Strongest Abandoned Son บุรุษผู้ถูกทอดทิ้ง - ตอนที่ 464
บทที่ 464 : การเพิ่มพลัง
เย่โม่ยิ้ม เขาไม่ต้องการทำให้มันยากสำหรับหวังซือเยวีย ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “เขาพูดถูก ห้องชุดนี้เป็นทรัพย์สินของฉันเอง ขอโทษด้วยนะครับ”
“ถ้างั้นก็ทำให้สิ่งต่างๆ เป็นเรื่องง่ายซะสิ แม้ว่าคุณจะย้ายออกไป 2-3 วัน สถานที่ก็จะยังคงเป็นของคุณ แน่นอนว่าเพื่อนของฉันจะไม่อยู่ฟรีๆ แน่นอน เองก็เป็นปรมาจารย์นิกายลี้ลับด้วยนะ”
หวู่อิงเยวียนพูดออกมา เขาคิดว่านั่นจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำ สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นรองนายกเทศมนตรี คนหนุ่มสาว 2 คนนี้จะเห็นด้วยกับเขาทันที
จากสิ่งที่หวู่อิงเยวียนมองเห็น เย่โม่ก็ดูธรรมดา ถึงแม้ฮานหยันจะดูพอใช้ แต่เธอก็ไม่ได้สวยอะไรขนาดนั้น เธออาจจะเป็นแค่ญาติของหวังซือเยวียด้วยซ้ำ
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือชายหนุ่มคนนี้มองเขาอย่างเฉยเมยและพูดว่า “ขอโทษนะครับนายกเทศมนตรีหวู่ กรุณาไปซะตอนนี้เถอะครับ ฉันยังมีเรื่องที่จะพูดคุยกับบอสหวังอยู่”
หวู่อิงเยวียนถูกไล่ออกไปตรงๆ ซึ่งทำให้เขาโมโหทันที เขาต้องอดทนมากในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา แต่ตอนนี้แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ก็ยังกล้าไล่เขาไปงั้นเรอะ?
“บอสหวัง ฉันเชื่อว่ามีบางสิ่งที่คนหนุ่มสาวไม่เข้าใจอย่างมากอยู่นะ” หวู่อิงเยวียนกล่าว เขารู้ว่าหวังซือเยวียเป็นคนดีกับทุกคนในเมืองผี และรู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหน
หวังซือเยวียดูลำบากใจ เขารู้ว่าหวู่อิงเยวียนต้องการอะไร
ใบหน้าของเย่โม่จมลงและเขาพูดอย่างชัดเจนว่า “คุณไม่ได้ยินคำพูดของฉันรึไง? ฉันไม่ต้องการเช่าบ้านของตัวเอง คุณเป็นตัวแทนของรัฐบาลหรือโจรนะห่ะ?”
“ไอ้เด็กเหลือขอ! ฉันจะรายงานคำพูดของแก แต่ฉันเชื่อว่าบอสหวังคงสามารถจินตนาการผลที่ตามมาได้นะ” จากนั้นชายลงพุงก็จากไป
หวังซือเยวียต้องการให้หวู่อิงเยวียนกลับโดยไม่ทำให้เขาขุ่นเคือง แต่วิธีการทำสิ่งต่างๆ ของเย่โม่ทำให้เขาต้องจนมุม แม้ว่าหวังซือเยวียจะรู้ว่าเย่โม่เป็นปรมาจารย์ที่ไม่กลัวปรมาจารย์ที่หวู่อิงเยวียนพูดถึง หลังจากนี้หวู่อิงเยวียนก็จะทำให้หวังซือเยวียลำบาก
เย่โม่สามารถคาดเดาความกังวลของหวังซือเยวียได้ และตบไหล่ของเขา “บอสหวัง ไม่ต้องกังวลนะ นายจะไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้ แต่สิ่งที่ฉันอยากรู้คือทำไมฉันไม่เห็นผู้อาวุโสที่การแข่งขัน?”
