STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา - ตอนที่ 8-3 แสดงละครเป็นต่างหากถือเป็นจุดแข็ง (3)
ตอนที่ 8 แสดงละครเป็นต่างหากถือเป็นจุดแข็ง (3)
ทว่าหลี่ฮ่าวก็ยังทำเหมือนตนเองมองไม่เห็นและไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ
ครรลองสายตาของเขาจับจ้องไปทางห้องใหญ่
“ไม่มีใครอยู่เหรอ?”
น้ำเสียงหลี่ฮ่าวสั่นน้อยๆ แล้วตะโกนด่าเสียงต่ำ “แม่ง! โชคดีนะที่ไม่มีเพื่อนร่วมงานคนอื่นมาด้วย ไม่อย่างนั้นโดนหัวเราะเยาะแย่เลย ดึกๆ ดื่นๆ ทำเอาตกอกตกใจหมด นึกว่ามีฆาตกรซ่อนตัวอยู่ที่นี่เสียอีก!”
ว่าแล้วก็ผ่อนลมหายใจยาวละม้ายว่าเขาไม่เห็นเงาโลหิตแม้แต่น้อย
จากนั้นก็ปาดเหงื่อบนหน้าผากก่อนจะก้มหน้ามองเจ้าเสือดำแล้วเอื้อมมือไปตบมัน “เจ้าหมาโง่เอ้ย ไม่มีเรื่องอะไรแล้วร้องทำไม ทำเอาตกอกตกใจหมดเลย!”
เปี๊ยะ!
เจ้าเสือดำโดนฟาดไปที มันดูไร้เดียงสาเจือความหวาดกลัวไปพร้อมกัน
นายไม่เห็นหรือไง?
แต่ฉันเห็นนะเว้ย!
ตอนนี้มันไม่กล้าแหงนหน้าอีกแล้ว
เพราะเงาโลหิตล่องลอยอยู่เหนือหัวมัน
แต่หลี่ฮ่าวกลับทำเหมือนไม่รู้เรื่องแต่อย่างใด เมื่อครู่ตอนเขาฟาดเจ้าเสือดำ เขาจงใจยื่นมือของเขาทะลุผ่านตัวเงาโลหิตไปโดยแสร้งทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไร เขาสัมผัสได้เพียงไอเย็นที่มองไม่เห็นทะลุผ่านแขนไปเท่านั้น
แต่เขากลับไม่รู้สึกว่าตนเองยื่นมือทะลุสิ่งของหรือสิ่งใดอะไรไปทั้งสิ้น
‘ไม่มีตัวตน!’
อันที่จริงหลี่ฮ่าวแค่รวบรวมความกล้าหยั่งเชิงเงาโลหิตดู เขาเองก็อยากรู้ว่าจะมองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้จริงหรือไม่ เขาเลยแสร้งฟาดเจ้าเสือดำเพื่อจะอาศัยโอกาสนี้สัมผัสเงาโลหิตอย่างตรงไปตรงมา
ผลลัพธ์คือ…สัมผัสไม่ได้จริงๆ ด้วย!
‘บ้าเอ้ย ยุ่งยากมากขึ้นแล้วแฮะ นี่แปลว่าปืนก็คงจะทำอะไรมันไม่ได้!’
ในใจเขาลนลานแต่เขาอาศัยความแน่วแน่อันแรงกล้ากลบไว้ไม่ให้ตนเองเผยพิรุธออกมา
ในสายตาคนนอกเขาไม่ควรมองเห็นเงาโลหิต
ดังนั้นการลงมือเมื่อครู่ก็ไม่มีปัญหาใดๆ
หลี่ฮ่าวสบถด่าเจ้าเสือดำเสียงต่ำ “เจ้าบ้า ถ้ายังร้องมั่วซั่วจะสับแกให้เละเลย! ร้องซี้ซั้วจนเผลอพังประตูบ้านเสี่ยวหย่วนแล้วเนี่ย ทำเอาฉันตกใจจนเกือบโทรหาอาจารย์ให้เขาไปเรียกคนจากกู่ย่วนกับกองตรวจการณ์มาแล้ว!”
หลี่ฮ่าวเหมือนจะยังไม่หายโกรธเลยเตะไปอีกที!
