Summoning the Holy Sword - ตอนที่ 73
73 – ภายในซากปรักหักพัง
[บททดสอบสำเร็จ ได้รับสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งผู้พิทักษ์ กู้คืนเกียรติยศที่หายไป]
ระบบแจ้งเตือนสามารถเข้าใจได้ง่าย แต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นตอนนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาด
โรดส์แน่นอนเขารู้ว่าเกียรติยศของเขาคืออะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงสิ่งที่เขาได้รับจากความพยายามของเขา บททดสอบที่เขาต้องเดินผ่านจนถูกขนาดนามว่า นักดาบอัญเชิญที่ทรงพลังที่สุด ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาต้องเข้าร่วม การแข่งขันชิงแชมป์ PVP ที่มีผู้เล่นมากกว่าหนึ่งพันคนที่ต่อสู้กันผ่านการประลอง ทุกๆคนมีเรื่องราวที่ผ่านมา โรดส์ที่ได้รับชัยชนะและได้รับตำแหน่งนักดาบอัญเชิญที่เก่งกาจที่สุดใน Dragon Soul Continent
ตอนนี้ดูเหมือนว่าภารกิจในตอนนี้จะผลักให้เขาเดินไปตามเส้นทางในอดีตของเขาอีกครั้ง
แต่มันแปลกมาก เขารู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในโลกเกมอีกต่อไป ไม่มีผู้เล่น ไม่มีบริษัทเกม ไม่มีระบบการแข่งขัน PVP เหมือนกับเขาถูกส่งมาในยุคของราชวงศ์ถังโดยที่ตัวเขาเป็นแชมป์นักแข่งรถ F1
โรดส์เคยเห็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของผู้พิทักษ์มาก่อน ในเกม คลาสอื่นๆมากมายต่างก็มีสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์คล้ายๆกับที่เขาครอบครอง จอมเวทย์มีวงเวทย์ นักดาบมีสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญ อัศวินมีสัญลักษณ์แห่งความอดทน และนักบวชมีหัวใจศักดิ์สิทธิ์ แม้กระทั่งโจรหรือมือธนูเองก็มีสัญลักษณ์เวทย์ สิ่งเหล่านี้จะได้รับจากบททดสอบเท่านั้น แต่มันไม่ได้เทียบเท่ากับสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งผู้พิทักษ์ ซึ่งมันเป็นเหมือนพันธะวิญญาณมากกว่าสิ่งอื่นใด
เส้นสีเงินและดำพันกันอย่างต่อเนื่อง ก่อตัวเป็นลวดลายที่ซับซ้อนแต่ก็ยังสวยงามบนมือของเขา ลวดลายเหล่านี้เชื่อมต่อเข้ากับวงเวทย์อัญเชิญบนฝ่ามือของเขา เมื่อโรดส์จงใจซ่อน ลวดลายเหล่านี้จะหายเข้าไปใต้ผิวหนังของเขา เพื่อหลีกเลี่ยงการมองเห็น
[สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งผู้พิทักษ์(หัวใจแห่งเกียรติยศ)
หัวใจแห่งเกียรติยศ: การใช้พลังงานของวิญญาณอัญเชิญจะลดลง 1 ใน 3 และระยะเวลาการอัญเชิญจะเพิ่มขึ้น 1 ใน 3]
เรียบร้อย!
ในที่สุดโรดส์ถอนหายใจออกมา เขาทิ้งตัวลงกับพื้นและรับดาบศักดิ์สิทธิ์ที่กลับมาในรูปแบบการ์ด ตอนนี้โรดส์เหนื่อยอย่างมาก ใบหน้าของเขาซีดเซียวจากการขาดเลือดอย่างเห็นได้ชัด เลือดที่อาบชุ่มมือของเขาเริ่มตกสะเก็ดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว น้ำตาโลหิตเป็นอาวุธที่ไม่ธรรมดา ตราบเท่าที่มันได้รับเลือด มันจะแสดงพลังอำนาจของมันออกมา
แต่มันจะดีกว่านี้ ถ้าไม่ใช้เลือดของเขา
“คุณโรดส์!”
