง!
เธอเป็นถึงผู้บังคับการตรวจตรา หลี่ฮ่าวเป็นเพียงผู้ตรวจการณ์ระดับสามซึ่งห่างกันหลายขั้น แต่สุดท้ายผู้บังคับการตรวจตรากลับยังเอาคืนให้ตัวเองไม่ได้
หลิวหลงถอนหายใจอีกที วันนี้ดูเหมือนจะถอนหายใจบ่อยเหลือเกิน
เขาทำท่าระอาใจหน่อยๆ ส่ายหน้าพูด “ขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติซับซ้อนกว่าที่คุณคาดไว้เยอะ! พูดแบบนี้แล้วกัน ผู้พิทักษ์รัตติกาลไม่ได้อ่อนแอ แต่ถ้าจะพูดถึงความสามารถโดยรวมอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ! องค์กรหลายๆ กลุ่มอาจจะมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ฝีมือไม่ด้อยไปกว่าผู้พิทักษ์รัตติกาลก็ได้! อีกอย่างผู้พิทักษ์รัตติกาลยังมีข้อที่พึงคำนึงหลายอย่าง ในเมื่อเป็นองค์กรทางการจึงไม่สามารถฆ่าให้ตายกันไปข้างได้ตามอำเภอใจ…คุณต้องรู้ ว่าผู้พิทักษ์รัตติกาลยังต้องแบกรับภารกิจปกปักคุ้มครองเมืองใหญ่ต่างๆ!”
พูดง่ายๆ ก็คือผู้พิทักษ์รัตติกาลมีข้อจำกัดมากไป
หากล่วงเกินองค์กรพลังเหนือธรรมชาติทั้งองค์กรเพื่อผู้บังคับการตรวจตราคนหนึ่ง บางทีอาจจะก่อให้เกิดการต่อต้านขององค์กรอื่นๆ ได้ ในมุมมองของเบื้องบนจึงเป็นเรื่องที่มีแต่ผลเสีย
หากยืนในมุมของเบื้องบนคงพอเข้าใจได้
แต่หากยืนในมุมของหลี่ฮ่าวกับผู้เสียหายกลับเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก
“แล้วแค้นของพี่หลิวก็ชำระไม่ได้อย่างนั้นเหรอครับ”
“ช่วยไม่ได้ นอกจากเราจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ เราสามารถใช้ชื่อตัวเองในการแก้แค้นได้ แต่ไม่สามารถอ้างชื่อของผู้พิทักษ์รัตติกาล…”
หลิวหลงพูดเสียงเรียบ “เรื่องนี้ ในฐานะที่ผมเป็นหัวหน้าทีมย่อมวางแผนไว้แล้ว! แต่ก่อนอื่นผมต้องกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ”
ไม่อย่างนั้นก็เหมือนคนพูดจาเหลวไหล ไม่มีทางเป็นจริงได้
คนที่ฆ่าสามีของหลิวเยี่ยน ตอนนี้อยู่ขั้นสูงสุดของจันทราทมิฬแล้ว กระทั่งมีหวังว่าจะได้เข้าสู่ขั้นสุริยะพราย ขึ้นชื่อว่าสุริยะพราย ไม่ว่าจะอยู่ในองค์กรใดก็ถือเป็นบุคคลชนชั้นสูงทั้งนั้น
หากไม่กลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ลำพังเป็นแค่ทะลวงร้อยคนหนึ่งคงต่อกรอะไรคนๆ นั้นไม่ได้
หลี่ฮ่าวพยักหน้าเงียบๆ ต่อให้ในใจจะผุดความคิดมากมายแต่กลับไม่พูดอะไรออกไป
เขานึกถึงคนอื่นๆ เลยถามอีก “พี่ใหญ่ แล้วคนอื่นล่ะ”
“พวกเขาเหรอ”
หลิวหลงตอบเสียงกลั้วหัวเราะ “ทุกคนต่างมีเรื่องราวของตัวเอง แล้วจะสะกิดแผลเขาไปทำไม! ทางหลิวเยี่ยน เพราะผมเห็นว่าเธอฝากความหวังไว้กับคุณมาก เมื่อกี้คุณดูดซับพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติเร็วเกินไป ผมเห็นว่าเธอมีท่าทีหวั่นไหวจริงๆ ถึงต้องเตือนคุณไว้ก่อน คุณจะได้ไม่ล้มเพราะถูกของสวยของงามล่อตาล่อใจตั้งแต่อายุยังน้อยจนสุดท้ายมีจุดจบที่น่าอนาถ”
หลี่ฮ่าวส่ายศีรษะไปมา “ลูกพี่กังวลมากไปแล้ว ผมไม่ใช่คนอย่างนั้น!”
