ซิ่งทะลุมิติ - ตอนที่ 10
SD:บทที่ 10 : การขับรถนั้นมั่นคงยืนยาว
เกิดประกายความชอบพอของ เซี่ย หรงหรง ในตัวเขาทำให้ ซู ฉิวไป่ถึงกับตะลึงงัน
สายตาที่จ้องมองมาของชายตรงหน้าทำให้ เซี่ย หรงหรง หน้าแดงเล็กน้อย เธออดไม่ได้ที่จะแกล้งทำเป็นไอเบา ๆ ซู ฉิวไป่จึงรู้ตัว แล้วหยุดจ้องเธอฉับพลัน แล้วหันมายิ้มกว้างราวกับคนเขลา ส่วน หลี่มู่ห่าวที่ยังคงยืนอยู่ข้างเขานั้น เห็นได้ว่าอารมณ์ขุ่นเคืองอย่างที่สุดจากพฤติกรรมของ ซู ชิวไป่
“ไหน ๆ คุณก็จ่ายค่าเสียหายของรถแล้ว ถ้างั้น เดี๋ยวผมให้โสมป่าที่เหลือพวกนี้กับคุณเลยแล้วกัน”
ซู ฉิวไป่ม้วนโสมที่เหลือในกระดาษคราฟท์ที่วางอยู่ข้างเตียงของโรงพยาบาล จากนั้นวางมันในมือของ เซี่ย หรงหรง
หลี่มู่ห่าวและพ่อของเขาแทบจะเป็นลมเมื่อได้ยินคำพูดของ ซู ฉิวไป่ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้อยากให้จ่ายค่ารถ แค่จ่ายให้ด้วยโสมป่าของแกบางส่วนก็พอ
แต่แกกลับปฏิเสธ แล้วไปให้โสมป่าทั้งหมดกับเธอแทน เพียงเพราะเธอบอกจะจ่ายหนี้ทั้งหมดให้กับแก
เรียกได้ว่าหลงจนโงหัวไม่ขึ้น!
เซี่ย หรงหรง เองก็ตกในภาวะงงงวยไม่แพ้กัน ทันใดนั้น ความสับสนกลับแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกซาบซึ้งใจ ความรู้สึกที่เคยหายไปเสียนาน แต่มันหวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อเธอจ้องมองไปในดวงตาที่กระจ่างใสของ ซู ชิวไป่
เขาอยากจะช่วยฉันจริง ๆ ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ แอบแฝงอยู่เบื้องหลังเลย
เซี่ย หรงหรง พลันรู้สึกได้ว่าหัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้น และเมื่อเธอรู้ถึงความจริงดังกล่าว ก็พบว่าหน้าของเธอเองก็เริ่มแดงเช่นกัน
หลี่มู่ห่าวพลันจะเป็นลมเมื่อเห็นสีหน้าของเธอ ณ ขณะนั้น
โดยที่ยังไม่ได้เอ่ยคำร่ำลา เขารีบออกจากห้องนั้นโดยเร็ว เขาถือโสมป่าอายุนานนับศตวรรษของเขาเองในกำมือ แม้จะเคยมองว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ ณ ตอนนี้ เขากลับโกรธจนแทบจะโยนมันทิ้งเสียซะตรงนั้น ราวกับว่ามันกลายเป็นขยะไร้ค่าเสียแล้ว แต่สุดท้าย เขากลับลังเลที่จะทำตามที่คิดไว้
หลี เซี่ยงหยุน รีบตามเขาออกมาโดยเร็ว เหลือเพียงแต่ หลี ติงเทียน ที่ยังคงลังเลที่จะออกจากห้องนั้น สุดท้าย เขาจึงยื่นนามบัตรของเขาให้ ซู ฉิวไป่ก่อนจะตามออกมาเช่นกัน
นอกจาก ซู ฉิวไป่ก็มีเพียงผู้อาวุโสเหลียงและสมาชิกครอบครัวตระกูลเซี่ยที่ยังคงอยู่ในห้อง
