STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา - ตอนที่ 48 มังกรอำพราง (1)
ตอนที่ 48 มังกรอำพราง (1)
ภายในเมือง
หลี่ฮ่าวสวมชุดเครื่องแบบผู้ตรวจการณ์เดินอยู่บนถนน
เมื่อเดินผ่านโบสถ์ที่พังทลาย เขาไล่ตามองอย่างละเอียดแวบหนึ่ง จากนั้นก็เจอเงาโลหิตล่องลอยอย่างเดี่ยวดายโดยไม่ขยับตัวอยู่ภายในโบสถ์ ดูท่าทางเหมือนตายไปแล้ว
ไม่มีใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา
และไม่ใช่แค่ตัวเดียวเท่านั้น!
ทางฝั่งโบสถ์มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเสียชีวิตไปสามคน แต่หลี่ฮ่าวเห็นเงาโลหิตเพียงสองตัว ไม่รู้ว่ามีตัวที่สามหรือว่าถูกกำจัดไปแล้วกันแน่
‘นอกจากเราแล้วคนอื่นจะฆ่าเงาโลหิตได้หรือเปล่านะ’
หลี่ฮ่าวไม่รู้คำตอบ เขารู้เพียงว่าต่อให้เจ้านายของมันตาย เงาโลหิตก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อได้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
‘องค์กรชาดจันทรา…สายเลือด…เงาโลหิต’
องค์กรนี้ฝังลึกอยู่ในหัวของหลี่ฮ่าว
พวกคนเลว!
คนเลวก็สมควรถูกกำจัดทิ้ง ฆ่าล้างทั้งเผ่าพันธุ์ บดขยี้ให้เป็นผุยผง…สิ่งเหล่านี้เขาจะจำมันเอาไว้ให้ขึ้นใจ
ครั้นมั่นใจว่ายังมีเงาโลหิตอยู่ เขาจึงไม่รีบร้อนที่จะไปทำอะไร
เขาทำราวกับมองไม่เห็น หลี่ฮ่าวเดินผ่านไปแล้วตรงดิ่งไปยังเขตสุสานอย่างเงียบๆ
สุสานของจางหย่วนไม่ได้อยู่นอกเมืองแต่อยู่ในเขตเมือง
ตั้งค่อนไปทางชานเมืองเล็กน้อย ที่นั่นมีเขตสุสานขนาดใหญ่ ซึ่งบริเวณโดยรอบเป็นโรงงาน
……
เดินไปได้ราวครึ่งชั่วโมงกว่าหลี่ฮ่าวก็ถึงที่หมาย
สุสานเขตนี้ตั้งอยู่บนเขาเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก
จางหย่วนถูกฝังอยู่ที่นี่ ตอนตายร่างถูกเผาไปไม่น้อยเลยช่วยประหยัดเวลาเผาไปได้เยอะ
ณ บริเวณกลางเขา
ตำแหน่งสุสานใหม่
หลี่ฮ่าวไม่มาหลายเดือนแล้ว ครั้งล่าสุดที่มาคือตอนปีใหม่
เมื่อเพิ่งเดินมาถึงหน้าสุสาน ดวงตาของหลี่ฮ่าวก็วูบไหวเล็กน้อย เพราะตรงหน้าป้ายหลุมศพกลับมีดอกไม้สดวางอยู่ แต่น่าจะไม่ใช่ของวันนี้เพราะมันเริ่มเหี่ยวเฉาลงแล้ว บวกกับฝนที่ตกลงมาก็ถูกท่วมจนกระจัดกระจาย
แต่หลี่ฮ่าวมั่นใจว่าดอกไม้สดนี้ถูกนำมาวางไว้ได้ไม่นาน
ทว่าครอบครัวเสี่ยวหย่วนเสียชีวิตไปนานแล้ว หลังจากเขาตายสุสานแห่งนี้ก็มีแต่หลี่ฮ่าวที่ควักเงินตัวเองซื้อ เขาไม่มีญาติพี่น้องแม้แต่คนเดียว และไม่ได้จัดแม้กระทั่งงานศพด้วยซ้ำ
ใครมาไหว้สุสานเสี่ยวหย่วนกันนะ
หลี่ฮ่าวเหลียวมองรอบๆ ก็ไม่เห็นแสงสว่างใดๆ เมื่อมั่นใจว่าละแวกนั้นไม่มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ หลี่ฮ่าวถึงกล้าเดินขยับเข้าไปใกล้ๆ
เขามองดอกไม้สดตรงหน้าป้ายหลุมศพเงียบๆ พลางจมอยู่ในห้วงความคิด
บนป้ายหลุมศพเป็นรูปสมัยวัยเยาว์ของจางหย่วน ซึ่งราวกับกำลังยิ้มให้คนที่มองเขาอยู่ก็มิปาน หลี่ฮ่าวมองเงียบๆ แวบหนึ่ง กระทั่งผ่านไปพักใหญ่ถึงเปรยเสียงเนิบๆ ว่า “เสี่ยวหย่วน ตอนนั้นที่นายให้ฉันหนี ฉันไม่หนี เหมือนฉันจะชนะแล้ว…อาจารย์ของฉันฆ่าคนที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่งขององค์กรนั่นไป แล้วยังฆ่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติไปเยอะมากด้วย!”
“ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาจะมากันอีกหรือเปล่า และฉันก็ไม่รู้ว่าไอ้ตัวที่ฆ่านายตอนนั้นครั้งนี้ตายแล้วหรือยัง…เดิมทีฉันอยากตัดหัวพวกมันมาไหว้นายด้วยซ้ำ แต่เสียดาย…เหมือนจะมีคนเอาไปแล้ว”
หลี่ฮ่าวนั่งลงตรงหน้าหลุมศพพลางพูดไปไม่กี่ประโยคแล้วก็คลี่ยิ้มออกมา “แต่ตอนนี้ฉันก็เริ่มเข้าสู่ขอบเขตนี้แล้วเหมือนกัน ฉันกำลังพยายามมุ่งไปทางขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติ รอฉันกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติได้เมื่อไร บางที…ฉันอาจช่วยแก้แค้นให้พวกนายได้จริงๆ! ฉันรู้ว่าผู้นำองค์กรนั่นชื่ออะไร เขาชื่ออิ้งหงเยวี่ย ฉันไม่รู้ว่าลูกน้องของมันคนไหนที่ฆ่านายกันแน่ แต่ฉันรู้ว่าถ้ากวาดล้างองค์กรนี้…ก็ถือว่าเป็นการล้างแค้นให้นายได้!”
พอพูดจบ หลี่ฮ่าวก็ไม่พูดอะไรต่ออีก
เขานั่งอยู่หน้าป้ายหลุมศพพลางมองลงไปด้านล่างภูเขาอย่างเหม่อลอย
ส่วนดอกไม้สดข้างป้ายหลุมศพเขาไม่ได้สนใจมันนัก
ใครจะเป็นคนให้ก็ไม่ต่างกัน
ศัตรูก็ดี ญาติก็ดี หรือจะเป็นคนที่ฆ่าจางหย่วนมาไหว้สุสานเพราะรู้สึกผิด…ก็ไม่สำคัญอะไรทั้งนั้น
หลี่ฮ่าวเองก็ไม่ได้อยากตามหาความจริง
หลังจากนั่งอยู่ตรงนี้สักพักหลี่ฮ่าวก็เดินขึ้นเขาต่อ ที่นี่เป็นสุสานของจางหย่วน ส่วนสุสานของพ่อแม่ก็อยู่บนนี้เช่นกัน แต่อยู่สูงกว่าสักหน่อย
พ่อแม่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถชน…ซึ่งจะเป็นความจริงหรือไม่นั้น ที่จริงก็ไม่สำคัญแล้ว
ใช่ก็ได้ ไม่ใช่ก็ช่าง เพราะหลี่ฮ่าวคิดบัญชีแค้นนี้ไว้ที่ชาดจันทราหมดแล้ว
เป็นอุบัติเหตุ ชาดจันทราสมควรตาย
ไม่ใช่อุบัติเหตุ ชาดจันทราก็สมควรตายอีกอยู่ดี
มนุษย์มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ย่อมต้องตั้งเป้าหมายในชีวิตเพื่อเป็นแรงผลักดันไว้บ้าง
พ่อแม่เสียชีวิต เพื่อนที่ดีที่สุดเสียชีวิต อาจารย์ดีกับตนไม่น้อย แต่อาจารย์…ก็ไม่ใช่พ่อแม่เขาอยู่ดี
บางครั้งหลี่ฮ่าวเองก็มีหลงทิศหลงทางไม่รู้ควรมุ่งหน้าต่อไปทางไหนเช่นกัน
ราวกับมีชีวิตอยู่ไปวันๆ!