ครั้งนี้ยังคงทะลุผ่านตัวเงาโลหิตโดยมิอาจสัมผัสอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย
ความกล้าบ้าบิ่นนี้ของหลี่ฮ่าวจะเรียกว่าน้อยนิดคงไม่ได้แล้ว
เงาโลหิตไม่เคยเจอกันก็คิดจะลงมือทำร้ายเขาแล้ว แต่ก็เหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังสังเกตอะไรอยู่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็คงต้องแสร้งมองไม่เห็น ทำในสิ่งที่ควรทำไปก่อน
หลี่ฮ่าวมองรอบบ้านอันมืดมิดหลังนี้อีกครั้งแล้วสบถออกมาว่า “กลางค่ำกลางคืนแบบนี้น่าขนลุกชะมัด ไม่ได้การล่ะโทรหาอาจารย์ดีกว่า…พวกคนในกองตรวจการณ์เหมือนจะพึ่งพาอะไรไม่ได้ ไร้ประโยชน์สุดๆ คดีเสี่ยวหย่วนก็เป็นคนสรุปคดี แต่ไม่เจอสิ่งผิดปกติใดๆ สักนิดเดียว… ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้อาจารย์ไปขอพวกคนชุดดำออกหน้าดีกว่า”
คนชุดดำที่ว่าคือผู้พิทักษ์รัตติกาล หลี่ฮ่าวเองเคยเห็นพวกเขาจากที่ไกลๆ อยู่ครั้งหนึ่งและแน่นอนว่าไม่เคยใกล้ชิดหรือพูดคุยกับพวกเขาหรอก
เขาพูดพึมพำกับตนเองก็เพื่อขู่อีกฝ่ายให้ตกใจก็เท่านั้น
หากว่าเงาโลหิตมีสติปัญญาย่อมต้องรู้ว่าคนชุดดำที่ตนเองพูดถึงหมายถึงใคร ซึ่งหมายถึงผู้พิทักษ์รัตติกาลนั่นเอง!
หลี่ฮ่าวเองก็อยากจะลองทดสอบดูว่าระหว่างผู้พิทักษ์รัตติกาลและเงาโลหิตเป็นพวกเดียวกันหรือไม่
ในวินาทีอันตรายหลี่ฮ่าวกลับสงบนิ่งและมีสติมาก
เขาไม่คิดหนีแต่เลือกที่จะหยั่งเชิงแทน
การวิ่งหนีถือเป็นทางเลือกที่โง่ที่สุดในตอนนี้ ทันทีที่วิ่งหนีเรื่องที่เขามองเห็นโลหิตก็จะถูกจับได้ แบบนั้นเขาก็ต้องตายสถานเดียวสิ
จากการวิเคราะห์ของหลี่ฮ่าวต่อให้เขาโดนเงาโลหิตสังหารก็ควรจะเป็นคืนวันฝนตกไม่ใช่ตอนนี้ซึ่งต้องมีเหตุผลอะไรซ่อนอยู่แน่ เช่นนั้นก็ลองดูสักตั้งแล้วกัน!
หลี่ฮ่าวยังพึมพำกับตัวเองราวกับลังเลบางเรื่องอยู่ “คนชุดดำพวกนั้นดูน่ากลัว อาจารย์ไปหาก็ไม่รู้ว่าจะตามพวกเขามาได้ไหม…ช่างเถอะกองตรวจการณ์ก็ไม่ได้มีเบาะแสอะไร บางทีอาจทำได้แค่พึ่งพาพวกเขาแล้ว ฉันมันคนใจป๊อด ไม่เก่งอีกต่างหาก จนปัญญาแล้ว แค่แวะมาดูดึกๆ ดื่นๆ ก็ตื่นตูมจนเกือบตาย เกรงว่าคงจะสืบต่อไม่ไหวแล้วล่ะ”
หลี่ฮ่าวแสดงท่าทีหมดอาลัยตายอยาก เขาหยิบเอามือถือออกมาแล้วกัดฟันเอ่ย “คงต้องอ้อนวอนอาจารย์แล้ว!”
