Summoning the Holy Sword - ตอนที่ 65
65 – ก้อนหินแห่งความโศกเศร้า
“การเคลื่อนไหวของคนพวกนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจนถึงตอนนี้” ชายชุดดำพูด ในขณะที่สังเกตร่องรอยบนพื้นอย่างระมัดระวัง
“ทุกอย่างเป็นไปตามแผน” ชายชุดดำอีกคนตอบกลับอย่างไม่ไว้วางใจ “แต่ทำไมข้ารู้สึกว่าทุกอย่างมันดูลงตัวไปหมด?”
ชายทุกคนสวมชุดคลุมดำทั้งหมด เหลือเพียงดวงตาของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกปิดไว้หมด แม้กระทั่งเสียงของเขาดัดแปลง และไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? ไม่มีใครสามารถบอกได้
“ตามข้อมูลของพวกเรา เด็กหนุ่มตรงหน้ามีนิสัยค่อนข้างระมัดระวังอย่างมาก ทำไมตอนนี้เขาถึงดูไม่ระวังตัวเลย?”
“ไม่แปลกหรอก ที่ข้าหลายถึงคือมีสาวสวยอยู่ข้างกาย…” ชายชุดดำอีกคนหัวเราะเสียงต่ำ
ชายอีก 3 คนที่เหลือหัวเราะขึ้นมาเบาๆ แต่ในไม่ช้าพวกเขากระซิบกันอีกครั้ง
“พวกเราควรทำตามคำแนะนำ รอให้พวกมันเข้าไปในป่าลึก แล้วพวกเราค่อยโจมตี จำไว้! พวกเราต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย!”
“แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ?”
“จับเป็นเธอถ้าเป็นไปได้ ไม่ว่าจะทุบให้สลบหรือวางยาเธอ แต่ถ้าพวกเราล้มเหลว เราต้องปิดปากเธอ จอมเวทย์เป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยาก พวกเจ้าทั้งหมดต้องระวัง”
ชายทั้งหมดพยักหน้ารับทราบ แน่นอนพวกเขารู้ว่าจอมเวทย์จัดการยากแค่ไหน ถ้าเธอตั้งใจหลบหนี ไม่มีใครสามารถหยุดเธอได้
“เอ๊ะ?”
ทันใดนั้น ชายคนหนึ่งสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวใกล้ๆ เขาทำสัญลักษณ์มืออย่างรวดเร็วและค่อยๆดึงกริชออกมาช้าๆ ก้าวเข้าไปทีละก้าว ตรงไปยังพุ่มไม้ คนอื่นๆที่อยู่ด้านหลังก้มลงและดึงอาวุธออกมาทันที จากนั้นชายชุดดำที่ใกล้พุ่มไม้ที่สุดตวัดกริชไปยังพุ่มไม้ทันที
วูซซซซซ! พุ่มไม้สั่นไหว มีกระรอกตัวหนึ่งกระโดดออกมา มันปีนขึ้นต้นไม้และจ้องมองมนุษย์อย่างหวาดกลัว ก่อนจะหายตัวไป
เมื่อชายเหล่านั้นรู้ตัวว่าผิดพลาด พวกเขามองหน้ากันโดยไม่พูด จากนั้นพวกเขากระโดดหายไปในพุ่มไม้
ในขณะเดียวกัน มาร์ลีนกำลังกระทืบเท้าไปบนลำธารด้วยความโกรธ
“อร้ากกก!” มาร์ลีนหงุดหงิดอย่างมาก เธอชูกำปั้นขึ้นและชกไปในอากาศ “คนพวกนั้นมันโหดร้ายเกินไปแล้ว! พวกมันรอ…”
โรดส์ไม่ชอบให้ใครลอบตามมาด้วย แต่เนื่องจากเขาเป็นคนปล่อยพวกมันเอง เป็นธรรมดาที่เขาจำเป็นต้องหาทางติดตามคนพวกนั้นกลับ นี่เรียกว่า ‘วัฏจักร’
ดังนั้นหลังจากมาถึงก้อนหินแห่งความโศกเศร้า โรดส์ไม่ได้พยายามหาสมบัติแต่อย่างใด กลับกันเขาขอให้มาร์ลีนค้นหาวิธีตอบโต้ชายชุดดำที่ลอบตามมา เป้าหมายหลักของเขาคือการค้นหาความตั้งใจของคนพวกนั้น เป้าหมายรองคือเขาต้องการให้มาร์ลีนรู้ว่าสิ่งต่างๆไม่ง่ายเหมือนที่คิด
ในตอนแรกมาร์ลีนไม่สนใจคนเหล่านี้ในสายตาของเธอ เธอเป็นขุนนางสายเลือดบริสุทธิ์ เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของเธอ เธอได้สัมผัสกับด้านที่ ‘สว่างกว่า’ และอีกด้านหนึ่ง เธอไม่มีความรู้มากนัก ในความคิดของเธอ ชายชุดดำพวกนั้นไม่ต่างอะไรไปจากโจร ดังนั้นเมื่อโรดส์ขอให้เธอตรวจสอบพุ่มไม้ เธอจึงบ่นออกมาไม่หยุด
