Summoning the Holy Sword - ตอนที่ 110
110 – นี่แหละที่เรียกว่าการฝึก
ป่าราตรี
ไลซ์มีประสบการณ์มากมายกับสถานที่แห่งนี้
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำภารกิจ แต่ไลซ์ก็ไม่รู้สึกผ่อนคลาย ป่าแห่งนี้ดึงความทรงจำร้ายๆของเธอกลับมา เมื่อเธอเดินผ่านหญ้า เธอนึกถึงความตายของหัวหน้าคนก่อนและเพื่อนๆของเธอในป่าแห่งนี้ มันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก
มันไม่ใช่เรื่องแปลกเนื่องจากมันเป็นประสบการณ์แรกที่เธออยากลบมันออกไป เธอสะพายกระเป๋าไว้ที่ไหล่และเดินไปตามหลังกลุ่มอย่างเงียบๆ ความคิดของเธอหมกมุ่นอยู่กับอดีตที่ผ่านมา
แม้ว่ามาร์ลีนจะเป็นเพียงคนเดียวที่สนิทกับไลซ์ต่อจากโรดส์ เธอก็ไม่สามารถปลอบใจเธอได้เพราะว่าเธอเองก็กำลังหมกมุ่นอยู่กับบางสิ่งอยู่ อัจฉริยะจอมเวทย์กำลังมองไปข้างหน้าด้วยความซึมเศร้า ขณะที่เธอกำลังเดินอยู่ข้างไลซ์ เห็นได้ชัดว่าความคิดของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และคนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอัลเคมิสต์เรนเจอร์ ลาปิส ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเธอ
หลังจากวันนั้น มาร์ลีนยอมทำตามคำขอของโรดส์และพยายามสอนลาปิสเกี่ยวกับ ‘พื้นฐาน’ ของการเล่นแร่แปรธาตุ ตอนแรกมาร์ลีนไม่คิดว่ามันจะยากขนาดนี้ แต่ไม่ใช่ เธอคิดผิด
แม้ว่าเธอจะไม่ได้เรียนเรื่องศาสตร์การรังสรรค์ลึกลับและโครงสร้าง อย่างน้อยเธอก็รู้วิธีการปรุงโพชั่น ตราบเท่าที่เธอสามารถสอนให้ลาปิสในวิชานี้ได้ มันก็ไม่ควรเป็นปัญหามากนัก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอคุยกับลาปิสเรื่องโพชั่น….เธอรับรู้ว่าเธอไม่สามารถทำทุกอย่างได้ แม้ว่ามาร์ลีนจะค่อนข้างมั่นใจในความรู้เกี่ยวกับหัวข้อนี้ ลาปิสเองก็ผิดปกติเกินไป ความรู้เกี่ยวกับอัลเคมิสต์ของเธอเหนือล้ำเกินกว่าความเข้าใจของคนทั่วไปมาก
วิธีที่ง่ายกว่าในการอธิบายการพูดคุยของพวกเธอสองคนคือ
“ลาปิส หลังจากที่พวกเราตั้นแอปเปิ้ลจนเป็นน้ำ มันยังอุดมไปด้วยสารอาหารครบถ้วน หลังจากนั้นใส่ของบางอย่างเพิ่มลงไป พวกเราจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ผ่อนคลายและมีชีวิตชีวาได้….”
“แต่พี่มาร์ลีน หลังจากที่ตัดแอปเปิ้ลเป็นชิ้นๆ พวกเราสามารถใช้มันเพื่อความสวยความงามได้เช่นกันนะคะ….”
“ตอนนี้ ลาปิส พวกเราไม่ได้กำลังพูดเรื่องความสวยความงาม ประเด็นหลักของเราคือน้ำผลไม้….”
“แต่ทำไมพวกเราไม่สามารถใช้มันเป็นเป้าหมายเกี่ยวกับความสวยความงามได้ล่ะคะ หลังจากที่ทำน้ำผลไม้เสร็จ?”
“…..” (แอดก็งงเหมือนกัน)
นั่นเป็นกระบวนการคิดของลาปิส มาร์ลีนตัดสินใจยอมแพ้หลังจากที่อดทนสอยเธอมา 2 วัน การเป็นอัจฉริยะของเธอ มาร์ลีนได้เก็บความภาคภูมิใจของเธอลงไป แต่ท้ายที่สุดเธอบอกโรดส์ว่าเธออยากออกจากการเป็นครู โรดส์เองก็ไม่ได้บังคับให้เธอทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ดังนั้นเขาจึงตอบรับคำขอของเธอ
สำหรับลาปิส มาร์ลีนไม่มั่นใจเกี่ยวกับอนาคตของเธอ เธอยิมรับว่าวิธีคิดของลาปิสมีความเป็นเอกลักษณ์มากและแตกต่างไปการแนวทางการสอนของโรงเรียนเวทมนตร์ นั่นเองก็เป็นจุดอ่อนใหญ่หลวงของลาปิสเช่นกัน
ต้องเข้าใจก่อนว่าความรู้เกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุเป็นสิ่งที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นมาเป็นเวลาหลายพันปี มันผ่านมือของอัลเคมิสต์มานับไม่ถ้วนกว่าจะมาเป็นระบบการเรียนที่มีประสิทธิภาพ ลาปิสไม่สามารถเข้าใจประโยชน์จากการเรียนแบบนี้ได้และได้สร้างเส้นทางของตัวเองขึ้นมา ถ้า 1 วิชาจำเป็นต้องใช้เวลาหลายร้อยปีในการเป็นผู้เชี่ยวชาญ แล้ว 3 วิชาล่ะ?
