Summoning the Holy Sword - ตอนที่ 69
69 – ใครกันแน่ที่เป็นนักล่า
ความคิดนั้นแล่นเข้ามาในหัวของชายชุดดำทั้งสามคน
ใครจะปล่อยโอกาสที่สวรรค์ส่งมากัน? เด็กสาวคนเดียวอยู่ท่ามกลางความมืดที่ตอนนี้กำลังหมกหมุ่นอยู่กับบางอย่าง…ถึงแม้ว่าจะเป็นจอมเวทย์ เธอก็คงไม่อาจหลบหนีจากการเคลื่อนไหวของเขาได้แน่
อย่างไรก็ตาม..
ชายทั้งสามตรวจสอบรอบๆพร้อมกับคิ้วที่เริ่มขมวด เห็นได้ชัดว่าพวกเขากังวลเรื่องการซุ่มโจมตี พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเดินเล่นและต้องระมัดระวัง แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ พวกเขาสรุปได้ว่ามันไม่เสี่ยงมากที่พวกเขาจะจัดการเด็กสาวเดี๋ยวนี้
ไม่ว่าอย่างไร พวกเขายังคงสับสน ทำไมเด็กสาวคนนั้นถึงลดความระมัดระวังกัน? เป้าหมายหลักในการลอบสังหารในครั้งนี้อยู่ที่ไหน?
ถ้าเขาตายไปแล้ว จอมเวทย์สาวคนนั้นไม่น่าจะสงบนิ่งแบบนี้ เขาทิ้งเธอไว้ในถ้ำด้านในคนเดียวงั้นรึ?
ชายทั้งสามมองหน้ากันและส่งสัญญาณมือเพื่อสื่อสาร ท้ายที่สุด พวกเขาไม่คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นนอกเหนือจากสิ่งที่พวกเขาคาดการณ์ไว้แล้ว ตามข้อมูลที่ได้รับ เด็กหนุ่มคนนี้ค่อนข้างเก่ง ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่เขาจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนและทิ้งจอมเวทย์สาวไว้ที่นี่เพื่อออกสำรวจซากปรักหักพัก ขณะที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นในความมืดได้ไกล แต่อย่างน้อยพวกเขายังสามารถคาดการณ์ตำแหน่งของคบเพลิงที่อยู่ไกลออกไป
หัวหน้าของชายชุดดำทั้งสามเดินตรงเข้าไปเงียบๆ ต่อมาเขาเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่จับจ้องไปเบื้องหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว เขายกมือขวาขึ้นช้าๆและกวาดลงเป็นเส้นโค้ง
เริ่มแผนการได้!
ชายคนอื่นๆพุ่งผ่านความมืดอย่างเงียบกริบเมื่อได้รับคำสั่ง
จิตสังหารของพวกเขาไหลทะลักออกมา
–
มาร์ลีนกำลังเหลือบมองรูปแบบเสาโค้งที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตตรงหน้าเธอ เธอไม่มีความรู้เกี่ยวกับลวดลายเหล่านี้ หัวของเธอส่ายไปมาเมื่อคำพูดของโรดส์ถูกส่งมาก่อนที่จะจากไป
คนพวกนั้นเริ่มโจมตีคุณแล้ว ผมอยากให้คุณแกล้งทำเป็นว่าคุณไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องกังวลไป ผมมีวิธีหยุดพวกเขา มั่นใจได้มาร์ลีน ผมไม่ปล่อยให้คุณเป็นอะไรไปแน่
โรดส์พ๔ดออกมาเพื่อรับประกันว่าเขาเชื่อใจเธอ 100% แต่การเป็นเหยื่อนั้นก็เปรียบเสมือนกับขยะที่ไม่มีใครสนใจ ดังนั้นเธออดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังพื้นที่รอบๆ
ในขณะนั้น ภายใต้แสงไฟสลัว เงาเคลื่อนที่ไปมา ถ้ามาร์ลีนสังเกตอย่างรอบคอบ เธอจะพบว่ามีบางคนกำลังซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ
เธอถูกแรงกดดันไม่ใช่น้อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอได้ยินวิธีการต่างๆจากโรดส์เกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาใช้จัดการกับเธอ หัวใจของเธอถึงกับเย็นเฉียบ ความตายเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนตกอยู่ในความกลัว มันเลวร้ายกว่าความตายมากเมื่อจินตนาการว่าสิ่งที่พวกเขาจะทำหลังจากจับตัวเธอได้
จริงๆแล้วมาร์ลีนสามารถเร่งเวทย์แสงให้ส่องสว่างไปรอบๆเพื่อที่เธอจะสามารถเห็นศัตรูที่กำลังซ่อนตัวอยู่ได้ แต่ท้ายที่สุด เธอกล้ำกลืนความกลัวและเลือกที่จะเชื่อใจโรดส์
ชายที่ไม่มีเหตุผล!