แต่หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด เธอพบดงาหลายคนซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ ใบหน้าของมาร์ลีนซีดลงทันที แต่ด้วยความเย่อหยิ่ง เธอจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา นั่นเพราะเธอไม่ได้โง่
สำหรับจอมเวทย์ เธอรู้ดีว่าการถูกโจมตีจากด้านหลังเป็นหนึ่งในจุดอ่อนของเธอ ในการต่อสู้จริง เธอจะร่ายเวทย์เกราะป้องกันก่อนเสมอ เพื่อไม่ให้เธอกังวลเกี่ยวกับลูกหลงหรือการถูกลอบโจมตี จอมเวทย์ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน – นั่นเป็นการใช้พลังที่สิ้นเปลืองอย่างมาก
ถ้าเธอไม่ได้เตรียมตัวและเดินผ่านพุ่มไม้ ผลที่เกิดขึ้นจะร้ายแรงมาก ดังนั้นทันทีที่เธอเห็นชายชุดดำเหล่านั้น เธอหยุดไม่สนใจพวกเขาและจับตาดูอย่างจริงจัง
โรดส์มองดูเธออย่างระมัดระวังและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ตั้งแต่แรก เขาได้สังเกตเห็นความแข็งแกร่งของศัตรู ถ้าอ้างอิงจากระดับ คนเหล่านี้มีระดับสูงกว่าเขา โชคดีที่การเฝ้าระวังและเทคนิคลับต่างๆมีระดับต่ำกว่าที่โรดส์คิด ทำให้เขามั่นใจว่าเขาสามารถจัดการคนพวกนี้ได้
ภายนอก โรดส์และมาร์ลีนดูค่อนข้างเฉยชา แต่จริงแล้วในเงามืดมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าคนพวกนั้นจะแข็งแกร่งหรือไม่ โรดส์จำเป็นต้องหาตำแหน่งของพวกเขาก่อน ก่อนที่เขาจะโจมตี ดังนั้นในการเลือกตำแหน่งในการซุ่มโจมตีนั้น โรดส์ได้เปรียบอย่างมาก
และในระหว่างที่กำลังหาคนพวกนั้น โรดส์พบบางอย่างที่น่าสนใจ
“ช่างเป็นคนที่รักสัตว์จริงๆ” โรดส์พูดและเหยียดรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย โดยไม่แน่ใจว่าเขากำลังชมมาร์ลีนหรือประชดประชัน และในเวลาเดียวกัน กระรอกวิ่งขึ้นมาบนไหล่ของเธอ
“บอกตรงๆ ผมคิดว่าจอมเวทย์จะชอบอะไรที่มันแปลกกว่านี้ซะอีก”
“แปลก?” มาร์ลีนยกคิ้วขึ้นและมองไปยังโรดส์
“คุณคิดว่าความชอบของฉันจะแปลกเหมือนวิญญาณอัญเชิญของคุณเหรอ? นี่คือลูกน้อยของฉัน! ถ้าพวกเราไม่เดินทางไกลขนาดนี้ ฉันไม่เอามันมาที่นี่หรอก”
วิญญาณอันเชิญที่อ่อนแอและน่าสงสารถูกโยนไปในกองไฟทันที…
โรดส์ถอนหายใจและส่ายหัวของเขา เขามองไปยังกระรอกที่นั่งอยู่บนไหล่ของมาร์ลีน มันกำลังใช้ฟันเล็กๆแทะลูกนัท
จากมุมมองของหญิงสาว ความน่ารักคือความยุติธรรม โรดส์เข้าใจ ‘ความจริงนี้’ อย่างชัดเจน เนื่องจากเขาเคยเป็นหัวหน้ากิลด์มาก่อน ผู้เล่นหญิงมากมายในกิลด์ของเขาไม่ได้เลือกสัตว์เลี้ยงโดยดูจากสกิล พรสวรรค์หรือความสามารถในการต่อสู้ พวกเธอเลือกเพราะความสงยงาม ความน่ารัก ความมีเสน่ห์ ไม่ว่าเขาจะอยู่โลกใบไหน ผู้หญิงมักจะมีด้านนี้เสมอ
“ไปกันเถอะ”
ในลำธาร มีพุ่มไม้เตี้ยๆมากมายกระจัดกระจายไปทั่วกำแพงหิน เมื่อสายลมพัดผ่าน เศษดินและใบไม้จะปลิวไปทั่ว
“พวกเราจะหาสมบัติกันที่นี่จริงๆเหรอ คุณโรดส์?” มาร์ลีนบ่นออกมาโดยมือของเธออีกข้างกำลังกันใบไม้ออกไปจากใบหน้าของเธอ
“มันดูวังเวงแบบนี้จะมีสมบัติจริงๆเหรอ?”