โรดส์รู้สึกแตกต่างออกไป เขามาจากโลกที่ทันสมัย ดังนั้นเขารู่ว่ามีหลายอย่างที่มีเอกลักษณ์ในตัวของมันเอง เขาได้อ่านนิยายมากมายที่ตัวละครหลักที่เป็นคนโง่ๆ และไม่ได้เก่งกาจมากมาย บางทีลาปิสอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้?
มันไม่ได้สำคัญ ถ้าลาปิสจะล้มเหลว โรดส์ได้เตรียมพร้อมให้ลาปิสกลายมาเป็นคนรับใช้ภายในฐานบัญชาการ อย่างน้อยเธอก็อยู่ในสายตาและโรดส์ไม่อยากเสียเงินของเขาเพื่อใช้ในการฝึกเธอ
“พี่ไลซ์ พี่เป็นอะไรไหมคะ?”
แอนที่ร่าเริงอยู่ตลอดเวลาเดินเข้ามาหาไลซ์
ไลซ์เงยหน้าขึ้นและยิ้มอย่างขมขื่นออกมา แม้ว่าทิวทัศน์ของป่าราตรีในฤดูใบไม้ผลิจะสวยงาม แต่ไลซ์ไม่ได้มีความสุขกับมันเลยแม้แต่น้อย เธอรู้ดีว่าเธอทำตัวแปลกๆ แต่เธอไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเธอได้
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่รู้สึกไม่ดีน่ะ”
ไลซ์ไม่ได้อธิบายต่อ เธอไม่อยากยกอดีตของเธอขึ้นมาพูด แต่…ทำไมเธอไม่ปล่อยมันไปล่ะ?
แม้แต่ตัวไลซ์เองก็ไม่รู้เหตุผลว่าทำไม
“อืออออ….”
เมื่อได้ยินคำตอบที่คลุมเครือของไลซ์ แอนลอบมองไปยังเธอชั่วขณะและเผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีชีวิตชีวา
“แม้ว่าแอนจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่สาว แอนยังคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าพี่สาวมีความสุข ไม่อย่างนั้นคนอื่นๆที่เป็นห่วงพี่จะพากันเศร้าไปด้วยนะ ถ้าพี่มีความสุข ทุกคนก็จะมีความสุขไปด้วย มันไม่ดีกว่าเหรอคะ?”
แอนไม่ได้พูดเปล่าและวิ่งกลับไปด้วยท่าทางแข็งแรง ไลซ์เห็นเด็กสาววิ่งออกไปด้วยสีหน้าซับซ้อน เธอยืดมือออกและจับไปที่ใบหน้าของตัวเธอได้
“….คนที่เป็นห่วงฉัน…จะรู้สึกเศร้าไปด้วย….สินะ?”
เธอพูดกับตัวเอง
จากนั้นเธอเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้
ทุกคนมาถึงที่หมายก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
สถานที่นั้นคือรอยต่อระหว่างป่าราตรีและเขตภาฟิวด์ ลมอุ่นๆพัดพื้นหญ้าอย่างแผ่วเบาเผยให้เห็นความสงบร่มเย็น
ชอว์น่าและพรรคพวกเริ่มตั้งแคมป์กัน พวกเธอมีความเชี่ยวชาญมาก ใน 10 นาที พวกเธอได้เตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว
ค่ายที่พักของพวกเขาถูกตั้งไว้บนเนินหินใกล้รอยต่อระหว่างทางลงป่าทั้งสองด้าน ชายชราวอร์คเกอร์และแรนดอฟมีสกิลของเรนเจอร์โดยใช้ในการวางกับดักมากมายรอบๆค่ายที่พัก แม้ว่ามันควรเป็นทริป ‘พักผ่อน’ แต่เพื่อความปลอดภัย มันก็ไม่ใช่เรื่องผิด
ขณะที่พวกเขากำลังติดตั้งกับดัก พวกเขาเริ่มวางแผนจับกระต่ายป่าที่กำลังหนีจากเหยี่ยว ดูเหมือนว่าพวกมันจะกลายเป็นอาหารมื้อต่อไปของพวกเขา
ตลอดการผจญภัยเต็มไปด้วยความผ่อนคลายตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงตอนนี้ แต่หลังจากที่ปล่อยให้พวกเขาเพลิดเพลินกับสตูกระต่ายป่าเป็นอาหารเย็น โรดส์นึกได้ว่าพวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ
“นี่เป็นตารางการฝึก”
โรดส์พูดขณะที่ส่งกระดาษให้กับชอว์น่า แรนดอฟและคนที่เหลือ ขณะที่พวกเขาได้อ่านเนื้อหา โรดส์เริ่มพูดขึ้น
“พวกคุณทั้งหมดคงรู้แล้วนะว่านี่คืออะไร สิ่งที่ผมต้องการเป็นอย่างแรกคือชำนาญในทักษะเหล่านี้ แน่นอนว่าพวกมันไม่ได้ยาก และพวกคุณเองก็อาจเคยได้ยินเกี่ยวกับทักษะพวกนี้ แต่ความต้องการของผมนั้นเข้มงวดกว่านั้น”
“ครับ นี่คือ….”
