Strongest Abandoned Son บุรุษผู้ถูกทอดทิ้ง - ตอนที่ 462
บทที่ 462 : คนโหดร้าย
ฮานหยันเป็นขั้นสีเหลืองระดับ แต่ชายผู้นี้อยู่ขั้นสีเหลืองระดับสูงสุด เมื่อเขาโจมตีโดยไม่คาดคิดฮานหยันก็ไม่สามารถหลบได้
เพี้ยะ! -ฮานหยันโดนเข้าที่ใบหน้าเต็มๆ
ฮานหยันไม่สามารถควบคุมความโกรธในใจของเธอได้อีกต่อไป ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เธอได้รับการปฏิบัติแบบนี้? เธอไม่เคยคิดก่อนที่จะดึงดาบออกจากกระเป๋าและผลักมันเข้าหาฝ่ายตรงข้ามของเธอ
“เธออยากต่อสู้หรอ? ดีเลย พี่ใหญ่คนนี้จะเล่นกับเธอเอง!” ชายผู้นี้รูดเอวของเขาและมีดาบอันอ่อนนุ่มปรากฏอยู่ในมือ
ชิ้ง ชิ้ง – หลังจากนั้นเพียง 2 การโจมตี ดาบของฮานหยันก็ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ หลังจากนั้นชายคนนั้นก็เตะ ฮานหยันโดยไร้ความปราณี
ถ้าฮานหยันยังคงใจเย็นอยู่ เธอาจไม่ถูกเตะ แต่เธอก็เสียสติไปแล้ว เธอแค่อยากจะฆ่าผู้ชายคนนี้ที่ดูถูกเธอ แต่ยิ่งเธอเป็นแบบนั้นยิ่งผู้ชายคนนั้นก็ยิ่งเหนือชั้นกว่า
ชายคนนั้นเตะขาของฮานหยัน ขณะที่เธอลอยไปหลายเมตรลงบนพื้น ซึ่งไม่สามารถต้านทานได้ ฮานหยันตกตะลึงไปทันที
จากนั้นชายคนนั้นก็เดินไปหาเธอและเยาะเย้ย “เธอเชื่อไหมว่าถ้าฉันแตะมันอีกครั้ง ขาอีกข้างของเธอก็จะแตกนะ?”
ฮานหยันกัดฟันแน่น และจ้องมองชายหนุ่มด้วยความโกรธโดยไม่พูดอะไร
“ฉันไม่เชื่อ” เสียงเยือกเย็นตอบขึ้นแทนฮานหยัน
ชายหนุ่มงุ่นงงและมองเย่โม่ ผู้ซึ่งสวมสีหน้าที่เย็นยะเยือกเดินเข้ามา “แกคิดว่าแกจะทำอะไรฉันได้หรอหะ?”
ผู้คนรอบข้างตื่นเต้นยิ่งขึ้น เมื่อเห็นการต่อสู้เริ่มรุนแรงขึ้น
เย่โม่ไม่สนใจชายคนนั้นและเชื่อมขาที่หักของฮานหยันก่อนที่จะให้ยา จากนั้นเขาก็ช่วยพยุงเธอและขอโทษด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษนะที่ฉันมาช้า”
เมื่อฮานหยันเห็นว่าเย่โม่มาแล้ว ในที่สุดเธอก็ไม่สามารถกลั้นใจในหัวใจของเธอได้อีกและตกอยู่ในอ้อมแขนของเย่โม่ เธอร้องไห้ออกมา เธอรู้ว่ามันจะวุ่นวายมากในช่วงเวลาของการแข่งขัน แต่เธอไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น โลกนี้ไม่มีความเห็นอกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย
เย่โม่จับเธอไว้และเห็นรอยฝ่ามือบนใบหน้าของเธอ เขาถามอย่างเย็นชาในทันที “ใครตบหน้าเธอ?”
ก่อนที่ฮานหยันจะตอบ ชายคนนั้นก็พูดอย่างหงุดหงิดว่า “ปู่แกมั้ง ก็ฉันนะสิ ถ้าแกกล้ามากนัก ทำไมแกไม่มาตบฉันล่ะ? ถ้าแกไม่ทำ แกก็ตบตัวเองแล้วกันเนอะ และไสหัวออกจากที่นี่ไปซะไป๊!”