“เพราะว่ามัน ’วังเวง’ ถึงทำให้มีสมบัติอยู่ที่นี่ล่ะ มาร์ลีน”
โรดส์เดินเข้าไปในเงาและสำรวจพื้นที่รอบๆ
“คุณรู้รึเปล่าว่าที่นี่ถูกเรียกว่า ก้อนหินแห่งความโศกเศร้า?”
มาร์ลีนส่ายหัว เธอไม่ใช่คนพื้นที่ในเมืองดีพสโตน เธอจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?
“นานมาแล้วมีค่ายโจรถูกสร้างขึ้นบริเวณนี้ ในเวลานั้นเมืองดีพสโตนยังไม่ถูกสร้างขึ้น เหมืองแร่ทั้งหมดถูกผูกขาดโดยพ่อค้ากลุ่มใหญ่ ไม่เพียงแต่เหล่าพ่อค้าจะใช้ประโยชน์จากคนงานเหมือง แต่พวกเขายังไม่จ่ายค่าตอบแทนหรือจัดหาอาหารให้ด้วย สุดท้ายพวกโจรจึงฆ่าพ่อค้าทิ้งและแจกจ่ายเงินให้กับทุกคน”
ปากของมาร์ลีนกระตุกเล็กน้อย เธอเกลียดขุนนางโหดเหี้ยม เธอรู้ดีว่ามันเป็นหน้าที่ที่ขุนนางต้องจัดการ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด สำหรับคนธรรมดาที่ต้องลุกขึ้นมาจับอาวุธต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของตัวเอง นั่นทำให้เธอไม่มีความสุข
ประสาทการรับรู้ของโรดส์มองเห็นทันที เขาเห็นปฏิกิริยาของมาร์ลีนอย่างชัดเจน แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดอะไร เมื่อตอนที่เขามาโลกใบนี้ เขาพบว่าวัฒนธรรมและความเชื่อของคนบนโลกใบนี้แตกต่างไปจากของเขา ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้ ถ้าเขาเล่าเรื่องนี้ให้คนบนโลกของเขาฟัง พวกเขาจะปรบมือและยกย่องผู้ที่กล้าหาญที่กล้าลุกขึ้นต่อสู้กับผู้ที่แข็งแกร่ง แต่นั่นไม่ใช่กับโลกใบนี้
ในขณะที่มาร์ลีนไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เธอไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การชื่นชม เนื่องจากเธอเป็นขุนนาง ความเห็นของเธอจึงแตกต่างไปจากคนทั่วไป เธอได้รับการดูแลอย่างดี ทำให้ความเชื่อเกี่ยวกับขุนนางในตัวเธอดูยิ่งใหญ่มาก เช่นเดียวกับศักดิ์ศรีของพวกเขา ดังนั้นการได้ยินเรื่องราวเช่นนี้ มาร์ลีนไม่อาจยอมรับได้
สำหรับประชาชนที่เป็นคนชั้นต่ำ พวกเขาไม่รังเกียจ ถ้าตัวเอกจะเป็นโจร ตราบเท่าที่คนพวกนั้นสามารถแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้ พวกเขาจะเห็นเหล่านั้นเป็นวีรบุรุษ
โรดส์ไม่ได้ตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงความเชื่อของมาร์ลีน และไม่สนใจจะเปลี่ยนมุมมองของเธอ
เขาเริ่มนึกถึงคำอธิบายของภารกิจดั้งเดิมและพูดต่อ “ในเวลานั้น พวกโจรมีชื่อเสียงมากในหมู่ผู้คน ซึ่งทำให้พ่อค้าร่ำรวยอิจฉาพวกเขา ในที่สุดพวกเขาก็แก้เผ็ดและสั่งให้ทหารบุกค่ายโจร แม้ว่าทหารจะมีมากกว่า แต่จิตวิญญาณของพวกโจรไม่หวั่นไหว พวกเขาต่อสู้กับทหารด้วยความกล้าหาญและเสียชีวิตลงด้วยศักดิ์ศรี ในคืนต่อมา หลังจากที่ทหารจากไป ผู้คนต่างโศกเศร้ากับการตายของเหล่าวีรบุรุษและจึงสร้างหลุมฝังศพขึ้นมา ดังนั้น นี่จึงเป็นที่มาของชื่อ ก้อนหินแห่งความโศกเศร้า”
“เป็นเรื่องที่วิเศษมาก…แล้วเกิดอะไรขึ้นกับคนพวกนั้นล่ะ?”