หวู่อิงเยวียนได้ยินสิ่งนี้และถึงแม้ว่าเขาจะไม่เชื่อว่ามันค่อนข้างดี เขาก็ยังตอบว่า “ตามบริกรมาสิ พวกเขาไปประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ นะ แต่ฉันไม่รู้เฉพาะเจาะจงหรอก”
นั่นไงละ ในที่สุดเย่โม่ก็เข้าใจ มันยากสำหรับคนของนิกายลี้ลับพวกนี้ เพื่อรวบรวมอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นพวกเขาจะมีการประชุมแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ หากมีการประมูลอีกครั้ง เขาอาจไปดูด้วย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เย่โม่ก็ให้สร้อยข้อมือสีดำแก่หวังซือเยวียและกล่าวว่า “ขอบคุณนะ ฉันจะนึกถึงนายเพื่อน สิ่งประดิษฐ์ป้องกันนี้เป็นสิ่งที่ฉันทำเองตอนที่ว่างๆนะ ตอนนี้มันเป็นของนายแล้ว”
หวังซือเยวียรับมันมาด้วยใบหน้าแห่งความสุขและความประหลาดใจ เขารู้ว่าสิ่งที่เย่โม่ให้นั้นมีค่า หลังจากที่เขาสวมมัน เขารู้สึกแข็งแกร่งในทันทีและขอบคุณเย่โม่ จากนั้นเย่โม่ก็กล่าวว่าเขาเป็นเพื่อนของเขาในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องของหวู่อิงเยวียน หากแย่ที่สุดมาถึงที่เลวร้ายที่สุด เขาก็จะย้ายไปเมืองอื่น
เมื่อเห็นว่าหวังซือเยวียไปแล้ว ฮานหยันก็พูดอย่างกังวลใจ “พี่เย่คะ คนพี่จัดการมาจากนิกายอี้เจี้ยน และชายที่คุกเข่ามาจากตระกูลเซีย พวกเขาเป็นพลังที่นิกายของเราไม่สามารถจัดการได้ ฉันกลัวว่าคืนนี้….”
เย่โม่ยิ้มและไม่ตอบเธอโดยตรง และพูดอย่างอื่นแทน “ใช่ พลังของเธอต่ำเกินไปจริงๆ เธออยู่ในขั้นตติยสีเหลือง และเธอยังไม่ได้รวมมัน เลยถ้าเธอเข้าไปการแข่งขันด้วยสภาพแบบนี้ ฉันคิดว่ามันจะยากมากเลยละ”
ฮานหยันหน้าแดง เธอรู้ว่าเย่โม่กำลังพูดความจริง แต่การแข่งขันครั้งนี้มีความสำคัญมากสำหรับเธอและแทบไม่มีใครในนิกายกวงฮั่นที่สามารถไปถึงขั้นตติยสีเหลืองก่อนอายุ 30 เธอเป็นอัจฉริยะตามมาตรฐานของพวกเขาแล้ว
เย่โม่สามารถบอกได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรจากใบหน้าของเธอและพูดว่า “เธอให้เมล็ดหัวใจบัวหิมะพันปีกับฉัน และฉันก็บอกเธอแล้วว่าฉันจะให้ยากับเธอเมื่อฉันมีโอกาส ตอนนี้ฉันจะให้เธอเลือก 1 ใน 2 เม็ด หนึ่งคือยาเม็ดบัวแห่งชีวิตที่ทำจากเมล็ดหัวใจบัวหิมะพันปี และอีกเม็ดคือยาเพิ่มลมปราณ”
เมื่อเห็นความสับสนของฮานหยัน เย่โม่ก็พูดว่า “เม็ดยาบัวแห่งชีวิตสามารถรักษาอาการบาดเจ็บและพาคนตายกลับมาได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพของสมองด้วย”
“มียาที่ล้ำค่าแบบนั้นอยู่จริงๆเหรอ?” ฮานหยันพูดอย่างสงสัย แต่ไม่ได้ปฏิเสธการมีอยู่ของมัน
“ถ้ามีเม็ดยาล้ำค่าจริงๆ ฉันจะต้องการมันแน่นอน มันสามารถรักษามะเร็งได้ไหม?” ฮานหยันถาม
เย่โม่พยักหน้า “ตามหลักวิชาการก็ใช่ แต่เธอไม่ต้องการที่จะรู้ว่ายาเพิ่มลมปราณทำอะไรหรอ?”
