Summoning the Holy Sword - ตอนที่ 94
94 – ความมุ่นมั่นของแอน จอร์เจีย
ดาเรี่ยนลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
ท้องฟ้าสีดำและหมอกสีขาวปกคลุมอยู่รอบตัวเขา อัศวินแห่งความตายตรวจสอบพื้นที่รอบๆอย่างเงียบๆ ขณะที่เขากำลังลูบแผงคอของม้าของเขา ไนท์แมร์ ซึ่งมันสัมผัสและตอบโต้กลับมาอย่างอ่อนโยน
อาจจะบอกได้ว่าโลกของอันเดดนั้นไร้สีสัน เมื่อพวกมันเลือกที่จะสละร่างเนื้อและเข้าสู่โลกอันเป็นนิรันดร์ พวกมันจะไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามได้อีกต่อไป ไม่ว่าสีสันเหล่านั้นจะงดงามตระการตาเพียงใด มันก็เหลือเพียงสีดำและขาวในดวงตาของอันเดดเท่านั้น นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่เหล่าอันเดดกระหายเลือดและบ้าคลั่งอยู่ตลอดเวลา ในดวงตาของพวกมัน ไม่มีสิ่งใดมีค่าให้พวกมันจดจำอีกต่อไป มีเพียงความตายและกสนทำลายเท่านั้นที่สามารถทำให้พวกมันรู้สึกสูงส่ง
ดาเรี่ยนครั้งหนึ่งเคยเป็นอัศวินที่ขึ้นตรงต่อกองทัพชายแดนของประเทศแห่งความมืด เขาฝ่าฝืนกฎของกองทัพและถูกบังคับให้ออกไปจากประเทศ ก่อนที่จะมาตั้งรกรากอยู่ที่หุบเขาร้างแห่งนี้
เป็นเวลา 200 ปีที่เขาอาศัยอยู่รอบๆหุบเขาแห่งนี้ สำหรับมนุษย์ส่วนใหญ่ นี่ถือว่าเป็นระยะเวลาที่นานมาก แต่ดาเรี่ยนรู้ดีว่าสำหรับอันเดดที่มีความเป็น ‘อมตะ’ 2 ศตวรรษเป็นช่วงเวลาเพียงพริบตา
มันยังคงเร็วเกินไปที่เขาจะกลับไปยังประเทศแห่งความมืด ถ้าเขากลับไปตอนนี้ เขาอาจจะถูกฆ่าได้
ข้าต้องอยู่ในสถานที่แห่งนี้อีกงั้นรึ?
ในตอนแรก ดาเรี่ยนถามคำถามนี้กับตัวเองหลายครั้ง แต่หลังจากนั้น เขาพบว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้อีกต่อไป ตั้งแต่การกลายมาเป็นอันเดด ความปรารถนาของมนุษย์ได้ค่อยๆเลือนหายไปอย่างช้าๆ เหมือนกับเลือดเนื้อของเขา ทั้งความคิดเกี่ยวกับเวลาและความโดดเดี่ยวค่อยๆหายไปอย่างสมบูรณ์ จากจุดนี้ อันเดดจะเป็นเพียงหุ่นเชิดที่มีจิตสำนึกเท่านั้น
ดาเรี่ยนนั้นเป็นข้อยกเว้น เขายังคงมีอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาฝ่าฝืนคำสั่งจากเบื้องสูง
ดาเรี่ยนสั่นไหวเล็กน้อย
เขาสามารถรับรู้ได้ถึงออร่าของลูกน้องของเขา เหล่าโครงกระดูกยักษ์ ที่มีจำนวนน้อยลง มันเป็นสถานการณ์ผิดปกติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตั้งแต่เขาก้าวเท้าเข้ามาที่สันเขาแห่งความเงียบ โครงกระดูกยักษ์เหล่านี้ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศแห่งความมืด กลับกันดาเรี่ยนได้ฝึก ‘ต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์’ ของอันเดดกลุ่มนี้หลังจากที่เขามาที่นี่ แม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกมันจะไม่ถึง 1 ใน 10 ของทหารโครงกระดูกในประเทศแห่งความมืด แต่เขามั่นใจว่าไม่ว่าใครก็ไม่กล้าต่อสู้กับเขาในสถานที่เปลี่ยนแห่งนี้
แต่ตอนนี้ มีบางสิ่งเปลี่ยนไป
พลังงานเวทมนตร์ที่คละคลุ้งกระจายไปทั่วในอากาศ
ดาเรี่ยนหันไปรอบๆและมองเห็นสายฟ้าฟาดที่ลงมาจากท้องฟ้า
บางคนกำลังโจมตีอยู่!!