“ผมไม่รู้”
โรดส์ส่ายศีรษะอย่างง่ายๆ รายละเอียดของภารกิจมีแค่นี้และไม่ได้เอ่ยถึงสิ่งใด “ถ้าคุณอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รออ่านตอนต่อไป”
“มันเป็นเรื่องที่วิเศษมาก”
มาร์ลีนพยักหน้า แต่เธอดูสับสน
“แต่คุณโรดส์ อย่างที่คุณพูดมา คนพวกนั้นท้ายที่สุดก็เป็นโจร พวกเขาเป็นกลุ่มอาชญากร พวกเขาจะทิ้งสมบัติได้อย่างไร?”
“มาร์ลีน ให้ผมถามคุณก่อน ทำไมตระกูลเซเนียถึงแข็งแกร่ง? เพราะชื่อเสียงเพียงอย่างเดียวรึ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่” มาร์ลีนตอบอย่างรีบร้อน
เธอไม่ชอบวิธีที่โรดส์ถามอย่างตรงไปตรงมา
“พวกเรา ตระกูลเซเนียไม่ได้มีอดีตที่น่ายกย่องเท่านั้น หืมม..ถ้าคุณรู้ว่า..ไลซ์เป็น….-”
มาร์ลีนปิดปากทันที จากนั้นเธอรู้สึกผิดและมองไปยังโรดส์ หลังจากพบว่าสีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไป เธอรู้สึกโล่งใจ ในเวลาเดียวกัน เธอส่ายหัสอย่างลับๆ
ไลซ์…จะดีกว่าถ้าเธอบอกคุณโรดส์ไปอย่างเปิดเผยว่าเธอเป็นใคร ไม่อย่างนั้น ไม่เพียงแค่เธอเท่านั้นที่ต้องระวัง ฉันเองก็ต้องระวังด้วย ลำบากจริงๆ
“โจรพวกนั้นก็เหมือนกัน” โรดส์พูดถึง ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดก่อนหน้านี้
เธอไม่รู้ว่าเขาได้ยินหรือแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เขาพูดต่อ “คุณไม่คิดว่ามันแปลกเหรอที่พวกเขามีความสามารถในการจัดการกับพวกโจรได้ในตอนแรก? ทั้งๆที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าเสี่ยงชีวิตไปเป็นโจร เพราะพวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นได้ พวกเขาต้องมีใครหนุนหลัง ถ้าเราลองมองที่ประเด็นนี้ พวกเราจะพบเรื่องไม่คาดคิด”
โรดส์เริ่มแทรกความจริงลงไปเพียงครึ่งเดียวในการเล่าเรื่องของเขา ย้อนกลับไปในเกม มีภารกิจลับมากมายมาจากข่าวลือ ตำนานหรือแม้แต่นิทาน ผู้เล่นเป็นกลุ่มที่อ่อนโยนต่อเนื้อเรื่องพวกนี้มากเพราะมันเป็นเกมเสมือนจริง ดังนั้นตรรกะเรื่องพวกนี้จึงไม่ได้ไกลจากโลกในความเป็นจริงมากนัก ประโยคแปลกๆที่ถูกใส่ไว้ในเกมอาจกลายเป็นภารกิจลับได้ทั้งหมด
ในเกม ก้อนหินแห่งความโศกเศร้าเปิดขึ้น เมื่อผู้เล่นได้ยินนักกวีร้องเพลงที่โรงเตี๊ยม เป้าหมายของผู้เล่นที่ไปโรงเตี๊ยมคือไปแสวงหาการผจญภัย ดังนั้นพวกเขาจึงรอให้กวีร้องเพลงเพื่อให้ภารกิจลับถูกเปิดออก
แน่นอนว่ามาร์ลีนไม่เกี่ยวข้องกับมัน – นั่นเป็นเหตุผลที่เธอมองโรดส์ด้วยความประหลาดใจพ เธอตกใจในประสาทรับรู้ของโรดส์ในการเปลี่ยนเรื่องราวเหล่านี้มาเป็นข้อมูล มาร์ลีนรู้สึกว่ายิ่งเธอใช้เวลากับชายคนนี้มากเท่าใด เธอยิ่งคิดว่าตัวตนของเขาลึกลับมากขึ้นเท่านั้น มีอะไรในโลกใบนี้ที่เขาทำไม่ได้บ้าง?
