Super God Gene - ตอนที่ 1972
นกกระเรียนหยก
ยวิ๋นซู่อีให้เสือบินออกมาด้วยความเร็วสูงสุด มันพุ่งหายเข้าไปในหมู่เมฆในไม่ถึงวินาที เมื่อเธอหันกลับไปมอง เธอก็ไม่เห็นใครด้านหลัง
“เจ้าปล่อยให้ข้ารอเป็นเวลานาน เจ้าสมควรแล้ว!” ยวิ๋นซู่อีไม่ปล่อยให้เสือของเธอชะลอความเร็วลง เธอยังคงมุ่งหน้าต่อไป
ยวิ๋นซู่อีมีแผนจะไปที่เกาะและรอหานเซิ่นอยู่ที่นั่น เธออยากรู้ว่ามันจะใช้เวลานานขนาดไหนกว่าที่เขาจะไปถึงที่นั่น
เสือปีกหยกของเธอเป็นซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิส และมันก็เป็นหนึ่งในซีโน่เจเนอิคมาร์ควิสที่รวดเร็วที่สุด ดังนั้นมันไม่น่าแปลกใจที่เธอจะสลัดหานเซิ่นหลุดได้อย่างง่ายดาย
ยวิ๋นซู่อีรู้สึกอวดดีขึ้นมา แต่เมื่อศิษย์ของปราสาทนภาคนอื่นบินผ่านเธอไป พวกเขาก็จะหันมามองยวิ๋นซู่อีอย่างแปลกๆ
‘ข้ารู้ว่าข้างดงาม แต่พวกเขาไม่เห็นจะต้องจ้องมองข้าแบบนั้นเลย’ ยวิ๋นซู่อีคิด
แต่หลังจากผ่านไปสักพัก เธอก็รู้สึกตัวว่ามันผิดปกติ เธอรู้จักคนหลายคนที่สวนทางเธอไป และถึงแม้เธอจะไม่ค่อยได้มุ่งหน้าไปยังเกาะที่ขายซีโน่เจเนอิคบ่อยเท่าไหร่นัก แต่เธอก็ไม่เคยดึงดูดความสนใจมากขนาดนี้มาก่อน
“นี่มันมีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับลักษณะภายนอกของข้าอย่างนั้นหรอ?”
ยวิ๋นซู่อีสัมผัสแก้มและสังเกตชุดของตัวเอง แต่เธอก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ
เธอยังคงมุ่งหน้าต่อไป แต่ผู้คนก็ยังคงหันมามองเธอตลอดการเดินทาง ยวิ๋นซู่อีขมวดคิ้วและนำกระจกออกมาเพื่อส่องดูตัวเอง
“น่าแปลก มันไม่ได้มีอะไรผิดปกตินี่น่า ทุกอย่างก็เป็นอย่างที่มันควรจะเป็น และข้าก็งดงามเหมือนกับทุกครั้ง อ้า!”
ขณะที่ยวิ๋นซู่อีขยับกระจกเพื่อส่องดูตัวออกจากมุมที่ต่างออกไป เธอก็สังเกตเห็นเงาปริศนาด้านหลัง คนๆนั้นกำลังยิ้มให้กับเธอผ่านกระจก ซึ่งเขาก็คือหานเซิ่นนั่นเอง
“เจ้าขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” ยวิ๋นซู่อีหันกลับไปมองหานเซิ่นที่กำลังนั่งอยู่บนเสือของเธออย่างสบายใจ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าทำไมคนอื่นๆถึงมองมาที่เธออย่างแปลกๆ
ผู้คนนั้นไม่ได้มองมาที่เธอจริงๆ แต่พวกเขากำลังมองไปที่หานเซิ่นต่างหาก
“ในตอนที่เจ้าให้เสือบินขึ้นฟ้าไป ข้าก็ขึ้นนั่งบนหลังของมันเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้าจะพาข้าไปซื้อซีโน่เจเนอิคหรอกหรอ? หรือว่าข้าจะเข้าใจอะไรผิด? ข้าไม่ได้เข้าใจเจตนาของเจ้าผิดอย่างนั้นใช่ไหม?” หานเซิ่นยิ้ม
“เจ้าไม่ได้เข้าใจอะไรผิด” ยวิ๋นซู่อีหน้าแดงและหันหน้าหนีหานเซิ่น
มันทำให้เธอประหลาดใจอย่างมากที่หานเซิ่นสามารถไล่ตามเธอได้ทัน