เมื่อเธอคิดว่าควรเชื่อใจชายหนุ่มคนนั้น มาร์ลีนรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ ทำไมเธอต้องเชื่อเขากัน? ทำไมเธอถึงต้องเต้นอยู่บนฝ่ามือของชายคนนั้น? เพราะว่าเขาโน้มน้าวเธอรึ? หรือเพราะว่าเหตุผลอื่นกันแน่….
แม้แต่เผชิญหน้ากับพ่อของเธอ มาร์ลีนยังไม่เคยเชื่อฟัง ดังนั้นทำไมเธอต้องฟังคำพูดของเขากัน? แต่ทว่า ก่อนหน้านี้คำพูดทุกคำที่เขาพูดล้วนเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถเถียงได้
เพราะว่าการประลองก่อนหน้านี้รึ? ไม่น่าจะใจ
แม้ว่าเขาจะเป็นชายคนแรกที่สามารถบาดแผลให้กับฉัน ฉันก็ไม่ใช้ผู้หญิงอ่อนแอที่จะต้องเชื่อฟังเพราะความกลัว ใช่ไหม?
มาร์ลีนส่ายศีรษะเธออีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ เธอก็ไม่สามารถสลักความคิดเกี่ยวกับชายคนนี้ออกไปจากหัวของเธอได้
จานั้นเธอหันมาพูดกับตัวเอง “หยุดคิดเรื่องเขาได้แล้ว!”
ดังนั้นเพื่อที่จะสลัดความคิดเหล่านี้ออกไป เธอเริ่มที่จะหันไปถอดความความหมายของสัญลักษณ์โบราณบนเสา
ความคิดของผู้หญิงช่างซับซ้อน….
“…อัศวินที่ถูกเลือก…ปกป้องโลก…”
นิ้วเรียวของเธอสัมผัสไปยังลวดลายลึกลับและกำลังตรวจสอบสัญลักษณ์โบราณอย่างระมัดระวัง ก่อนที่เธอจะพึมพำกับตัวเอง
“…ขุมพลัง…มาจาก..พันธะวิญญาณ…ใต้มิติ…”
เสียงของเธอเบาบางลง ขณะที่สีหน้าของเธอเริ่มสนใจมากขึ้น
มาร์ลีนไม่สนใจอันตรายรอบกายเธออย่างสมบูรณ์
–
โอกาส!
ชายชุดดำพยักหน้าอย่างเย็นชา ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ พวกเขาไม่เร่งรีบ พวกเขารู้ดีว่าศัตรูของพวกเขาเป็นจอมเวทย์ และยังเป็นอัจฉริยะจอมเวทย์คนหนึ่ง ดังนั้นถ้าพวกเขาไม่มั่นใจ 100% ที่จะจับตัวเธอ การโจมตีและสูญเสียโอกาสเป็นการกระทำที่โง่เง่า
ในตอนแรก พวกเขาพบว่าเธอค่อนข้างระวังตัว ดงนั้นพวกเขาจึงหยุดการเคลื่อนไหวก่อน แต่พวกเขาอดสงสัยไม่ได้ว่าการระมัดระวังตัวของเธอนั้นเป็นเพราะการมาถึงของพวกเขา กลับกันพวกเขาไม่คิดว่ามันแปลกสำหรับเด็กสาวอย่างเธอที่อยู่ท่ามกลางถ้ำที่มืดสนิท และยิ่งไปกว่านั้นเธอยังอยู่คนเดียว ตอนนี้เธอค่อยๆจมอยู่กับตัวเองและเครื่องหมายแปลกๆบนเสา ในที่สุดพวกเขาก็ได้โอกาสเข้าประชิด
หนึ่งในชายชุดดำยื่นมือออกมาและดึงเสื้อคลุมออก จากนั้นเขาก้มตัวลงต่ำและคลานตรงไปที่เธออย่างช้าๆ
โชคร้ายที่มันไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้
คมดาบสีแดงถูกแทงไปที่ลำคอของเขาอย่างไร้เสียง ดวงตาของชายคนนั้นเบิกกว้างอย่างหวาดกลัวขณะที่เขากำลังสูญเสียสติ เขาจับคอของเขาและพยายามตะโกนของสมาชิกคนอื่น แต่เขาพบว่าเขาทำได้เพียงแค่อ้าปากและตวัดลิ้นไปมาอย่างไม่มีเสียง ในขณะนั้นคมมีดที่เยือกเย็นตัดผ่านร่างของเขา
หลังจากนั้น ความมืดเข้าปกคลุมทั้งโลกของเขา
ร่างกายที่สูญเสียพลังชีวิตล้มลงกับพื้น แต่ก่อนที่ร่างนั้นจะตกพื้น โรดส์คว้าร่างนั้นและวางลงอย่างเบามือ จากนั้นโรดส์เหลือบไปมองรอบๆอย่างรวดเร็วและหายตัวไป
ความมืดทั้งหมดกลืนกินร่างของเขา
–
ผ่านไปสักพักแล้ว ทำไมมันยังไม่จัดการอีก?