ผู้คนหัวเราะอีกครั้ง แต่คราวนี้เสียงหัวเราะนั้นน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด หลายคนสังเกตเห็นว่าเย่โม่เชื่อมต่อกระดูกของฮานหยันอีกครั้งได้อย่างไรเหมือนมันไม่มีอะไรเลย แม้แต่ในโรงพยาบาลก็ต้องใช้เวลา 1 เดือนเพื่อที่จะสามารถเดินได้ แต่ชายคนนี้เพิ่งเชื่อมต่อใหม่ในเวลาไม่นานและให้ยาแก่เธอ และตอนนี้เธอสามารถเดินได้แล้ว! นี่มันไม่สมเหตุสมผลเกินไป
เย่โม่แสยะยิ้มและพุ่งไปข้างหน้าในก้าวเดียว เขาปรากฏตัวต่อหน้าชายหนุ่มในพริบตาและตบเขา 2 ครั้งอย่างรวดเร็ว และเตะไปที่หน้าอกของเขา
ก่อนที่ใครๆ ก็สามารถตอบสนองได้ ขาของเย่โม่ก็ไปอยู่ที่ท้องของชายคนนั้นแล้ว เขาก้าวถอยหลังไปกว่า 10 ก้าวแล้วกระอักเลือด เขานั่งลงบนพื้นขณะที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือด
เย่โม่เดินช้าๆ และเหยียบลงไป มีเสียงที่น่ากลัวของกระดูกที่แหลกเหลว เย่โม่บดขยี้ขาของชายคนนี้อย่างน่ากลัว
ทุกอย่างเงียบกริบ เมื่อชายคนนั้นรังแกฮานหยัน พวกเขาคิดว่ามันตลก แต่ตอนนี้เมื่อเห็นเย่โม่บดขาของชายคนนี้ ไม่มีใครรู้สึกขบขันอีกแล้ว พวกเขารู้สึกเย็นยะเยือก ใครคือคนที่โหดร้ายเช่นนี้?
ไม่มีใครกล้าออกมาช่วยเหลือชายผู้นี้เช่นเดียวกับที่ฮานหยันถูกทำร้าย
หวังซือเยวียที่ยังอยู่ชั้นบนไม่กล้ามองลงมา เขากลัวว่าจะถูกจับได้
“ฉันคือเฟิงหนานแห่งนิกายอี้เจี้ยน แกไม่ -” ก่อนที่ชายคนนั้นจะพูดจบ เย่โม่ก็เหยียบเข้าที่ขาอีกข้างและย่ำบนหน้าอกของเขา ยิ่งกระดูกแตกในเวลานี้ก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจด้วยความโหดร้ายของเขา
เฟิงหนานไม่มีพลังในการพูด หัวของเขาตกลงมา แต่ไม่มีใครกล้าช่วยเขา
ฮานหยันสงบลงในขณะนี้และบอกให้เย่โม่หยุดอย่างรวดเร็ว เย่โม่ไม่รู้เรื่องนิกายอี้เจี้ยน แต่เธอรู้ มันเป็นนิกายที่ไม่ด้อยไปกว่าตระกูลเซีย นิกายกวงฮั่นของเธอไม่สามารถยุ่งกับนิกายนี้ได้เช่นกัน
“พี่เย่คะ ไปกันเถอะ” ฮานหยันคว้าแขนของเย่โม่และพูดอย่างกังวล เธอจ้องมองที่เฟิงหนานโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าตำรวจจะไม่ผ่านมาและไม่มีใครเรียกพวกเขา เธอก็ยังคงกังวลว่าผู้ชายคนนั้นจะตายแล้ว
เย่โม่โบกมือ “เราจะอยู่ที่นี่ เราจะไปได้ยังไง? บอกฉันสิว่าใครอีกที่มันแกล้งเธอ?”
ทันทีที่เย่โม่พูด เซียเชิงก็ก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว เย่โม่อยู่ขั้นสีดำอย่างแน่นอนหรือสูงกว่า ด้วยความโหดร้ายของเย่โม่ เขาจะพ่ายแพ้เหมือนเฟิงหนานแน่
เซียเชิงต้องการที่จะเรียกศิษย์พี่ของเขา แต่ไม่มีใครอยู่ที่นี่
ฮานหยันไม่ได้พูดอะไรแค่มองไปเซียเชิง เพราะทุกคนเองก็มองเขาอยู่ดี
เย่โม่เดินไปและมองเขาอย่างใจเย็นก่อนที่จะพูดว่า “แกโจมตีด้วยเหรอ?”
เซียเชิงสั่นเทา และไม่มีความสงบเหมือนอย่างที่เขาดูถูกฮานหยันอีกต่อไป เขาพูดอย่างเป็นกังวลว่า “ไม่ครับเชียนเปย ผมไม่ได้ทำร้ายเธอครับ”
เมื่อเห็นว่าดวงตาเย่โม่มีความรุนแรงมากขึ้น เซียเชิงก็ไม่สามารถอดทนต่อได้ และคุกเข่าลง “เชียนเปยคครับ โปรดเมตตาด้วย ผมไม่ได้ทำร้ายเธอจริงๆ ผมแค่เย้ยเธอเท่านั้น ผม ผม -“
เซียเชิงเริ่มตบหน้าตัวเองจนกว่าจะมีเลือดออก เย่โม่พูดอย่างเยือกเย็นว่า “ไสหัวไป อย่าให้ฉันเจอแกอีกนะ”
“ครับ ครับเชียนเปยi ผมจะไปเดี๋ยวนี้!” เซียเชิงรู้สึกละอายใจและโกรธเคือง แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าไม่ใช่เวลาที่จะทำแบบนั้น เขาจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อกลับมาจัดการเย่โม่
เซียเชิงเพิกเฉยต่อทุกคนและวิ่งเข้าไปในลิฟต์เมื่อเขากลับมาที่ห้องของเขา อย่างไรก็ตามในใจของเขาเย่โม่เป็นคนตาย เป็นแค่ขั้นสีดำคนเดียวกลับกล้ามาตบหน้าสมาชิกตระกูลเซีย และเกือบจะจัดการเฟิงหนานให้ตายเชียวหรอ?