เขาเป็นใครกันแน่?
ความสงสัยของมาร์ลีนเพิ่มสูงขึ้น
“ตรงนี้แหละ”
ในขณะนั้นโรดส์หยุดอยู่หน้าถ้ำ เขาตรวจสอบปากถ้ำอย่างระมัดระวังและเดินเข้าไปด้านใน มาร์ลีนลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่เธอจับกระโปรงและเดินตามหลังไป
ทั้งคู่ส่องคบไฟไปตามทางอุโมงค์ มีเพียงเสียงเท้าของพวกเขาทั้งสะท้อนไปภายในถ้ำ บางครั้งมีเสียงหยดน้ำหยดลงมาที่พื้น จากที่ตรวจสอบ ไม่มีอะไรแปลกประหลาดในถ้ำใต้ดินนี้
ไม่นานหลังจากที่เข้ามา มาร์ลีนที่อยู่ด้านหลังกรีดร้องออกมาทันที
“กรี๊ดดดดดดด!”
“เกิดอะไรขึ้น?”
โรดส์หันกลับมาอย่างรวดเร็วและมองไปที่เธอ
“ฉันรู้สึกว่ามีอะไรโดนฉันจากด้านหลัง” มาร์ลีนพูดออกมาเสียงสั่นๆ น้ำเสียงของเธอเหมือนจะร้องไห้
“โดนคุณ?”
ก่อนที่เขาจะหันหลับไป โรดส์คิดถึงสิ่งต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่เขาคิดว่ามันไม่น่ามีอะไรอยู่ เขาจึงยกคบเพลิงและโบกไปมาด้านหลังมาร์ลีน
“ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“หรื-หรือฉันเข้าใจผิด?”
มาร์ลีนหันหน้ากลับมา ใบหน้าของเธอแดงกล่ำและไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
โรดส์ไม่ได้ว่าอะไรเธอ ไม่นานทั้งคู่เดินต่อ แต่หลังจากเดินไปได้ 3 ก้าว เสียงร้องของมาร์ลีนดังขึ้นอีกครั้ง
“กรี๊ดดด!”
“เอ๊ะ?”
โรดส์หันกลับไปอีกครั้ง เขาไม่เห็นอะไรอยู่ด้านหลังเธอ แต่ครั้งนี้ เขาเห็นใบหน้าของมาร์ลีนซีดกว่าเดิมมาก ทั้งร่างของเธอสั่นทึมราวกับเธอเห็นผี
“ไ-ไม่ มันไม่ถูกต้อง…มันต้องมีบางอย่าง…! ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ฉันรู้สึกว่ามันอยู่บนหลังฉัน…โรดส์ ช่ว-ช่วยฉันด้วย! มั-มันคืออะ-?”
ก่อนที่มาร์ลีนจะพูดจบ โรดส์พบบางอย่างที่คอของเธอ
“อย่าขยับนะ!”
วูซซซ! เขาตวัดดาบผ่านลำคออย่างรวดเร็ว ‘ผู้ร้าย’ กระเด็นไปบนผนัง ในขณะนั้น พวกเขาทั้งสองเห็นรูปร่างที่แท้จริงของมัน
มันเป็นแมงมุมตัวเท่าฝ่ามือ!