เมื่อการทดสอบจบลง บาเรียที่กีดขวางมาร์ลีนได้สลายหายไป ระหว่างการต่อสู้ ทั้งหมดที่เธอทำได้คือการมองดูโรดส์ต่อสู้ด้วยสีหน้ากังวล ตอนนี้เมื่อบาเรียถูกทำลาย เธอรีบวิ่งตรงไปที่โรดส์อย่างรวดเร็ว
“คุณได้รับบาดเจ็บ?!” มาร์ลีนถามออกมาอย่างกังวล เมื่อเธอเห็นบาดแผลที่มือของโรดส์ซึ่งอาบชุ่มไปด้วยเลือดสดๆ
โรดส์โบกมือไปมาอย่างไร้กังวลและพูดว่า “บาดแผลเล็กน้อยน่า”
เขาพยายามลุกขึ้น แต่หลังจากที่สูญเสียเลือดไปมาก มาร์ลีนขมวดคิ้วและพูดขึ้นอย่างนุ่มนวล “คุณควรพัก รอบๆไม่มีศัตรูแล้ว หลังจากที่คุณฟื้นตัว พวกเราค่อยจัดการต่อ”
เมื่อเห็นการยืนกรานของเธอ เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา อาการเสียเลือดและการใช้พลังวิญญาณเกินขีดจำกัดทำให้เขาไม่มีเรี่ยวแรง มันไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่จะฝืนตัวเอง ดังนั้นด้วยความช่วยเหลือของมาร์ลีน เขาเอนตัวลงใกล้ๆเสาเพื่อฟื้นตัว
ขณะที่โรดส์กำลังฟื้นตัว มาร์ลีนไม่อยู่เฉย เธอเดินไปเก็บผลึกโปร่งแสงหลายอัรและวางมันข้างๆโรดส์ ก่อนที่จะร่ายเวทย์เงียบๆ ไม่นานม่านโปร่งแสงสีรุ้งปรากฎขึ้นและปกคลุมร่างของพวกเขาทั้งสอง
“นี่เป็นเวทย์ป้องกันระดับกลาง” มาร์ลีนอธิบายพร้อมส่ายศีรษะเล็กน้อย เพื่อหลบเลี่ยงสายตาของโรดส์ที่จ้องมองมายังเธอ “มันช่วยฟื้นฟูบาดแผลและความเหนื่อยล้าอย่างมาก ฉั-ฉัน..คิดว่าคุณควรพักผ่อนหลังจากที่ต่อสู้มาอย่างหนักน่ะ นี่เป็นมรดกตกทอดของตระกูลเซเนีย มันไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถทำลายได้…”
เสียงของมาร์ลีนสั่นเล็กน้อยขณะพูด เป็นเวลาสองวันที่พวกเขาใช้เวลาเดินทางมาถึงก้อนหินแห่งความโศกเศร้า โรดส์คอยระมัดระวังตัวเสมอ เมื่อมีบางสิ่งเคลื่อนไหว เขาจึงตอบสนองได้อย่างทันท่วงที โดยแต่ละครั้ง เขาออกคำสั่งให้เธอตรวจสอบกลุ่มผู้ชายที่ติดตามพวกเขามา
บอกตรงๆ เธอเหน็ดเหนื่อยอย่างมากทำให้ต้องนอนลงกับพื้นแข็งๆที่หนาวเหน็บ ก้อนหินขรุขระและกลิ่นของพุ่มไม้ทำให้เธอคิดถึงเตียงนอนนุ่มๆที่เมืองโกลเด้น เธออยากคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องโกหก อย่างไรก็ตาม เธอรู้ดีว่าประสบการณ์ที่เธอได้รับนั้นเป็นสิ่งไร้ค่าไปเลยเมื่อเทียบกับกับโรดส์
จากที่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนของโรดส์ ถ้าเกิดมีปัญหาขึ้น เขาจะรีบแก้ไขมัน แต่หลังจากที่เดินทางมากับเขา มาร์ลีนเข้าใจแล้วว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากเท่าใดในการรับประกันความสำเร็จของเขา