ในวินาทีต่อมาหลี่ฮ่าวก็กดเบอร์หยวนซั่ว
แต่แล้วในวินาทีนี้เองใจหลี่ฮ่าวก็เต้นระส่ำเพราะจู่ๆ เงาโลหิตที่อยู่ข้างตัวเขาก็ตัวสั่นเทิ้ม ทันใดนั้นเองก็เกิดแสงสีแดงขึ้นตรงบริเวณข้างตัวบ้าน แสงนี้มันค่อยๆ ขยายตัวออกแล้วเกาะเกี่ยวเข้ากับร่างของเงาโลหิต
เหมือนว่าเงาโลหิตได้รับคำสั่งอะไรบางอย่าง ในวินาทีต่อมามันก็ค่อยๆ ล่องลอยจากไปอย่างรวดเร็วแล้วหายไปจากตัวบ้าน
ไม่เพียงเท่านี้วินาทีต่อมาเจ้าเสือดำก็ยืนขึ้นแล้วส่ายหางไปมาเหมือนกลับมาร่าเริงอีกครั้ง
ดวงตาสุนัขสีดำที่มองไปทางหลี่ฮ่าวแฝงไปด้วยความผ่อนคลายลงมาก
“โฮ่ง โฮ่ง!”
เหมือนกำลังพูดว่าไม่เป็นไร หมอนั่นไปแล้ว เจ้าเงาผีนั่นไปแล้ว
ทว่าสีหน้าหลี่ฮ่าวกลับดูเคร่งขรึม
เงาโลหิตและคนด้านนอกตัวบ้านเหมือนจะเป็นพวกเดียวกัน แต่นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญเพราะเขาเดาได้นานแล้วว่าเงาโลหิตไม่ได้ตัวคนเดียวและจะต้องมีองค์กรอยู่เบื้องหลังแน่นอน
ที่สำคัญก็คือเหมือนว่าคนด้านนอกจะมองเห็นเงาโลหิตหรืออาจถึงขั้นติดต่อและควบคุมเงาโลหิตได้ รวมถึงไล่มันไปได้ด้วย
หลี่ฮ่าวโพล่งว่าจะให้อาจารย์ไปตามตัวผู้พิทักษ์รัตติกาลมาก็เพื่อให้คนที่อยู่ด้านนอกเกิดความกังวลและเลือกที่จะจากไปแทน
วิธีการข่มขวัญถือว่ามีประโยชน์!
แต่หลี่ฮ่าวดูไม่มีความสุขเท่าไหร่นัก แสงสีแดงที่ขยายมานั้นกลับละม้ายคล้ายแสงดาราที่เขาเห็นตอนดื่มน้ำ ซึ่งนั่นก็คือพลังลี้ลับ
‘คนด้านนอกน่าจะเป็นคนลึกลับที่มีพลังเหนือธรรมชาติ!’
‘เขากับเงาโลหิตร่วมมือกันหรือเป็นนายบ่าวกันนะ หรือว่าเขาใช้เงาโลหิตหยั่งเชิงเรา?’
‘เราไม่สามารถใช้ปืนฆ่าเงาโลหิตได้…อย่างนั้น…ถ้าด้านนอกเป็นคนล่ะ? แล้วถ้าตัวเราบังเอิญไปฆ่าคนผู้นั้น เงาโลหิตจะเป็นอย่างไร?’
จู่ๆ ในวินาทีนั้นเขาก็พบว่าตนเองเจอเบาะแสสำคัญบางอย่าง
เงาโลหิตน่ากลัวมากก็จริงแต่ถ้าเป็นคน…ต่อให้เป็นยอดมนุษย์แต่เขาก็คือคน เช่นนั้นก็ย่อมต้องมีช่องโหว่บ้างแหละ
‘เงาโลหิต… คนลึกลับ…’
หลี่ฮ่าวครุ่นคิดในใจ ไม่เพียงเท่านี้วินาทีที่เขาสัมผัสเงาโลหิต จี้หยกที่นิ่งสนิทมาตลอดก็เหมือนจะกระดิกเล็กน้อย หลี่ฮ่าวเริ่มทำการคาดเดา…หรือว่าจี้หยกนี้สามารถทำร้ายเงาโลหิตได้?
“ครั้งนี้ต่อให้หาหินมีดไม่เจอก็ถือว่ามาไม่เสียเที่ยวแล้ว!”
ทันใดนั้นเองหลี่ฮ่าวก็นึกจินตนาการว่าบางทีเราอาจรับมือกับคนพวกนี้ได้ ก่อนหน้านี้เป็นเพราะคนพวกนี้ไม่สนใจตน มิฉะนั้นลำพังแค่เงาโลหิตก็ฆ่าเขาตายได้สบายๆ แล้ว
‘แปลกใจจริงๆ! ถ้าใช้ปืนยิงคนด้านนอกให้ตาย แล้วสมมติกระบี่ดาราพรายดันทำร้ายเงาโลหิตได้…หากเป็นไปตามแผนนี้ไม่แน่เขาอาจกำจัดเจ้าสองคนนั้นพร้อมกันได้เลย!’