แม้ว่าแมงมุมตัวนี้จะถูกฟันและ แต่มันยังพยายามขยับร่างกายเพื่อหลบหนี เลือดสีน้ำตาลของมันไหลออกมาจากบาดแผล มันพ่นใยออกมาราวกับกำลังเจ็บปวด
สายตาของมันน่าขยะแขยงมาก
แม้แต่โรดส์ที่เคยเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจกว่านี้มามาก สีหน้าของเขายังเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เขาสะบัดดาบออกมาอีกครั้ง แมงมุมตัวนั้นถูกฟันขาดเป็นชิ้นๆ
“เฮ้ออ…”
หลังจากกำจัดแมงมุมเสร็จ ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมา
“มาร์ลีน คุณบาดเจ็บรึเปล่า? คุณเป็นยังไ-”
โรดส์ยังพูดไม่จบ เมื่อร่างกายที่นุ่มนิ่มและมีกลิ่นหอมเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“….” โรดส์พูดไม่ออก
“ฮืกก…”
มาร์ลีนเกาะโรดส์ไว้แน่น เธอเอาหัวมุมเข้าไปในอ้อมกอดของเขา แม้ว่าเขาจะไม่เห็นสีหน้าของเธอ แต่เขาได้ยินเสียงสะอื้นของเธออย่างแผ่วเบา
ผู้หญิงคนนี้ร้องไห้จริงๆรึ?
โรดส์ขมวดคิ้วด้วยความสับสน เขายื่นมือซ้ายออกไปและตบไปที่ไหล่ของเธอ
น่าแปลกใจที่เด็กสาวคนนี้ยังไม่ตอบสนอง แขนของเธอยังเกาะร่างของโรดส์แน่น เขายอมรับว่า ขนมปังก้อนโตของเธอดึงดูดสายตาของเขามากๆ
“คุณมาร์ลีน? ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”
“ฮึก…ฮึก…มันตายแล้วเหรอ? บน-บนหลังของฉัน ไม่มีมอนสเตอร์น่าเกลียดแล้วใช่ไหม? คุณโรดส์ ช่วยดูให้หน่อยสิ มอนสเตอร์น่าเกลียดออกไปจากหลังของฉันแล้วใช่ไหม?”
โรดส์มองไปที่หลังของมาร์ลีนและใช้คบไฟส่อง สิ่งที่เขาเห็นคือผ้าคลุมที่สะอาดไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
“ไม่มีอะไรแล้ว คุณมาร์ลีน”
เมื่อเธอได้ยินคำพูดยืนยันของเขา ในที่สุดมาร์ลีนก็โล่งใจ เธอเงยหน้าชึ้ยและเช็ดดวงตาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเธอนึกบางอย่างออก เธอจึงยิ้มออกมาอย่างน่าอายและพูดขึ้น “ฉัน-ฉันมีบางอย่างต้องทำ ฉันจะกลับมาเร็วๆนี้ โอเคนะ?”
“…แน่นอน ไม่มีปัญหา ระวังตัวด้วย”
ท่าทางสดใสของเธอเริ่มกลับมาเหมือนปกติ โรดส์ไม่รู้ว่าในหัวของเธอตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงมองดูเธอวิ่งไปที่มุมเงียบๆด้วยความสงสัย จากนั้นคบเพลิงที่อยู่ตรงนั้นถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อเธอกลับมา เธอมาพร้อมกับความรู้สึกกระปรี่กระเปร่า
อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่ท่าทางของเธอที่กลับมาเป็นปกติ เสื้อคลุมหรูหราของเธอที่เธอใส่ประจำ….ก็เปลี่ยนไปรึ?
“คุณมาร์ลีน?”
“เอ๊ะ? ไม่เป็นไร ฉันขอโทษด้วยที่ทำตัวไม่เป็นมืออาชีพ คุณโรด์ ฉันตกใจและลื่นล้มลงไปน่ะ….ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้ว เราไปกันเถอะ”
“ก่อนจะไป ผมมีคำถาม”
“อะไรล่ะ?”
“คุณ…กลัวแมงมุมเหรอ?”
“โอ้…ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า…ฮ่า…” มาร์ลีนฝืนตัวเองหัวเราะออกมา เมื่อเธอได้ยินคำถามของโรดส์
“คุณพูดอะไรน่ะ คุณโรดส์ คุณกำลังล้อฉันเล่นเหรอ คุณจะไปรู้อะไร? ผู้หญิงคนนี้น่ะรึจะไปกลัวไอ้พวกตัวดำ มีขนหยุบหยับ แปดขากันล่ะ? มันเป็นไปไม่ได้ ฉันแค่ตกใจเล็กน้อยและลื่นล้มลงไปเฉยๆ แมลงไร้ประโยชน์พวกนี้รู้แต่วิธีทำให้ผู้คนหวาดกลัวด้วยขากรรไกรเล็กๆเท่านั้นแหละ ฉันไม่ได้กลัวเล้ย!!!”
น้ำเสียงของเธอฟังดูเหมือนกลัวจริงๆ…