อาจจะบอกได้ว่าเธอนั้นเหมือนโรดส์เป็นอย่างมาก ตั้งแต่เด็ก เธอถูกเรียกด้วยชื่อที่สูงส่งมาตลอด เช่น ‘ความภาคภูมิใจของตระกูลเซเนีย’ หรือ ‘จอมเวทย์อัจฉริยะ’ ‘นางฟ้าจอมเวทย์’ จากบุคคลภายนอก เธอเป็นอัจฉริยะที่สามารถจดจำเวทมนตร์ได้มากมายและความเข้าใจในด้านพลังวิญญาณนั้นเหนือล้ำกว่าคนทั่วไปมาก แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าตัวเธอนั้นใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการประสบความสำเร็จ เมื่อเด็กคนอื่นๆกำลังวิ่งเล่นอยู่ด้านนอก เธอได้แต่นั่งอยู่ในห้องพร้อมด้วยกองหนังสือโบราณล้อมรอบตัวเธอ ขณะที่เหล่าเด็กผู้หญิงมัวแต่สนใจงานเลี้ยง เธอต้องอยู่คนเดียวอย่างเดียวดายในห้องใต้ดิน เพื่อฝึกฝนเวทย์ของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้แต่เวลานอนของเด็กคนอื่นๆ เธอก็ได้แต่ฝึกมารยาททางสังคมหน้ากระจก ท้ายที่สุดชะตากรรมของเธอ ในขณะที่เหล่าขุนนางที่อยู่ในเมืองบ้านเกิดของเธอกำลังฝึกขี่ม้า สำหรับตัวเธอแล้ว เธอต้องเผชิญหน้ากับอันตรายมากมายในป่าแห่งนี้กับโรดส์
ผู้คนมากมายอิจฉาเธอ โดยทั่วไปแล้วเธอรู้สึกภูมิใจในพรสวรรค์และความสามารถของเธอเพราะว่าเธอเต็มใจฝึกฝนอย่างหนัก
อีกด้านหนึ่ง มาร์ลีนไม่อนุญาตให้ใครมาดูถูกเธอ ในความคิดของเธอ ถ้าเรื่องการฝึกฝนอย่างหนักของเธอหลุดออกไป คนเหล่านั้นจะเอาแต่นินทาเธอจึงเป็นเรื่องง่ายที่เธอจะถูกนินทา
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่มาร์ลีนเข้าใจโรดส์ แม้เมื่อเขาจะตำหนิเธอ เธอก็จะยอมรับความเห็นของเขาและนิ่งเงียบ เพราะเธอรู้ดีว่าชายที่อยู่ตรงหน้าของเธอนั้นฉลาดกว่า พรสวรรค์ที่เหนือกว่าและยังพยายามมากกว่าเธอ เนื่องจากเธอไม่เคยให้ใครมาดูถูกความพยายามของเธอ โดยที่เธอเองก็ไม่ละเลยความพยายามของคนอื่น
แน่นอนไม่ว่าโรดส์จะรู้หรือไม่ว่ามาร์ลีนคิดอะไร เมื่อมองย้อนกลับไป เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่ม ไร้เดียงสา เขาพยายามนึกถึงแฟนเก่าของเขา เมื่อเธอบอกเลิกเขา เขารู้สึกสับสนมาก เมื่อเขาจินตนาการออกไป เธอไม่สนใจฉันแล้วหรอ? เธอไปหาผู้ชายคนใหม่รึ? พวกเขาไม่เหมาะกันสินะ?
แต่เขากลับพบความจริงที่ว่า เหตุผลที่เธอบอกเลิกเขาคือ เขามีเสน่ห์มากเกินไป ทำให้เธอรู้สึกกดดันอย่างมาก และค่านิยมของผู้หญิงในสมัยนี้ การมีแฟนที่หน้าตาสวยกว่าพวกเธอเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
จากจุดนี้ โรดส์จึงไม่สนใจเรื่องพวกนี้อีกต่อไป เนื่องจากมาร์ลีนรับประกันความปลอดภัยของพวกเขา เขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกไปและหลับตาลงเริ่มฟื้นฟูความเหนื่อยล้า ยิ่งไปกว่านั้นตามความรู้ที่เขามี บาเรียนี้แข็งแกร่งอย่างมาก
แม้ว่าเสานี้จะแข็งและเย็น เขาก็ไม่สนใจแล้ว
“คุณโรดส์” เสียงกระซิบเบาๆดังขึ้น
โรดส์ลืมตาขึ้นและหันไปทางมาร์ลีน เขาเห็นเธอกำลังวางผ้าคลุมลงบนพื้น จากนั้นเขาสังเกตเห็นว่าเธอกำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาลังเล
ร่างของมาร์ลีนแข็งค้างเมื่อเธอรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา
ไม่มี—อะไร…ไม่มีอะไรไปมากกว่าการตอบแทนน้ำใจให้เขา
เขาได้รับบาดเจ็บเพราะฉัน ในฐานะสมาชิกของตระกูลเซเนีย ฉันต้องตอบแทน
อืมม ใช่ ใช่! ใช่แล้ว มันต้องเป็นแบบนั้น!