หลิวหลงไม่พูดอะไรอีก
เด็กหนุ่มเอ้ย ปากบอกว่าไม่ใช่คนอย่างนั้น รอหลิวเยี่ยนจัดการเธอจริงๆ เธอจะช่วยหล่อนหรือไม่ช่วย ถึงเวลานั้นเขาในฐานะหัวหน้าทีมยังต้องลำบากใจเลย
“หวังหมิง…”
หลี่ฮ่าวเพิ่งจะพูดเรื่องหวังหมิง หลิวหลงกลับส่ายหน้าเล็กน้อย พูดเสียงเบาว่า “ไม่ต้องสนใจเขา! สถานะของคนๆ นี้ผมตามสืบมาดีแล้ว แน่นอนว่าคุณแค่แกล้งทำเป็นไม่รู้ก็พอ เป็นคนของผู้พิทักษ์รัตติกาลจริง ผมคิดแผนเอาไว้แล้ว!”
หลี่ฮ่าวพยักหน้า
เขาวางใจในแผนการของหลิวหลงอยู่แล้ว แม้คนๆ นี้จะดูบุ่มบ่ามเลือดร้อนไปบ้าง แต่ความจริงก็มีความคิดที่ละเอียดอ่อนพอสมควร ไม่อย่างนั้นคงไม่บอกเรื่องหลิวเยี่ยนกับตนเป็นการส่วนตัวแบบนี้
ทั้งคู่คุยกันอยู่พักหนึ่ง เมื่อหลี่ฮ่าวไม่มีอะไรแล้วจึงขอตัวแยกย้ายจากหลิวหลง
ตอนนี้เขาไม่ได้รีบกลับแต่อยากจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
ดีที่ห้องชั้นใต้ดินขนาดใหญ่มากพอและมีอุปกรณ์ครบครัน
ห้องอาบน้ำก็มี ส่วนเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยน ในตู้เสื้อผ้าก็มีชุดเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ตรวจการณ์ใหม่ๆ อยู่กองหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าพวกหลิวหลงขี้เกียจกันทั้งนั้น พวกเขามักจะสวมชุดเครื่องแบบจนเก่าจนขาดและสกปรกถึงทิ้งแล้วเปลี่ยนเป็นตัวใหม่ เพราะหลี่ฮ่าวเห็นชุดเครื่องเก่าๆ ในถังขยะอยู่หลายตัว
เป็นไปตามคาด ในเมื่อหัวหน้าทีมปฏิบัติการกองตรวจการณ์ยังพอมีอำนาจอยู่บ้างจึงขอชุดมาใส่ได้ง่ายๆ ตามใจตัวเอง
……
อาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่เสร็จ หลี่ฮ่าวถึงรู้สึกสดชื่นแจ่มใส
พอม้ามแข็งแรงขึ้นก็ส่งผลดีต่อเขาไม่น้อย เวลานี้ค่อยๆ ปรากฏผลลัพธ์ให้เห็น
เลือดไหลเวียนเร็วดีขึ้น แค่หลี่ฮ่าวกำหมัดลวกๆ ยังได้ยินเสียงเปรี้ยะๆ ของกระดูกเส้นเอ็นดังลั่นฟังชัดกว่ายามปกติมากโข
วันนี้หลี่ฮ่าวแทบไม่ออกไปไหนนอกจากห้องชั้นใต้ดิน
เขาทำการย่อยพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติต่อไป ทั้งชวนอู๋เชา เฉินเจียนสองคนมาประลองฝีมือกัน สองคนนี้รับมือง่ายกว่าหลิวเยี่ยนกับอวิ๋นเหยา หลิวหลงงานยุ่งเกินไปจนไม่รู้หายไปไหน หลี่ฮ่าวจึงหาพวกเขาสองคนมาซ้อม คนหนึ่งถนัดป้องกันตัว อีกคนถนัดวิ่ง จึงล้วนเป็นคู่ซ้อมที่ดีไม่หยอก
หลังจากจบวันหนึ่งไป หลี่ฮ่าวก็รู้สึกว่ามีการพัฒนาขึ้นมากทีเดียว
ส่วนอู๋เชากับเฉินเจียนสองคน มีความรู้สึกเดียวกันว่า หลี่ฮ่าวร้ายกาจนัก!
เพราะพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจริงๆ!
เคล็ดวิชาห้าปาณภูตที่เดิมทีไม่ค่อยคล่องเท่าไร ตอนนี้ก็เริ่มใช้ได้ดีมากขึ้น นอกจากจะขาดประสบการณ์จริงหรือรังสีสังหารยังไม่พอ หลี่ฮ่าวในตอนนี้กลับเผยท่วงท่าของมือสิบสังหารอย่างแท้จริงบ้างแล้ว
ในอดีตขอบเขตสิบสังหารต้องผ่านการฆ่าคนถึงจะเป็นได้ ขอบเขตสิบสังหารในอดีตจึงมักเกิดการเลื่อนขั้นกลางสนามรบบ่อยๆ
แน่นอนว่าพอมาถึงยุคสมัยของหลี่ฮ่าว หลังจากปรากฏพลังเหนือธรรมชาติกับอาวุธปืนไฟขึ้นมา ปรมาจารย์นักรบจะได้รับประสบการณ์แบบนี้น้อยมาก
……
คืนวันที่สิบห้า หลี่ฮ่าวกลับบ้านพร้อมกับท้องฟ้าที่เปลี่ยนเป็นสีมืด
ฤดูร้อนร้อนอบอ้าว วันนี้กลับเป็นคืนแรกที่เย็นสบาย
สำหรับหลี่ฮ่าวแล้ว สภาพอากาศที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ ความจริงคือการบ่งบอกอย่างหนึ่งว่าฤดูฝนใกล้มาเยือนเต็มที เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว
……
ในเวลาเดียวกัน
นอกเมืองหยิน
เงาโลหิตปรากฏอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
ไม่ใช่แค่ตัวเดียว แต่มีมากหมายหลายตัว
ส่วนด้านหลังของเงาโลหิตก็มีมนุษย์หน้ากากผียืนอยู่ด้านหลังทุกตัว
“คืนฝนตกใกล้จะมาถึงแล้ว!”