คุณปู่เซี่ยนั้นมีความสุขมากที่หลานสาวจะได้รับการรักษาให้หายขาดจากโรคของเธอ ทว่า ผู้อาวุโสเหลียงยังคงกระวนกระวายอยู่ หัวใจของชายชราทำได้แค่กรีดร้องอยู่ข้างใน เมื่อเห็น ซู ฉิวไป่ยื่นโสมทั้งหมดให้กับ เซี่ย หรงหรง อย่างไม่รีรอ หัวใจของชายเฒ่าแทบจะหยุดเต้นเสีย ณ ตอนนั้น
หลังจากลังเลอยู่อีกชั่วครู่ เขาไม่อาจยั้งใจได้อีกต่อไป ชายชราก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าสองก้าว แล้วเอ่ยขึ้น “หรงหรง ข้ารู้ว่านี่อาจทำให้เจ้าลำบากใจ แต่เจ้าจะช่วยขอ ซู ฉิวไป่ให้เมตตาซักหน่อยได้หรือไม่ ข้ามีเพื่อนเก่าเพื่อนแก่คนหนึ่งที่ป่วยหนักมาโดยตลอด หากมีโสมนี้ ก็คงจะช่วยรักษาอาการของเขาได้บ้าง เจ้าคงจะเข้าใจ…”
ผู้อาวุโสเหลียงเอ่ยด้วยความระมัดระวัง เขากลัวเหลือเกินว่าคนขับรถแท็กซี่ที่ยังอยู่ข้างเขาจะไม่พอใจ แล้วจะปฏิเสธเสีย หลังจากการสังเกตชายตรงหน้ามานานสองนาน ผู้อาวุโสจึงเข้าใจว่าชายคนนี้เป็นคนเยี่ยงไร
ชายคนนี้เป็นคนใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายอย่างเห็นได้ชัด เขายอมที่จะยกมรดกที่สืบทอดมาเพียงเพื่อจะให้ผู้หญิงคนนี้มีความสุข คงจะจริงด้วยซ้ำที่เขาคงจะยอมมอบโสมทั้งหมดให้ด้วยความยินดีหากเธอเอ่ยขอ
ผู้อาวุโสเหลียงทำได้แค่บ่นพึมพำ น่าเสียดายที่โสมล้ำค่ากลับมาตกเป็นของคนโง่เขลาเช่นนี้ แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ตรงหน้า ตัวชายชราเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกมากนัก
“เพื่อนเก่าที่เจ้าพูดถึง…คือชายคนนั้นหรอกหรือ” คุณปู่เซี่ยพลันนึกได้ถึงใครบางคน จึงเอ่ยถามผู้อาวุโสในน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพนับถือ
“ใช่ คือชายแก่คนนั้นนั่นแหละ” ผู้อาวุโสเหลียงเพียงแค่พยักหน้า แล้วจึงเอ่ยตอบรับ
“หรงหรง เจ้าต้องช่วยเขานะ โปรดดูด้วยว่าเจ้าจะขอนายซูได้หรือไม่…” ปู่เซี่ยพลันเร่งเร้าหลานสาวหลังจากได้ยินสิ่งที่ชายเฒ่าอีกคนพูด
เซี่ย หรงหรง เข้าใจในเจตนาของชายชราทั้งสองในทันที ด้วยความที่เธอเองก็เป็นหนึ่งในหางเสือที่คอยควบคุมจัดการกิจการทุกอย่างของตระกูลเซี่ย จึงไม่แปลกที่เธอจะฉลาดกว่าคนอื่น ๆ ในระดับหนึ่ง
แต่โสมพวกนี้เป็นของ ซู ฉิวไป่เขาคงไม่ได้พูดจริงเรื่องจะยกทั้งหมดให้ฉันหรอก
ด้วยความคิดนั้น เซี่ย หรงหรง หันไปหา ซู ฉิวไป่พลางพิจารณาหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดที่จะถามเขาอย่างถึ่ถ้วน แต่สุดท้าย ซู ฉิวไป่เป็นคนแรกที่ส่งเสียงทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดภายในห้อง