“…ถ้าคุณไม่ว่าอะไร…คุณมานอนตรงนี้ก็ได้…”
มาร์ลีนปูผ้าไว้บนตักของเธอ ใบหน้าของเธอแดกกล่ำราวกับเลือดกำลังสูบฉีดขึ้นไป
“ฉันคิดว่าคุณควรได้พักผ่อนแบบสบายๆ มันดีต่อสุขภาพกว่าการไปนอนพิงเสาเย็นๆนั่น แล…และมือของคุณก็ยังเจ็บ แม้ว่าฉันจะไม่ได้ช่วยคุณในการต่อสู้ อย่างน้อยฉันก็ช่วยดูแลคุณได้ เวทย์รักษาของฉันอาจจะไม่ดีเท่าของไลซ์ แต่ฉันเป็นจอมเวทวย์ ฉันพอรู้จักเวทย์พื้นฐานบางบท…”
“ได้งั้นหรอ?” โรดส์พยักหน้าและตอบกลับไป
เมื่อมาร์ลีนเห็นเขาพยักหน้า เธอมองมาที่เขาด้วยใบหน้าที่มั่นใจและเต็มใจช่วยเขาทุกอย่าง
“แน่นอน! ไม่-ไม่มีปัญหา! เรื่องแค่นี้เอง สบายมาก!”
“ได้สิ”
เขาไม่รอให้มาร์ลีนเอ่ยอะไรออกมา เขาวางหัวลงบนตักของเธอและหลับตาลง เนื่องด้วยการเคลื่อนไหวที่กะทันหันของโรดส์ ร่างของมาร์ลีนแข็งทื่อ เมื่อเธอรู้สึกตัว เขาก็หลับลึกไปแล้ว
“…ไร้มารยาท!” มาร์ลีนเหลือบตาไปมองเด็กหนุ่มที่กำลังหลับอยู่บนตักของเธอ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอส่ายศีรษะและถอนหายใจ หลังจากนั้นเธอจับมือของโรดส์มาบางบนมือของเธอ
โดยใช้มือที่ว่างอยู่ เธอเริ่มร่ายเวทย์ทำให้เกิดแสงสว่างอ่อนๆ เมื่อเธอเห็นบาดแผลของเขาชัดๆภายใต้แสง เธอประหลาดใจอีกครั้ง นิ้วโป้งและนื้วมืออื่นๆของเขาแตกทั้งหมด เลือดไหลลงมาที่แขนของเขาและหยดลงพื้น
“บาดแผลร้ายแรงมาก….”
เธอรู้ดีว่าบาดแผลของโรดส์ไม่ใช่บาดแผลทั่วไป แต่ตอนนี้เธอพยายามดูแลใกล้ๆ แต่กลับทำได้อย่างสั่นๆ เพื่อที่จะดูแลเขา เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าของเธอออกมาช้าๆและเช็ดเลือดอย่างแผ่วเบา
สำหรับจอมเวทย์ มาร์ลีนได้เรียนรู้ทักษะพื้นฐานในการรักษา แต่เธอไม่เคยใช้มันมาก่อน เพราะเธอยากที่จะได้รับบาดเจ็บ และถึงแม้ว่าคนอื่นจะได้รับบาดเจ็บ บาดแผลของพวกเขาก็ไม่ถึงตาย…อย่างน้อยกรณีนี้ก็ใกล้เคียงที่สุด
อย่างไรก็ตามตอนนี้ เธอกำลังพันผ้าพันแผลอย่างเก้ๆกังๆ จึงได้แต่ตำหนิตัวเอง ถ้าเธอได้เรียนรู้วิธีการพันแผลมาจากไลซ์บ้างละก็….
เมื่อมองไปที่นิ้วมือของโรดส์ตอนนี้ มันมีลักษณะเหมือนกับแครอท
โอ้ยย..ถ้าไลซ์อยู่ที่นี่นะ….
ร่างของมาร์ลีนแข็งทื่อทันที
มาร์ลีนไม่รู้ว่าทำไม แต่เมื่อเธอนึกถึงร่างของไลซ์ ในใจของเธอกลับรู้สึกไม่สบายใจ ทำไมเธอถึงรู้สึกแบบนี้กัน? ไลซ์เป็นเพื่อนรักของเธอและเธอยังเป็นนักบวช ถ้าเธออยู่ที่นี่ เธอคงดูแลบาดแผลของโรดส์ได้ดีกว่านี้ มาร์ลีนไม่รู้ว่าทำไม แต่เมื่อเธอจินตนาการไลซ์กำลังดูแลบาดแผลของโรดส์ เธอกลับรู้สึกไม่ดีใจ
นี่เป็นเพราะฉันเหนื่อยมากหรอเนี่ย?
เธอขมวดคิ้วและพูดกับตัวเอง ท้ายที่สุดเธอก็ไม่พบคำตอบ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจให้ความสำคัญกับการพันแผลให้กับโรดส์
ภายในซากปรักหักพัง มีเพียงแสงเวทมนตร์เท่านั้นที่สว่างไสวท่ามกลางความมืด