ท่ามกลางความมืด มนุษย์หน้ากากผีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา เหมือนจะตั้งตารอคอยแต่ก็แอบเสียดายอยู่บ้าง
“กระบี่ตระกูลหลี่…ถึงเวลาเก็บมันแล้ว!”
มีคนหัวเราะและเอ่ยหยอกเย้าว่า “ทีมล่าปีศาจของเมืองหยินเข้ามาพัวพันด้วย กระทั่งหยวนซั่วก็อาจจะเข้ามาพัวพันด้วย!”
“เหอะๆ!”
“ทีมล่าปีศาจเหรอ”
“เจ้าโง่หลิวหลงเหรอ ฉันรู้จักเขา! ปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยที่เคยล่วงเกินผู้พิทักษ์รัตติกาล! ตอนแรกผู้พิทักษ์รัตติกาลเห็นว่าเขามีความสามารถที่ไม่แย่ ฝากความหวังว่าเขาจะได้เลื่อนเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจนกลายเป็นอัจฉริยะสุริยะพรายคนต่อไป! สุดท้ายหมอนั่นล้มเหลวไม่พอกลับยังประกาศกร้าวไว้อย่างเหิมเกริมว่า ปรมาจารย์นักรบใช่ว่าจะเอาชนะพลังเหนือธรรมชาติไม่ได้ หลิวหลงอยู่เมืองหยิน ทั้งยังเป็นอีกกลุ่มที่มีอิทธิพล…จนเป็นเรื่องตลกเล่าขานของคนวงใน!”
“น่าขันจริง ได้ยินว่าหลายปีนี้ลอบฆ่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ฆ่าจันทราทมิฬไปไม่กี่คน ซึ่งล้วนเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติกระจอกๆ ไม่อย่างนั้นคงถูกเก็บไปตั้งนานแล้ว!”
“ทุกท่าน ถึงเมืองหยินจะเล็กแต่ก็ประมาทไม่ได้! เมืองหยินเล็ก ถึงขั้นที่ผู้พิทักษ์รัตติกาลไม่มาเฝ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความเสี่ยง เมืองหยินเล็กๆ แบบนี้แต่กลับมีปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยอยู่หลายคน…เรายังต้องให้ความสำคัญบ้าง!”
ปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อย!
มีหน้ากากผีตัวหนึ่งหลุดขำในฉับพลัน “ระวังพวกอาวุธปืนไฟให้มากดีกว่า ปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยกล้าโผล่หัวมาหนึ่งคนก็ตายหนึ่งคน! ครั้งนี้ถือเป็นเส้นลมปราณสุดท้ายของการหลอมรวมเส้นลมปราณทั้งแปด และเป็นภารกิจสุดท้ายในเมืองหยินของเรา! ทุกท่าน ถ้าครั้งนี้สำเร็จ เรา…ก็ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่อีกตลอดชีวิต!”
“รับทราบ!”
“วางใจเถอะ ถึงเมืองหยินจะมีการเตรียมการ กระทั่งมีผู้พิทักษ์รัตติกาลโผล่มาด้วย…แต่แล้วยังไง เรารู้เขา แต่เขาไม่รู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเรา!”
“รีบสู้รีบจบ จัดการคนตระกูลหลี่ให้ได้โดยเร็วที่สุด ช่วงชิงกระบี่ของตระกูลหลี่มา แผนหลอมรวมเส้นลมปราณทั้งแปดถึงจะสำเร็จ!”
“แล้วมีดของตระกูลจางล่ะ”
“ไม่เป็นไร ได้กระบี่ตระกูลหลี่มา มีดตระกูลจางจะถูกลดความสำคัญน้อยลง ใช่ว่าจะหาของอย่างอื่นมาทดแทนไม่ได้ มีดตระกูลจางไม่เคยปรากฏให้เห็นอาจจะหายสาบสูญไปแล้วจริงๆ ก็ได้!”
“เข้าใจแล้ว!”
“…”
จากนั้นก็มีเสียงขานรับดังขึ้นตามมา ไม่นานเงาโลหิตแต่ละตัวก็หายไปในความมืด
ส่วนหน้ากากผีเหล่านั้นก็ทยอยหายตัวไป
เป็นไปตามที่หลี่ฮ่าวคาดเดาเอาไว้ เงาโลหิต…ไม่ได้มีแค่ตัวเดียวหรือคนเดียวเท่านั้น!
……………………………………………………….