หากไม่ใช่เพราะเห็นเงาโลหิต หากไม่ใช่เพราะภัยคุกคามของเงาโลหิตที่ยังมีอยู่ วินาทีที่จางหย่วนตาย สำหรับหลี่ฮ่าวแล้วชีวิตคงจบลงเพียงเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าคาดหวังหรือน่าไขว่คว้าอีกต่อไปแล้ว
บัดนี้ชาดจันทรากลับมอบปณิธานในการมีชีวิตอยู่ต่อไปให้แก่เขา!
บางครั้งหลี่ฮ่าวก็คิดว่าชาดจันทรายิ่งแข็งแกร่งเท่าไรก็ยิ่งดี หากอ่อนแอเกินไปจนถูกอาจารย์ปราบได้อย่างง่ายดาย…คงทำให้เขาสูญเสียปณิธานมุ่งมั่นไปไม่ใช่หรือ
ไม่มีชาดจันทรา บางทีหลี่ฮ่าวคงไม่แม้แต่จะยอมแตะต้องพลังเหนือธรรมชาติด้วยซ้ำ
บนยอดเขามีเขตสุสานขนาดพื้นที่กว้างใหญ่
หลี่ฮ่าวเดินไปยังป้ายสุสานหนึ่งในนั้น บนป้ายเป็นรูปคู่ชายหญิงที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข รูปนี้พ่อแม่ชอบมันมาก รูปนี้เป็นรูปครอบครัวที่ถ่ายไว้ตอนวันเกิดครบรอบสิบปีของหลี่ฮ่าว
ทว่าหลี่ฮ่าวตัดส่วนของตัวเองออก ถ้าพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่คงไม่อยากจะให้รูปนี้กลายเป็นรูปป้ายหลุมศพหรอก
หลี่ฮ่าวมองอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่ได้นั่งลง เขายืนอยู่อย่างนั้นเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
แววตาของเขาเริ่มแปรเปลี่ยน
สักพักก็โกรธ สักพักก็คลุ้มคลั่ง สักพักก็กลับคืนสู่ปกติ
แววตาที่ซับซ้อนเช่นนี้ไม่ควรปรากฏอยู่ในแววตาของเขา
แต่เขาในตอนนี้เหมือนจะประสาทไปแล้ว
หลี่ฮ่าวยืนอยู่ท่าเดิมไม่ขยับตัวสักนิด
ตอนอยู่ด้านล่างเขา เขาพูดกับจางหย่วนอยู่บ้าง แต่ที่นี่…หลี่ฮ่าวกลับปิดปากเงียบไม่ปริเสียงออกมาสักนิด แค่มองรูปนั้นอยู่นาน กระทั่งจู่ๆ เขาก็เดินเข้าไปใกล้แล้วประทับฝ่ามือเบาๆ ทำลายรูปบนป้ายหลุมศพในทันที!
หากมีคนอยู่ข้างๆ เกรงว่าคงรู้สึกว่าอัศจรรย์ใจไม่น้อย!
แต่แล้วหลี่ฮ่าวในตอนนี้กลับยิ้มออกมา ยิ้มแปลกๆ
เขามองหลุมศพด้วยแววตาล้ำลึกแวบหนึ่ง กวาดมองรอบตัวอีกทีแล้วถึงก้าวขาเดินลงจากเขาไป
ขณะที่เดินไป หลี่ฮ่าวก็กำหมัดแน่น!
เมื่อก่อนเขาไม่สนใจ
แต่วันนี้…เขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป เขารู้อะไรมากขึ้น เขาเข้าใจอะไรมากขึ้น
…………………………………………………………………………………..