แววตาหลี่ฮ่าวเปล่งประกายในทันที!
ไม่รู้สึกถึงความหวาดกลัวอีก!
ขณะที่เงาโลหิตและคนบงการเบื้องหลังค่อยๆ เผยพิรุธออกมากลับทำให้เขาไม่นึกหวาดกลัวแล้ว ที่เหลืออยู่ก็คือแรงจูงใจในการล้างแค้น
‘ทว่า…เงาโลหิตที่มาคืนนี้จะใช่ตัวเดียวกับที่เราเคยเห็นหรือเปล่านะ? เงาโลหิตมีแค่ตัวเดียวไหมนะ? หรือว่าคนที่แอบจับตาดูเราเป็นคนใหญ่คนโตอย่างนั้นเหรอ?’
พอคิดถึงตรงนี้หลี่ฮ่าวก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมา องค์กรเงาโลหิตมีเงาโลหิตกี่คนกันแน่ แล้วมีคนลึกลับที่มีพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติแบบนี้กี่คนกันนะ?
เขามักรู้สึกว่าไม่ได้มีแค่ตัวเดียว!
‘เรามันก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น… ยากจริงๆ เลย!’
แต่ตอนนี้สบายใจได้เปลาะหนึ่งแล้ว หลี่ฮ่าวอาศัยตอนที่พวกเขาไปแล้วและคงไม่กล้ากลับมาเร็วๆ นี้แน่เพราะกลัวว่าจะเจอกับผู้พิทักษ์รัตติกาลเข้า เขารีบฉวยโอกาสรื้อหาว่าจะพอหาหินมีดของตระกูลจางเจอหรือไม่
……
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง
จุดสิ้นสุดของถนน
ดวงตาสีน้ำเงินภายใต้หน้ากากผีนั้นฉายแววลังเล จะกลับแบบนี้ดีไหมนะ?
แต่…ถ้าหลี่ฮ่าวคนนั้นโวยวายเรียกผู้พิทักษ์รัตติกาลมาได้จริงๆ ก็คงยุ่งยากเอาการ
ทันทีที่เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเกรงว่าจะสร้างเรื่องวุ่นวายมากกว่าเดิม
‘ช่างเถอะ ไปก่อนแล้วกัน ปลอดภัยไว้ก่อน หมอนั่นอาจจะเรียกผู้พิทักษ์รัตติกาลมาไม่ได้ก็ได้ ต่อให้เป็นหยวนซั่วก็ไม่น่าจะเรียกคนพวกนั้นมาได้ตามใจชอบหรอก แต่เราหลบไปก่อนดีกว่า’
คนที่สวมหน้ากากผีเลือกที่จะจากไป
ด้านหลังไม่ไกลนัก เงาโลหิตก็ตามอีกฝ่ายมาติดๆ ราวกับเงาแล้วจากไปพร้อมกันอย่างเงียบๆ
คนสวมหน้ากากผีไม่สนใจว่าหลี่ฮ่าวจะเจออะไรหรือไม่ ในเมื่อของที่พวกเขาต้องการหากันมาหลายรอบนับไม่ถ้วน จนเกือบจะรื้อบ้านตระกูลจางทั้งหลังแล้วแต่ก็ยังหาไม่เจอ เกรงว่าคงจะหายไปแล้ว คงน่าขันทีเดียวถ้าหลี่ฮ่าวหาเจอ
แต่ก็สามารถยืนยันสาเหตุที่หลี่ฮ่าวออกจากกู่ย่วนเมื่อปีก่อนได้ว่าไม่ใช่เพราะเขาเจออะไรเข้า แต่เพราะทำใจยอมรับที่เพื่อนสนิทจากไปไม่ได้
ถ้าหากว่าเห็นอะไรขึ้นมาจริงๆ คืนนี้หลี่ฮ่าวคงตกใจจนฉี่ราดกางเกงไปแล้ว
ครั้งนี้สามารถกำจัดข้อสงสัยจุดนี้ได้ ยังดีที่มีเรื่องให้ไปรายงานเบื้องบน
……………………………………………………..