“ผมบอกแล้วก่อนหน้านี้ ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องถามผมอีก โสมทั้งหมดนี้เนี่ย ผมเอามาเพื่อรักษาอาการป่วยของคุณ คุณจะนำมันไปให้ใครก็ได้ ตราบใดที่มันทำให้คุณพอใจ”
ซู ชินไป่ ยิ้มกว้างหลังจากเอ่ยออกไป แสดงถึงเพียงความสัตย์จริงอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับที่คนขับรถแท็กซี่ซักคนจะแสดง
คำพูดของเขาทำให้ เซี่ย หรงหรง เงียบไปเสียนาน จนในที่สุด เธอมองตรงไปที่ ซู ฉิวไป่และกล่าวขอบคุณเขาอย่างอ่อนโยน แม้แต่ตัวเธอเอง ก็คงไม่ได้สังเกตถึงความอ่อนโยนในคำพูดของเธอเสียด้วยซ้ำ
พิธีการและขั้นตอนหลังจากนั้นก็เรียบง่าย ผู้อาวุโสเหลียงเลือกนำเอาโสมป่าไปบางส่วน และ เซี่ย หรงหรง ได้เริ่มกระบวนการรักษาของเธอเสียที
หลังจากที่ส่งผู้อาวุโสเหลียงออกจากห้องไป ปู่เซี่ยจึงเริ่มตามหาแพทย์ประจำเวรนั้นพร้อมกับ เซี่ย ไห่ชิง ทิ้งให้ ซู ฉิวไป่เป็นคนดูแล เซี่ย หรงหรง แต่ลำพัง โดยที่ไม่ชัดเจนเหมือนกันว่าชายชราจงใจหรือไม่
ไม่นานหลังจากที่เขาออกไป ซู ฉิวไป่เริ่มรู้สึกอับอายและอึดอัดเล็กน้อย
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เซี่ย หรงหรงมองดูเขาพร้อมกับลูกหมาในอ้อมแขน เธอหัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณนะคะ แต่ได้โปรดนำโสมทั้งสามที่เหลือกลับไปด้วยค่ะ ส่วนโสมที่ฉันให้ผู้อาวุโสเหลียงไป ถือว่าฉันซื้อจากคุณล่ะกัน ส่วนเรื่องรถของ หลี เซี่ยงหยุน ฉันจะจัดการเรื่องค่าเสียหายให้ คุณไม่จำเป็นต้องกังวลไปค่ะ”
ซู ฉิวไป่กลับกระวนกระวายขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวตรงหน้า
“ผมบอกแล้วไงว่าผมจะให้โสมทั้งหมดกับคุณ ทำไมคุณถึงอยากคืนให้ผมอีกล่ะครับ ถ้าหากว่าโสมเพียงชิ้นเดียวไม่พอล่ะ สุขภาพของคุณสำคัญกว่านะ”
เซี่ย หรงหรง จ้องมองไปในดวงตาของ ซู ฉิวไป่อีกครั้งเพื่อมองหาบางสิ่งที่เขาอาจซ่อนเอาไว้ ทว่า ดวงตาคู่นั้นแสดงถึงความจริงใจ โดยไร้ซึ่งจุดประสงค์ใดแอบแฝง
“นี่คุณไม่รู้ค่าของโสมป่าพวกนี้จริงหรือคะ”
“แล้วมันมีค่าเท่าไรล่ะครับ ตราบใดที่มันยังรักษาโรคของคุณได้ มันก็ยังคงมีคุณค่าของมัน แต่สำหรับผม มันไม่ต่างอะไรไปจากหัวไชเท้าเหี่ยว ๆ หรอก”
แม้จะยิ้มอย่างไม่สนใจอะไร แต่ ซู ฉิวไป่กลับพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
ทันใดนั้น สุนัขของ เซี่ย หรงหรง กลับเห่าขึ้นมาสองครั้ง มีเพียง ซู ฉิวไป่เท่านั้นที่เข้าใจว่ามันกำลังกล่าวว่าเขายังมีโสมป่าอีกครึ่งถุงในท้ายรถของเขา ดังนั้นสำหรับเขา โสมทั้งห้าชิ้นนั้นไร้ค่า!