ฮานหยันตอบกลับทันทีว่า “ไม่ว่ามันจะมีประสิทธิภาพแค่ไหน มันก็ไม่แข็งแกร่งเท่ากับเมล็ดบัวแห่งชีวิตแน่นอน ฉันต้องการเม็ดยาบัวแห่งชีวิต”
เย่โม่ยิ้มและวางขวดหยก 2 ขวดลงบนโต๊ะ “ด้านซ้ายเป็นเม็ดยาบัวแห่งชีวิต ขวาคือยาเพิ่มลมปราณ ยาเพิ่มลมปราณสามารถทำให้จอมยุทธ์เพิ่มพลังขึ้นได้ 1 ถึง 3 ระดับ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของบุคคล”
“อะไรนะ? นั่นทรงพลังกว่ายาขั้นสีดำอีกเหรอ?” ฮานหยันตกใจเป็นเวลานานก่อนจะถาม หากมียาเม็ดนี้จริงๆ มันจะไม่มีจอมยุทธ์มากมายเลยหรอ?
เย่โม่ไม่ได้พูดอะไรและรอให้เธอเลือก
ฮานหยันหยิบยาเพิ่มลมปราณขึ้นมาโดยไม่ลังเล “แน่นอนว่าฉันต้องการยาเพิ่มลมปราณ แต่มันมีผลอย่างนั้นจริงๆเหรอ?”
เย่โม่ยิ้ม “เธอจะรู้หลังจากที่เธอกินมัน”
จากนั้นเย่โม่ก็ถาม “เธอรู้จักระดับพลังของผู้คนที่เข้าร่วมการแข่งนี้ไหม?”
ฮานหยันส่ายหัว “ฉันไม่รู้หรอก แต่ฉันรู้ว่าจะต้องมีอัจฉริยะขั้นสีดำอย่างน้อยกว่า 10 คน ส่วนที่เหลือควรอยู่ในขั้นตติยสีเหลืองหรือระดับสูงสุด”
เย่โม่พยักหน้า ด้วยความสามารถของฮานหยัน ยาเพิ่มลมปราณนี้น่าจะช่วยให้เธอไปถึงขั้นสีดำและเข้าสู่ 30 อันดับแรก หากเขาไม่ให้ยาเพิ่มลมปราณกับเธอ เธอจะมีโอกาส 90% ที่จะล้มเหลว
จากนั้น ฮานหยันก็มองไปที่ยาเพิ่มลมปราณในมือของเธอด้วยความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ถ้ายาเม็ดนี้เป็นของจริง เธอคงไม่ต้องไปที่การแข่งขัน วัตถุประสงค์หลักของเธอคือได้ยาขั้นสีดำ เธอไม่สนใจจริงๆ เรื่องเงินหลายร้อยล้านนั้น
เย่โม่เห็นว่าฮานหยันยืนอยู่ที่นั่นพร้อมกับยาในมือเธอ เขาจึงพูดว่า “กินยาก่อนแล้วค่อยเริ่มฝึกตน ฉันจะเอาอาวุธให้เธอ”
ฮานหยันฟังเย่โม่ แล้วกินยา
ยาเพิ่มลมปราณละลายในปากของเธอทันที และกลั่นกลายเป็นลมปราณที่เข้มข้นและบริสุทธิ์ ซึ่งพุ่งเข้าหาเส้นชีพจรของเธอ เธอนั่งลงและหมุนเวียนวิธีการฝึกตนเพื่อกลั่นยา
3 ชั่วโมงต่อมา ฮานหยันลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น ในเวลาเพียง 3 ชั่วโมง ตอนนี้เธอมาถึงขั้นสีดำระดับต้นสูงสุด เธอต้องการเพียงช่วงเวลาพิเศษเดียวในการเข้าถึงขั้นสีดำระดับกลาง ยาที่เย่โม่ให้ยาเธอมันไร้เหตุผลเกินไป! มันมีมูลค่ามากเท่าไหร่กันแน่ เธอไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการเลย
เมื่อเย่โม่เข้ามาและเห็นสิ่งนี้ เขาเลยพูดว่า “ไม่เลวนิ เธออยู่ในขั้นสีดำระดับต้นสูงสุดแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะสามารถขึ้นไปอยู่อันดับท็อป 30 ได้แน่นอนนะ ถ้าเธอทำได้ดี เธออาจจะติดแม้อันดับท็อป10”