ดาเรี่ยนหันไปมองอย่างระมัดระวังทันที เขาหยิบหอกและโล่ขนาดใหญ่ออกมาถือ ก่อนที่จะปิดหมวกเกราะลงบนใบหน้า หลังจากนั้น เขาไต่ขึ้นไปบนบังเหียนที่อยู่บนหลังของไนท์แมร์และมุ่งหน้าเข้าสู่สนามรบ
สำหรับอันเดดระดับสูงที่มีจิตสำนึก เขาสามารถสัมผัสได้อย่างง่ายดายถึงกระแสเวทมนตร์ที่ปั่นป่วนในอากาศ ราวกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกราดในมหาสมุทธ มันบีบคั้นหัวใจที่ตายด้านของเขา
ห๊ะ จอมเวทย์? จอมเวทย์วงเวทย์ระดับกลาง? คนพวกนี้ถูกส่งมาจากประเทศแห่งความมืดเพื่อสังหารข้าอย่างนั้นรึ?
เสียงระฆังดังขึ้นในหัวของเขา แต่มันหายไปในทันที เขาเป็นเพียงพลทหารต่ำต้อนในกองทัพซึ่งไม่ได้รู้ความลับทางการทหารอะไรเลย ประเทศแห่งความมืดไม่น่าส่งนักฆ่ามาสังหารคนอย่างเขาหรอก
แม้ว่าทางนั้นจะมีอันเดดจอมเวทย์ แต่คนพวกนั้นไม่ได้มีพลังในลักษณะนี้….
มันเป็นออร่าของสิ่งมีชีวิต….
เป็นพวกนักผจญภัยสินะ?
ดาเรี่ยนรู้สึกกังวลบางอย่าง แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกกระหายขึ้นมา สำหรับอันเดด เขาจะพึงพอใจจากการสังหารสิ่งมีชีวิต การมองดูพลังชีวิตของคนพวกนั้นค่อยๆสลายไปนำมาซึ่งความสุขและความรื่นรมณ์ของเขาเปรียบเทียบได้กับการที่สิ่งมีชีวิตให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตตัวน้อยขึ้นมา
ดาเรี่ยนเองก็ไม่มีข้อยกเว้น
ไนท์แมร์เริ่มควบตรงไปยังทิศทางที่กำลังวุ่นวายอยู่
มันกำลังมาแล้ว!!
แอนยืนขึ้นกลางหุบเขาด้วยใบหน้าที่มุ่นมั่น ดวงตาของเด็กสาวร่างเล็กจ้องมอองไปยังมอนสเตอร์ที่อยู่ในความมืด สำหรับบางคนที่อาจจะยิ้มได้เมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย ซึ่งครั้งนี้แอนเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง
มันไม่ใช่เพราะเธอกลัว แต่เป็นเพราะออร่าแห่งความตายที่นำมาซึ่งความไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวของสิ่งมีชีวิต
เธอรู้ดีว่าเธอไม่สามารถหลบหนีได้อีกแล้ว
ด้วยโล่ในมือของเธอ เธอยืนขึ้นและตั้งท่าอย่างแน่วแน่
มาร์ลีนได้เดาเอาไว้ว่า แอนไม่ใช่คนที่ไม่สนใจในความสัมพันธ์ แต่วิธีที่เธอเลือกปฏิบัติกับเพื่อนและศัตรูนั้นอ้างอิงมาจากสัญชาตญาณของเธอ กลุ่มทหารรับจ้างของเธอทำให้เธอไม่มีความสุขมากๆ และสิ่งที่คนอื่นๆไม่ได้คิดคือ แอนไม่คิดจะเปลี่ยนใจ เธอเพียงต้องการสถานที่ที่จะทำให้เธอรู้สึกมีความสุข เมื่อหัวหน้าคนเก่าของเธออยู่ที่นั่น ทุกคนในมาร์คไวท์ดูเหมือนจะชอบเธอ พวกเขาสามารถทนต่อพฤติกรรมและปัญหาที่เธอสร้างได้ ดังนั้นแอนจึงยินดีทำงานหนักเพื่อรักษาชีวิตที่สงบสุขของเธอไว้ในทุกๆสนามรบ เธอจะนำตัวเองลงไป 100% และยืนอย่างกล้าหาญที่แนวหน้า ด้วยวิธีนี้ทำให้เธอได้รับคำสรรเสริญมากมายเมื่อจบภารกิจ และสำหรับแอน มันมากเกินพอแล้ว
แต่หลังจากการจากไปของหัวหน้าคนเก่า ทั้งกลุ่มทหารรับจ้างดูเปลี่ยนไป ความสุขในแต่ละวันเริ่มค่อยๆหายไป ราวกับผู้คนที่เคยยิ้มให้เธอนั้นได้จากไปหมดแล้ว เหล่าทหารรับจ้างเก่าๆก็เริ่มบอกว่าเธอไม่ได้เติมเต็มความหวังของหัวหน้าคนเก่า
แต่แอนไม่เข้าใจ! หัวหน้าคนเก่าจากไปอย่างสงบ แล้วความหวังมันจะไม่ถูกเติมเต็มได้อย่างไร?