แน่นอนว่า เซี่ย หรงหรง ยังไม่รู้ความจริงข้อนั้น เธอเคยเห็นการสมคบคิดในโลกแวดวงธุรกิจมากเกินไปด้วยซ้ำ แม้แต่คนที่เธอรักเอง ยังมองผลประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ ถึงกระนั้น มันก็ชัดเจนมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าสิ่งเดียวที่ ซู ฉิวไป่สนใจ คือสุขภาพของเธอเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะเก็บโสมพวกนี้ไว้ให้คุณ ถ้าฉันใช้มันในการลงทุนทีหลัง ฉันจะให้ส่วนแบ่งกับคุณห้าสิบเปอร์เซ็นต์ค่ะ”
เนื่องจากว่าเขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์และซื่อตรงเหลือเกิน เธอจึงไม่เห็นถึงความจำเป็นในการยืนยันที่จะปฏิเสธโสมพวกนั้น ดังนั้น เธอจึงเอ่ยตกลงที่จะเก็บพวกมันไว้ ในตอนแรก เธอคิดอยากจะอธิบายลงรายละเอียดของการลงทุนดังกล่าวให้ ซู ฉิวไป่ฟัง แต่คนขับรถแท็กซี่เพียงแค่โบกมือปัด
“คุณอยากทำอะไรก็ทำเถอะ ผมไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว คุณช่วยจัดการให้ผมเลยล่ะกัน”
ซู ฉิวไป่รู้สึกแปลกเล็กน้อยหลังจากพูดเช่นนั้น ทำไมถึงรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังคุยกับเมียอยู่เนี่ย
ทว่า เซี่ย หรงหรง คงไม่ได้กำลังคิดเช่นเดียวกับเขา เธอกลับหัวเราะเบา ๆ เท่านั้น ผู้หญิงก็เป็นอย่างนี้แหละ
“จะว่าไป คุณรู้ได้อย่างไรล่ะคะ ว่าฉันต้องการโสมป่าเพื่อมารักษาอาการป่วย”
ราวกับว่าเธอพึ่งจะนึกถึงประเด็นดังกล่าวได้ เซี่ย หรงหรงเอ่ยถาม ซู ฉิวไป่ด้วยความสงสัย
ซู ชิวไป่ลังเล ก่อนที่จะยิ้มอย่างมีเลศนัย พร้อมชี้ไปที่ลูกหมาสีขาวในอ้อมแขนของ เซี่ย หรงหรง พร้อมกล่าวขึ้น “ถ้าผมบอกคุณว่าลูกหมาตัวนั้นบอกผม คุณจะเชื่อผมมั้ยล่ะ”
เมื่อเอ่ยดังนั้น เขาหัวเราะดังลั่น ก่อนที่ เซี่ย หรงหรง จะหลุดขำตาม
ทั้งสองคนจึงดำเนินบทสนทนาดัวยกันเป็นระยะเวลายาวนาน ซู ฉิวไป่ยังนำเอาโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาเพื่ออวดรูปของเขากับ อู่ ซง ให้ เซี่ย หรงหรง ดู เขายังไม่ลืมที่จะกล่าวว่าท้องฟ้าในยุคของราชวงศ์นั้นเป็นสีฟ้าเข้ม เขาถึงกับสัญญากับ เซี่ย หรงหรง ดัวยซ้ำว่าคราวหน้าที่เจอกัน จะเลี้ยงมื้อเย็นเป็นเนื้อเสือให้ได้ชิมซักครั้ง
บางที่เขาอาจจะดูตลกมากในเสื้อกั๊กตัวนี้ เซี่ย หรงหรง และลูกหมาสีขาวของเธอจึงเอาแต่หัวเราะตลอด
เมื่อผ่านไปอีกซักครู่ คุณปู่เซี่ยพร้อมกับ เซี่ย ไหชิง จึงกลับมา ขณะที่แพทย์ของเธอก็ได้นัดหมายการรักษาของ เซี่ย หรงหรง ไว้เรียบร้อย
