Super God Gene - ตอนที่ 1963
บนเกาะแห่งหนึ่งในปราสาทนภา มีชายวัยกลางคนในชุดสีเทากำลังมองดูเถาวัลย์สีเขียวอยู่
“ท่านพ่อกำลังมองดูอะไรอยู่อย่างนั้นหรอ?” หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาชายคนนั้นและมองออกไปในทิศทางเดียวกัน
“ลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีดมาเยือนปราสาทนภา ตอนนี้เขากำลังอยู่บนถนนนภา” ชายวัยกลางคนในชุดสีเทาพูด
หญิงสาวเบ้ปากและพูด “ไม่เห็นมันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร ทายาทของราชันมากมายต่างก็มาที่ปราสาทนภาเพื่อฝึกฝน การที่เขามาที่นี่ควรจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร นอกจากนั้นเขาก็เป็นแค่ลูกศิษย์ของนาง มันไม่ใช่ว่าเขาเป็นลูกของนางสักหน่อย”
ชายวัยกลางคนยิ้มและพูด “ราชินีแห่งมีดคือลูกศิษย์คนโปรดของท่านผู้เฒ่า นางได้ขออนุญาตให้ลูกศิษย์ของนางมาที่นี่เพื่อฝึกฝน ซึ่งท่านผู้เฒ่าก็ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล และถ้าเขาข้ามถนนนภามาได้ ท่านผู้เฒ่าก็จะมอบสิทธิในการเข้าไปในสถานหยกขาวให้กับเขา”
หญิงสาวเบิกตากว้าง “ท่านผู้เฒ่าจะแสดงความโปรดปรานมากเกินไปแล้ว แม้แต่พวกเราที่เป็นศิษย์ของปราสาทนภายังจำเป็นต้องติดอันดับหนึ่งในสิบถึงจะได้สิทธิ์เข้าไปในสถานหยกขาว แต่นี่เขายังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่แล้วเขากลับได้สิทธิ์ให้เข้าไปอย่างนั้นหรอ? นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด!”
ชายวัยกลางคนในชุดสีเทาหัวเราะ “มันไม่มีอะไรที่ไม่ยุติธรรม ท่านผู้เฒ่าเป็นเจ้าของปราสาทนภาแห่งนี้ ดังนั้นเขามีอิสระในการตัวสินใจ ลูกควรจำเอาไว้ว่าทุกคนมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องของความยุติธรรม ถ้าลูกยังไม่เข้าใจในเรื่องนี้ มันอาจจะส่งผลเสียต่อลูกได้”
หญิงสาวพยักหน้า เธอดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ไม่ทั้งหมด
หลังจากนั้นเธอก็ยิ้มออกมาและพูดต่อ “มันไม่สำคัญว่าท่านผู้เฒ่าจะชอบเขามากแค่ไหน ถ้าเขาข้ามถนนนภาไปไม่ได้ มันก็ไร้ประโยชน์ เพราะยังไงซะมันก็ไม่ใช่ทุกคนจะข้ามถนนนภาได้ อีกไม่ช้าเขาก็จะได้เห็นเองว่าการข้ามถนนนภานั้นยากเพียงไหน”
ชายวัยกลางคนในชุดสีเทายิ้ม “ลูกไร้เดียงสาเกินไปแล้ว ถ้าราชินีแห่งมีดส่งเขามาที่นี่ นางก็ต้องมั่นใจว่าเขาจะข้ามผ่านมันไปได้ ตอนนี้พวกเราแค่รอดูว่าเขาจะกระตุ้นตัวตนของน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ได้หรือเปล่า”
หญิงสาวดูหม่นหมอง “น้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์แทบจะไม่เคยปลดปล่อยออร่าออกมาต่อลูกศิษย์ที่แท้จริงอย่างพวกเราด้วยซ้ำ แล้วเขาจะกระตุ้นมันได้ยังไง?”
“ในอดีตราชินีแห่งมีดเคยกระตุ้นออร่าของน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ได้ ซึ่งในตอนนั้นนางก็เป็นเพียงแค่คนนอกเหมือนกับเขา ไม่อย่างนั้นนางก็คงจะไม่พัฒนาจนถึงระดับราชันได้ตั้งแต่วัยสาวแบบนั้น และในตอนนี้นางก็กลายเป็นถึงครึ่งเทพแล้ว” ชายวัยกลางคนในชุดสีเทาพูด
“ราชินีแห่งมีดเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง แม้แต่ท่านผู้เฒ่ายังบอกว่าวันหนึ่งนางอาจจะได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า แต่ลูกไม่คิดว่าลูกศิษย์ของนางจะเป็นอัจฉริยะเหมือนกับนาง ลูกได้ยินมาว่าเขาเป็นคริสตัลไลเซอร์ เขาได้รับขนนกเทพเจ้ามาจากข่งเฟย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้ารับเขาไป เพียงแค่นั้นก็น่าจะทำให้เห็นถึงพรสวรรค์ของเขาแล้ว” หญิงสาวพูด
ชายวัยกลางคนในชุดสีเทาส่ายหัว “เขาไม่ได้ถูกคนอื่นปฏิเสธเพราะขาดพรสวรรค์ แต่เขาถูกคนอื่นปฏิเสธเพราะยีนที่ไม่เสถียรของเขา มันยากจะคาดเดาได้ว่าอนาคตของคนแบบนั้นจะเป็นยังไง ซึ่งในกรณีนั้นมันจะเป็นอะไรที่เสี่ยงในการลงทุนกับเขา”
“ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกันว่าเขาจะมีพรสวรรค์สักแค่ไหน” หญิงสาวพูด