จริงๆแล้วคนพวกนี้ต้องการอะไรกันแน่? แอนไม่รู้จริงๆ
สิ่งที่เธอรู้มีเพียงบ้านที่เคยสงบสุขและอบอุ่นก่อนหน้านี้ ตอนนี้ได้เปลี่ยนกลายเป็นสถานที่ที่หนาวเหน็บซึ่งเธอไม่ชอบไปเสียแล้ว
เธอเองก็คิดไม่ออกว่าหัวหน้าคนเก่าอยากให้เธอทำอะไร ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจออก และท้ายที่สุด เธอมาถึงกลุ่มทหารรับจ้างสตาร์ไลท์ของโรดส์
สตาร์ไลท์มีบรรยากาศที่เหมือนกันกลุ่มทหารรับจ้างมาร์คไวท์เก่าของเธอ ขณะเดียวกันใบหน้าของโรดส์ก็สงบนิ่งอยู่ตลอด แต่วิธีที่เขาพูดทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น มันเหมือนกับมาร์คไวท์ที่มีหัวหน้าคนเก่ามาคอยตำหนิเธออยู่ตลอด แต่เธอรู้ว่าเขาไม่ได้เกลียดเธอแต่อย่างใด
การอยู่กับมาร์ลีนและไลซ์ทำให้เธอสบายใจ พี่สาวทั้งสองแก่กว่าเธอ แต่พวกเธอไม่ได้มีออร่า ‘จอมปลอม’ ที่เธอเคยรู้สึกจากเหล่าทหารรับจ้างหญิงทั่วไปในมาร์คไวท์ มันเป็นสิ่งที่แอนไม่สามารถเข้าใจได้
ทั้งหมดนี้ เธอดีใจที่ทุกคนเป็นตัวของตัวเองและไม่แบ่งแยกเธอออกไป ไม่มีใครพยายามกีดกันเธอ และไม่มีสิ่งใดซับซ้อน ทุกสิ่งเป็นปกติตราบเท่าที่เธอทำหน้าที่ของเธอได้ดี แอนชอบชีวิตแบบนี้มาก
ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องปกติที่เธอไม่อยากสูญเสียมันไปอีกครั้ง
เมื่อโรดส์เรียกเธอออกไปและขอร้องให้เธอรับภาระอันหนักหน่วงนี้ เธอไม่ลังเลที่จะยอมรับในทันที
ไม่ว่าเธอจะต้องการรักษาชีวิตสงบสุขในปัจจุบันไว้หรือไม่ แต่เธอยังอยากปกป้องชีวิตของทุกคน และแอนมั่นใจว่าเธอสามารถทำได้
แม้ว่าหลังจากที่เข้าฟังแผนของโรดส์ เธอยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่ามอนสเตอร์ระดับผู้สั่งการ(ผู้บัญชาการ) หรือไม่ใช่ผู้สั่งการ แต่เมื่อเธอได้ยินเสียงพื้นดินสั่นสะเทือนและควบม้าที่กำลังเข้ามา แอนรู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นศัตรูที่อันตรายมากคนหนึ่ง
แต่เธอไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด เธอเพียงรู้สึกว่าเลือดในร่างกายของเธอนั้นกำลังสูบฉีดเร็วขึ้นราวกับภูเขาไฟที่กำลังปะทุ
เธอยกโล่ขึ้นและกำมือแน่นด้วยมือซ้าย จากนั้นเธอทุบไปที่โล่ของเธอหลายครั้ง
ตูม!…ตูม!..ตูม!…
เสียงกลองศึก?
ดาเรี่ยนตกใจอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเขาได้ยินเสียงนี้ แต่ในเวลาเดียวกัน เขามองเห็นดวงไฟชีวิตที่อยู่ตรงหน้าเขา
เจ้าต้องการท้าทายข้าสินะ? น่าสนใจ!!
อัศวินแห่งความตายอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะออกมา เขาชี้หอกไปด้านหน้าและตะโกน
ไนท์แมร์รับรู้ได้ถึงคำสั่งของเจ้านายและเร่งความเร็วขึ้นทันที ในชั่วเสี้ยววินาที กีบเท้าที่ไฟลุกโชนของมันหายไปจากพื้น ทั้งผู้ขี่และม้าหายตัวไปในทันที!
ดาเรี่ยนเอนกายและเล็งหอกไปที่ดวงไฟชีวิตซึ่งอยู่ในสถานที่เดียวกัน ในจุดนี้ เขาอดจินตนาการไม่ได้ว่าศัตรูจะมาสภาพเป็นอย่างไรหลังจากถูกหอกเสียบทะลุร่าง…สีหน้าที่สิ้นหวังและทุกข์ทรมานคงสะใจน่าดู….
แอนสังเกตเห็นว่าศัตรูเร่งความเร็วและตอบโต้โดยการยืดโล่ออก หนามเหล็กยาวยื่นออกมาด้านหน้าโล่ของเธอ ในครั้งนี้เธอไม่ได้ฝังโล่ของเธอลงไปที่พื้นเหมือนกับครั้งก่อน แต่เธอกลับพุ่งออกไปเพื่อโจมตี!!!!
ดาเรี่ยนเห็นสิ่งที่เธอทำ และเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น หอกของเขาเล็งไปที่โล่ของแอน ซึ่งกำลังพุ่งมาด้านหน้า
มา!!!