ชายที่กำลังซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเสาขมวดคิ้วอย่างสงสัย เขามองไปยังมาร์ลีนที่ไร้การป้องกันและเริ่มรู้สึกรำคาญ ตามแผนของพวกเขานั้น คนหนึ่งทำหน้าที่รับผิดชอบการโจมตี ในขณะที่คนอื่นๆคอยช่วยเหลือเขาถ้าเกิดผิดแผน แต่ตอนนี้ ดูจากเวลาที่ล่วงเลยไป มันควรจะจัดการได้แล้ว?
หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกัน?
บางทีอาจจะเป็นเพราะสัญชาตญาณ ชายคนนั้นจึงเลือกที่จะรออยู่รอบๆ
แต่สิ่งเดียวที่เขาเห็นคือเลือดสีแดงฉาน
“—”
เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากลำคอของเขาและล้มลง เป็นอีกครั้งหนึ่งที่โรดส์พุ่งไปอย่างรวดเร็วและคว้าร่าง ก่อนที่จะวางลงเบาๆบนพื้น ถ้าใครสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของโรดส์ในตอนนี้ คงไม่มีใครคิดแน่ว่าเขาเป็นนักดาบ
คนที่สองถูกจัดการ
เมื่อได้รับการยืนยันว่าเขาได้รับค่าประสบการณ์ เขาเตรียมตัวถอยอีกครั้ง
แต่ทันใดนั้น เสียงตวัดดังมาจากด้านหลังของเขา
โรดส์กิ้งหลบไปด้านข้างโดยสัญชาตญาณ เขารู้สึกเย็นเยือกที่ไหล่ซ้ายของเขา เมื่อเงาสีดำพุ่งผ่านร่างของเขา
อย่างที่คาดไว้เป็นพวกผู้เชี่ยวชาญ
โรดส์กัดฟันแน่นและอดทนต่อความเจ็บปวดที่ไหล่ซ้าย เขาอยากที่จะจัดการทั้งสาม ดังนั้นเขาจึงตรงไปที่ทางเข้า ถ้าทุกทิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น พวกเขาคงได้กลับบ้านไปแล้ว น่าเสียดาย ศัตรูของเขาไม่ให้โอกาสเขา
เมื่อการโจมตีแรกล้มเหลว เงาสีดำไม่ได้โจมตีโรดส์ซ้ำ กลับกันเขาหันหลังกลับและพุ่งตรงไปยังมาร์ลีน
โรดส์ยืนขึ้นและขยี้การ์ดสีเขียวบนฝ่ามือ อัญเชิญวิหควิญญาณพุ่งตรงไปยังชายชุดดำคนสุดท้าย
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา แม้โรดส์จะได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของศัตรู มาร์ลีนเองก็ไม่ได้พบว่ามีอะไรผิดพลาด แต่เมื่อชายชุดดำเลิกซ่อนตัว มันสายเกินไปแล้ว มาร์ลีนหันกลับมาและพบว่ากริชที่แหลมคมกำลังตรงมาที่เธอ ช่องว่างระหว่างกริชและตัวเธอนั้นเหลือไม่ถึงครึ่งเมตร!
เสื้อผ้าของมาร์ลีนนั้นมีเวทย์ป้องกันอยู่ แต่เธอไม่คิดว่าชายคนนี้จะสามารถทำลวงเข้ามาได้อย่างง่ายดายราวกับเขากำลังตัดเนย
อย่างไรก็ตาม วินาทีต่อมา สิ่งเดียวที่มาร์ลีนได้ยินคือเสียงระเบิด
ตูม!!! คลื่นลมถูกสร้างโดยวิหควิญญาณกระแทกไปยังหลังของชายชุดดำ มันเหมือนกับมีกำปั้นที่มองไม่เห็นต่อยใส่ศัตรู ส่งผลให้ร่างของเขาร่วงลงกับพื้น
โรดส์ถอนหายใจ
เมื่อเขาเห็นว่าชายคนนั้นกำลังพุ่งตรงไปที่มาร์ลีน เขารู้อยู่แล้วว่าแผนล่อลวงของเขามาถึงจุดจบ เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้ระวังตัวมาก พลังของเขาสามารถทะลวงผ่านเวทย์ป้องกันของมาร์ลีนได้ เขาเลือกได้ถูกต้องที่จะโจมตีเข้าไปแทนที่จะไปกังวลเรื่องเวทย์ป้องกันของเธอ
และเห็นได้ชัดว่าการตัดสินใจของเขาเองก็ถูกต้อง
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโล่งอก
มาร์ลีนพุ่งตรงไปยังโรดส์และในเวลาเดียวกันนั้น ชายชุดดำลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ แม้ว่าการโจมตีของวิหควิญญาณจะส่งผลอย่างรุนแรง แต่ความเสียหายที่ได้รับก็ไม่ได้ทำให้ถึงตายแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น ชายคนนี้ยังเป็นมือสังหารชั้นสูง การสังหารเขานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
มือซ้ายของโรดส์ที่ขวางกั้นมาร์ลีนไว้ ในขณะที่มือขวาของเขายกดาบขึ้นมา
ในเวลาเดียวกันนั้น ชายชุดดำหยิบมีดและกริชออกมา พร้อมทั้งปลดปล่อยจิตสังหาร