ในขณะนั้น แรนดอฟและคนที่เหลือที่เพิ่งอ่านเนื้อหาในกระดาษจบ พวกเขาแปลกใจและมองไปหาโรดส์อย่างไม่เชื่อ
ดวงตาของแรนดอฟเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง สิ่งที่อยู่ในกระดาษตอนนี้คือสกิลมากมายของคลาสเรนเจอร์ สกิลเหล่านี้ถูกจัดเรียงในลักษณะที่เขาไม่คุ้นเคย อีกทั้งยังมีระยะเวลาการใช้งานและคูลดาวน์ กระดาษแผ่นนี้บอกกับเขาว่าสกิลอะไรที่เขาควรใช้เป็นอันดับแรก ตามมาด้วยสกิลที่สองและจากนั้นสกิลสุดท้าย ยิ่งไปกว่านั้น มันยังแสดงให้เขาเห็นถึงการผสานสกิลที่เอาไว้ใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย!
อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้เล่นคนอื่นเห็นกระดาษในบี้ พวกเขาคงไม่แปลกใจเหมือนแรนดอฟและคนอื่นๆ ถ้าพวกเขาอยู่ในเกมตอนนี้ พวกเขาอาจจะเสิร์ชหาข้อมูลบนเว็บไซด์ว่า ‘วิธีการทำดาเมจสูงสุด’ และสิ่งที่พวกเขาจบจะเป็นสิ่งที่แรนดอฟกำลังดูอยู่ในตอนนี้
นั่นเป็นวิธีการฝึกที่โรดส์คิดขึ้น
ก่อนหน้านี้โรดส์ได้ถามแรนดอฟและคนอื่นๆเกี่ยวกับสกิลที่พวกเขาเรียน แน่นอนสำหรับ NPC พวกเขาจะไม่มี ‘ความสามารถแบบผู้เล่น’ ดังนั้นพวกเขาจะไม่แข็งแกร่งเท่าผู้เล่น แต่ถ้าพวกเขาได้รับรูปแบบใช้สกิลที่ดี เขายังสามารถสร้างแผนการโจมตีที่สมบูรณ์แบบได้
นั่นเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของโรดส์
เนื่องจากเหล่ามือใหม่ไม่สามารถคิดแผนของตัวเองได้ เขาจึงควรที่จะสอนพวกเขาทีละขั้นตอนถึงวิธีการใช้สกิลให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะโง่มากแค่ไหน หลังจากที่ได้อ่านรายละเอียด ‘คำแนะนำสกิล’ พวกเขาควรที่จะสามารถพัฒนาขึ้นได้มาก
ถ้าพวกเขายังไม่สามารถทำได้ดี….ในครั้งนี้เขาคงต้องพิจารณาให้แรนดอฟสวมชุดเมดและไปยืนหน้าทางเข้าของฐานบัญชาการ
บอกตรงๆ ในด้านประสบการณ์การต่อสู้ แรนดอฟและคนอื่นๆถือเป็นมือใหม่อย่างสมบูรณ์ แต่พวกเขายังคงเป็นทหารรับจ้างที่ผ่านการประเมินมาได้ ดังนั้นพวกเขาต้องมีความเข้าใจทักษะของตัวเองระดับหนึ่ง
แรนดอฟและคนที่เหลือแปลกใจมากที่พบว่าโรดส์ได้มอบของขวัญที่ล้ำค่ามาให้พวกเขาแบบนี้ ต้องเข้าใจก่อนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ถ้าไม่มีประสบการณ์มาหลายปี และถ้าพวกเขาอยากไปถึงความสามารถระดับเดียวกับโรดส์ พวกเขาจะต้องเสียสละเวลามากมายหลายปีเพื่อสะสมประสบการณ์
ความแตกต่างระหว่างมีประสบการณ์และไม่มีประสบการณ์นั้นเหมือนกับกลางคืนและกลางวัน เมื่อเปรียบเทียบนักดาบ 2 คนที่ใช้สกิลเดียวกัน ถ้าหนึ่งในนั้นมีประสบการณ์หลายปี ขณะเดียวกันกับอีกคนที่เป็นมือใหม่ พวกเขาใช้สกิลเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นตอนนี้โรดส์ได้พัฒนาคอมโบสกิลที่สามารถสร้างความเสียหายได้สูงสุดให้กับพวกเขา พวกเขาปลาบปลื้มมาก
ดังนั้น แรนดอฟและคนอื่นๆเริ่มมองไปยังโรดส์ด้วยความชื่นชมอย่างมาก
เขาไปหาความรู้เกี่ยวกับทักษะพวกนี้มาได้อย่างไร?!