ซู ฉิวไป่รู้สึกได้ว่าคงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปที่เขาจะต้องอยู่ที่นี่ต่อ ถึงแม้มันจะรู้สึกดีมากที่ได้พูดคุยกับผู้หญิงงาม ๆ ซักคน ทว่าไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการรักษาโรคประจำตัวของเธอ ซู ฉิวไป่จึงตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่จะเอ่ยคำร่ำลา พร้อมกับอวยพรให้ เซี่ย หรงหรง หายเร็ว ๆ
แม้จะเป็นครั้งแรกที่ เซี่ย หรงหรง ได้พบกับชายผู้มีนามว่า ซู ฉิวไป่คนนี้ แต่เธอก็รู้สึกใจหายไม่น้อยเมื่อได้ยินว่าเขาจะไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ความกังวลแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกโล่งอกอย่างรวดเร็ว
เธอยิ้ม ขณะที่เธอขอให้ ซู ชิวไป่ช่วยดูแลลูกหมาของเธอ จนกว่าเธอจะรักษาตัวจนหายจากโรคที่เธอเป็นอยู่
ซู ชิวไป่เอ่ยตอบรับโดยที่ไม่ต้องคิด แล้วถือลูกหมาตัวนั้นไว้ในอ้อมแขนด้วยความยินดี
คุณปู่เซี่ยเองก็เอ่ยขอบคุณ ซู ฉิวไป่อีกครั้ง พร้อมกับเอ่ยชวนให้ ซู ฉิวไป่มาเยี่ยมพวกเขาบ้างในครั้งหน้า และถึงกับสั่งให้ เซี่ย ไห่ชิง เดินไปส่งเขาดัวย
สภาพของ เซี่ย ไห่ชิง ไม่สู้ดีมากนักตั้งแต่ที่ ซู ฉิวไป่นำเอาโสมป่าออกมาแล้ว เธอยิ่งรู้สึกอึดอัดมากขึ้นอีกเมื่อชายเฒ่าเอ่ยให้เธอตามส่งเขาออกไป
เธอแทบจะต้องบังคับร่างกายตัวเองเพื่อให้ออกจากห้องนั้นได้ เธออดไม่ได้ที่จะพร่ำเอ่ยคำขอโทษ ซู ฉิวไป่เมื่อก้าวเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น เขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่เขาก็เป็นถึงผู้ช่วยชีวิตของหรงหรง ฉันดันทำกับเค้าไว้แย่มากตอนที่เจอกันครั้งแรกที่โรงพยาบาล ถ้าปู่เซี่ยรู้ ท่านเอาฉันตายแน่ ๆ
มันจึงมีความจำเป็นอย่างสูง ที่เธอต้องได้รับการให้อภัยจาก ซู ฉิวไป่อย่างด่วนที่สุด
แต่ก็อีกนั่นแหละ คงจะไม่มีใครทราบด้วยซ้ำ แม้แต่ตัวของ ซู ฉิวไป่เอง ก็ลืมเรื่องนั้นไปเสียตั้งนานแล้ว และพึ่งจะมานึกได้เอาตอนที่ เซี่ย ไห่ชิง เอ่ยถึงเรื่องดังกล่าวขึ้นมา
เขาบอกกับ เซี่ย ไห่ชิง ว่าเขาไม่คิดมากเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้น ซึ่ง เซี่ย ไห่ชิง ก็หลงเชื่อสนิทใจ และรู้สึกราวกับว่ายกภูเขาออกจากอกได้ หลังจากที่ต้องฟัง เขาอธิบายให้เธอฟังเสียหลายรอบ ในขณะเดียวกัน เธอเองก็แอบยินดีที่ ซู ฉิวไป่ไม่ได้บอกให้ เซี่ย หรงหรง รู้ว่าเขาเป็นคนที่พาเธอมาส่งที่โรงพยาบาลด้วยซ้ำ