หานเซิ่นมองไปยังเถาวัลย์ขนาดยักษ์ที่ดูเหมือนกับมังกร เขาก้าวขาไปเหยียบเถาวัลย์สีเขียวตรงหน้า แต่เมื่อเขาเหยียบมัน เขาก็รู้สึกตกใจ
เถาวัลย์ยังคงปกติอยู่ แต่น้ำเต้าเริ่มจะสั่นไหว มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าตกใจ
แต่นอกจากการสั่นแล้ว พวกมันก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น
‘ไม่มีทาง! มันดูทรงพลังอย่างมาก แต่นั่นคงจะเป็นแค่การขู่ให้กลัวเฉยๆ ถ้าเราร่วงลงไปตอนนี้ อี๋ซาคงจะฆ่าเราแน่’ หานเซิ่นคิดและตัดสินใจเดินหน้าต่อไป
ที่ไหนก็ตามที่หานเซิ่นเดินไป น้ำเต้าก็จะสั่นไหว ถ้าพวกมันไม่ได้ห้อยติดกับเถาวัลย์แน่น พวกเขาก็คงจะร่วงไปหมดแล้ว
เมื่อหานเซิ่นเห็นว่าพวกมันไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากสั่นไปมา เขาก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นและเดินบนเถาวัลย์ต่อไป เขาคิดกับตัวเอง ‘ถนนนภาคงจะไม่ได้ง่ายแบบนี้ถูกไหม มันต้องอะไรอยู่อีกแน่ เราควรจะเดินต่อไปอีกสักหน่อยเพื่อดูว่ามันมีอะไร’
หานเซิ่นเดินไปบนเถาวัลย์ต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่ผู้คนในปราสาทนภาต่างก็ตกตะลึง
กระเรียนพันขนมองไปที่เท้าของหานเซิ่นและเห็นน้ำเต้าสั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง ลูกตาของเขาก็เกือบจะหลุดออกมาจากเบ้า
เขามาฝึกอยู่ในปราสาทนภามา 20 ปี เขาได้เห็นหลายต่อหลายคนเดินบนถนนนภานี้ บางคนผ่านไปได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะนี่บางคนถูกสะบัดออกไปโดยเถาวัลย์ที่เกรี้ยวโกรธ มันมีน้อยคนมากที่จะได้รับการยอมรับจากน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์และได้รับออร่าศักดิ์สิทธิ์ของมัน
ในตอนที่กระเรียนพันขนข้ามถนนนภา เขาได้รับออร่าศักดิ์สิทธิ์จากน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์หนึ่งลูก ซึ่งนั่นถือว่าหาได้ยากแล้ว
แต่เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน น้ำเต้าทั้งหมดดูหวาดกลัวหานเซิ่น และพวกมันก็สั่นไหวราวกับว่าต้องการจะหนีไปจากเขา
“หมอนี่เป็นตัวอะไรกัน?” กระเรียนพันขนมองดูหานเซิ่นอย่างตกตะลึง
หญิงสาวและชายวัยกลางคนในชุดสีเทาก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน หญิงสาวถาม “ท่านพ่อ น้ำเต้าพวกนั้นกำลังทำอะไรอยู่กันแน่? ดูไม่เหมือนกับว่าพวกมันกำลังปลดปล่อยออร่าศักดิ์สิทธิ์ออกมา ลูกไม่เคยเห็นน้ำเต้ามีปฏิกิริยาแบบนี้มาก่อนเลย”
ชายวัยกลางคนในชุดสีเทามองไปที่เถาวัลย์และพูด “นี่มันแปลกจริงๆ น้ำเต้าไม่ได้ยอมรับพรสวรรค์ของเขา แต่พวกมันหวาดกลัวเขาแทน”
“น้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์หวาดกลัวเขา? แต่นั่นเป็นไปไม่ได้ เขาก็เป็นแค่ไวเคานต์คนหนึ่ง แต่น้ำเต้าเป็นพืชระดับเทพเจ้า แม้คนที่ข้ามจะเป็นถึงยอดฝีมือระดับเทพเจ้า มันก็ไม่ควรจะทำให้น้ำเต้าหวาดกลัว แต่นี่เขาเป็นเพียงแค่ไวเคานต์” หญิงสาวพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“นี่มันไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่น้ำเต้าดูหวาดกลัวจริงๆ” ชายวัยกลางคนมองหานเซิ่นบนเถาวัลย์ด้วยความสนใจ
ในปราสาทนภา หลายๆคนกำลังจับจ้องไปที่หานเซิ่น ซึ่งทุกๆคนต่างก็มีสีหน้าที่แปลกประหลาด
ที่ไหนก็ตามที่หานเซิ่นเดินไป น้ำเต้าในระยะ 10 เมตรรอบตัวเขาก็จะสั่นด้วยความกลัว แต่เมื่อหานเซิ่นเดินผ่านไปแล้ว พวกมันถึงจะกลับมาสู่สภาพเดิม
ขณะที่หานเซิ่นเดินไปนั้น มันไม่มีอะไรอย่างอื่นเกิดขึ้น นอกจากการสั่นไหวของน้ำเต้า มันทำให้หานเซิ่นรู้สึกหดหู่
“เวรเอ้ย! อะไรสักอย่างได้โปรดเกิดขึ้นสักที แบบนี้ฉันก็กระโดดลงไปไม่ได้น่ะสิ ถ้าฉันร่วงจากเถาวัลย์อย่างไม่มีเหตุผล อี๋ซาก็ต้องฆ่าฉันแน่ๆ” หานเซิ่นพยายามคิดหาทางออก
แต่ก่อนที่หานเซิ่นจะรู้สึกตัว เขาก็เดินไปถึงอีกฝากหนึ่งของเถาวัลย์เรียบร้อยแล้ว