สมาชิกอีก 2 คนของนิกายอี้เจี้ยนพาเฟิงหนานกลับไปที่ห้องอย่างระมัดระวัง พวกเขาต้องรายงานต่ออาจารย์ของพวกเขาเพื่อแก้แค้น
ใกล้หน้าต่างมีคน 3 คน ผู้หญิง 2 คนและชาย 1 คนที่ดูเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ หญิงสาวที่สวมเครื่องประดับที่สวยงามบนศีรษะและชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลามาก เขามีนิสัยที่เป็นชนชั้นกลาง
“บุคคลนี้โหดร้ายและเด็ดขาด และอย่างน้อยเขาก็อยู่ในขั้นตติยสีดำ ฉันสงสัยว่าเขามาจากนิกายอะไรจัง แต่เนื่องจากเขารู้จักคนในนิกายกวงฮั่น เขาอาจไม่ใช่คนที่มาจากนิกายขนาดใหญ่ เมื่อคนในตระกูลอี้เจี้ยนและเซียมาที่นี้ละก็…” ชายหนุ่มถอนหายใจและส่ายหัว เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าเย่โม่จะตายในไม่ช้า
“ศิษย์พี่ เราเคยเห็นคนๆนี้มาก่อนไหมคะ? ฉันรู้สึกเหมือนเคยเห็นนะ?” ทันใดนั้นน้องคนหนึ่งจากทั้งสองแม่ชีก็ถาม
แม่ชีอาวุโสพยักหน้า “ยวีเออร์ เธอคิดแล้วละ เขาคือชายสวมหน้ากากที่ไปประมูลภูเขาหวู๋เหลียง เขาไม่ต้องยุ่งกับเรื่องนี้”
“ศิษย์พี่รู้จักเขาหรอครับ?” ชายหนุ่มรูปงามถาม
แม่ชีอาวุโสพยักหน้า “ใช่ ถ้าฉันจำไม่ผิด คนๆนี้ไปประมูลที่วัดซีเซีย ซึ่งนายไม่ได้ไป แต่เขาฆ่าพี่น้องเดียวดายทั้งหมดด้วยตัวเอง และบ่งชี้บอกว่าขั้นปฐพีอย่างหมาป่าเดียวดายก็ตายด้วยมือของเขา เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ศิษย์น้องซือ หลีกเลี่ยงการติดต่อกับเขานะ เพราะเขาเป็นโหดร้ายมาก”
“โอ้ เขาสามารถฆ่าพี่น้องเดียวดายและหมาป่าเดียวดายได้หรอ? เขาเป็นขั้นปฐพีหรอเนี้ย? แต่เป็นไปได้ยังไงอะ เขาอายุ 20 เท่านั้นเอง ผมไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้เลย” ศิษย์น้องซือถามด้วยความประหลาดใจ
ซือจร่งจือเป็นอัจฉริยะในอายุเพียง 26 ปี แต่อยู่ในขั้นตติยสีดำ อาจกล่าวได้ว่าไม่มีใครสามารถไปถึงระดับของเขาได้ แต่ชายหนุ่มคนนี้บ้าบอคอแตกยิ่งกว่าเขาซะอีก
เนื่องจากความแตกต่างอย่างมากระหว่างขั้นสีดำและขั้นปฐพี ซือจร่งจือจึงไม่คิดว่าเย่โม่สามารถฆ่า หมาป่าเดียวดาย ขณะที่เป็นขั้นสีดำได้
“น่าสนใจแหะ” ซือจร่งจือมองเย่โม่ด้วยความสนใจ
แม้ว่าฮานหยันอยากจะจากไปจริงๆ เย่โม่ก็ยังคงพาเธอไปที่แผนกต้อนรับ
“ขออภัยด้วยคะท่าน ทางเราไม่มีห้องเหลือเลยคะ” หญิงสาวที่แผนกต้อนรับเห็นความวุ่นวายที่เย่โม่ก่อขึ้น และสั่นระริก
เย่โม่ยิ้ม “บอกหัวหน้าของเธอ หวังซือเยวียให้ลงมา บอกเขาว่ามีเพื่อนเก่าอยู่ที่นี่ ^^”