ซู ฉิวไป่ออกจากโรงพยาบาล แล้วก้าวเท้าเข้าไปในรถแท็กซี่ของเขา
เรื่องของ เซี่ย หรงหรง ก็จบลงเสียที ซู ฉิวไป่เองก็ไม่ได้คาดคิดด้วยซ้ำว่าเขาจะมีความสุขขนาดนี้ ที่ตกลงเรื่องการจ่ายหนี้ได้เสียที ถึงเขาจะไม่รู้ค่าที่แท้จริงของโสมป่าพวกนี้ก็ตามเถอะ
แต่…ปล่อยมันไปเถอะ! ยังไงก็ตาม ก็ยังมีโสมเหลืออยู่อีกมาก ถึงเขาคิดจะให้มันไปจนหมด เขาก็ยังขอจาก ชัยดากวนเหริน ได้อีกเรื่อย ๆ อยู่แล้ว
เป็นโอกาสทองจริง ๆ ที่จะเป็นน้องชายชองเขา
ขณะนี้เขากำลังอารมณ์ดี เขาจึงตัดสินใจไปส่งลูกหมาของ เซี่ย หรงหรง ที่บ้านก่อน เขาวางแผนที่จะไปขับรถต่อ เผื่อจะได้ส่งผู้โดยสารอีกซักสองสามคน
แต่สิ่งหนึ่งที่ ซู ฉิวไป่ยังไม่รู้ คือ มีคนแอบสะกดรอยตามเขามาตั้งแต่ที่เขาออกจากโรงพยาบาลมาแล้ว รถสีดำยี่ห้อซานตาน้าคันหนึ่งกำลังขับตามรถแท็กซี่ของ ซู ฉิวไป่โดยไม่ห่าง
อย่างไรก็ตาม คนขับรถไม่มีเวลาพอที่จะกังวลเรื่องแบบนั้นในตอนนี้ เขารู้สึกหดหู่ที่โชคร้ายของเขาดูเหมือนว่าจะกลับมาอีกครั้ง เป็นเวลานับสองชั่วโมงตั้งแต่ที่เขาออกจากบ้านมา ท้องฟ้ามืดลงรวดเร็วกว่าชั่วเวลากระพริบตา ทว่าเขายังไม่ได้ผู้โดยสารซักคน ราวกับไม่มีใครสังเกตเห็นรถของเขาด้วยซ้ำ
ซู ฉิวไป่คิดจะกลับบ้านเลยหากเขาขับรถวนรอบเมืองรอบสุดท้ายนี้เสร็จ แต่ทันใดนั้นเอง ระบบนำทางของรถเขากลับดังขึ้นมาอีกครั้ง
“มีคนกำลังต้องการความช่วยเหลือของคุณอีกหนึ่งกิโลเมตรข้างหน้า”
เท้าของ ซู ฉิวไป่เหยียบเบรกทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น รถของเขาหยุดชะงักงัน ณ ตรงนั้น
ครั้งสุดท้ายที่เขาได้ยินประโยคแบบนี้ กลายเป็นว่าเขาได้พบกับ อู่ ซง เสีย ถ้ามันเกิดขึ้นอีกครั้ง สงสัยจังว่าคราวนี้จะได้เจอใคร
เขารู้สึกตื่นเต้นได้อย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ แต่หลังจากที่เขาทำให้ตัวเองใจเย็นลง เขาเลื่อนขยับเกียร์ แล้วเหยียบคันเร่ง จนรถแท็กซี่ของเขาพุ่งตรงไปข้างหน้า
ซู ฉิวไป่หยุดรถเมื่อเคลื่อนที่มาได้แล้วเป็นระยะทางหนึ่งกิโลเมตร ณ ที่นั่น เขาพบกับชายหนุ่ม ในมือกำลังถือกล่องไม้กล่องหนึ่ง เขาสวมเสื้อคลุมสีขาว มีคิ้วยาว และดวงตาที่ส่องสว่างราวกับดวงดาวในท้องฟ้ายามค่ำ คนขับรถชะงักไปเสียนานก่อนที่จะตั้งสติได้
“คุณชื่ออะไรครับ” ซู ชิวไป่ถามขึ้นด้วยความกระวนกระวายใจ เขากลืนน้ำลายไปอึกใหญ่ ขณะที่รอฟังคำตอบจากปากชายตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
“นามของข้าคือ…หนิง ไฉ่เฉิน”