เพราะแม้แต่กระเรียนพันขนหรือยวิ๋นซู่ซางก็ไม่สามารถไล่ตามความเร็วของเสือปีกหยกได้ ซึ่งหานเซิ่นเพิ่งจะกลายเป็นเอิร์ลได้ไม่นาน ดังนั้นมันไม่มีทางที่เขาจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วแบบนี้
ความจริงแล้วหานเซิ่นไม่ได้มีความเร็วมากพอที่จะไล่ตามเสือปีกหยกได้ทัน แต่เขามีรองเท้าเขี้ยวกระต่ายอยู่ พวกมันเร็วยิ่งกว่าเสือปีกหยก ถึงแม้พวกเขาจะขาดความสามารถในการบินก็ตาม ในตอนที่เสือปีกหยกกำลังจะบินขึ้นไป หานเซิ่นได้ใช้รองเท้าเขี้ยวกระต่ายเพื่อกระโดดขึ้นบนหลังของเสือ หลังจากนั้นเขาก็ซ่อนตัวตนเอาไว้เพื่อที่ยวิ๋นซู่อีจะไม่สังเกตเห็น
ยวิ๋นซู่อีรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เสือปีกหยกนั้นรวดเร็ว และพวกเขาก็ไปถึงที่เกาะในเวลาไม่นาน
บนเกาะนั้มีซีโน่เจเนอิคอาศัยอยู่มากมาย พวกมันแต่ละตัวดูเชื่องและไม่กระหายเลือดแต่อย่างใด แถมพวกมันส่วนใหญ่ยังเป็นชนิดที่สามารถบินได้อีกด้วย
ยวิ๋นซู่อีพาหานเซิ่นไปที่สวนของตระกูลของเธอ และที่นั่นก็มีคนออกมาต้อนรับพวกเขา ยวิ๋นซู่อีบอกให้คนอื่นๆกลับไปทำงาน หลังจากนั้นเธอก็พาหานเซิ่นเข้าไปในสวนตามลำพัง
“เจ้าต้องการซีโน่เจเนอิคระดับไหน? พวกเรามีตั้งแต่ระดับบารอนไปจนถึงระดับมาร์ควิส พวกมันทุกตัวถูกฝึกจนเชื่อง ดังนั้นพวกมันจะเชื่อฟังคำสั่งของเจ้า”
จริงๆแล้วยวิ๋นซู่อีอยากจะถามหานเซิ่นว่าเขายินดีจะจ่ายมากเท่าไหร่เพื่อซื้อซีโน่เจเนอิคสักตัว
หานเซิ่นคิดและพูด “ยิ่งถูกยิ่งดี ตัวไหนก็ได้ที่ใช้เป็นพาหนะแทนการเดินเท้า”
หานเซิ่นยังอยู่ในจักรวาลจีโนได้ไม่นาน และมันก็มีสิ่งมีชีวิตอีกมากมายภายในก็อตแซงชัวรี่ที่ยังไม่วิวัฒนาการ หานเซิ่นจึงไม่อยากสูญเสียทรัพยากรมากเกินไป
เพราะยังไงซะหานเซิ่นก็คิดจะล่าซีโน่เจเนอิคด้วยตัวเอง และมันก็มีโอกาสที่เขาจะได้รับวิญญาณอสูรประเภทสัตว์ขี่ ซึ่งวิญญาณอสูรยังไงก็ดีกว่าซีโน่เจเนอิคที่ถูกฝึกเป็นไหนๆ
ยวิ๋นซู่อียิ้มและพูด “อย่าได้กังวล พี่สาวของข้าบอกให้ข้าลดราคาให้กับเจ้าได้อย่างเต็มที่ เจ้าจะหาราคาแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว”
หานเซิ่นส่ายหัว “ข้าแค่ต้องการตัวที่บินได้เท่านั้น มันไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งก็ได้”
เมื่อยวิ๋นซู่อีเห็นว่าหานเซิ่นไม่ได้ล้อเล่น เธอก็หยุดคิดไปครู่หนึ่ง
“ตัวที่ถูกที่สุดคือนกกระเรียนหยกรัตติกาล พวกมันมีขายในทุกๆร้าน แต่ของพวกเราต่างออกไป เจ้าได้เห็นนกกระเรียนหยกรัตติกาลของศิษย์พี่กระเรียนใช่ไหม? โดยปกติแล้วพวกมันจะเป็นระดับบารอน แต่ตัวนั้นเป็นระดับเอิร์ลซึ่งเป็นของพวกเราเอง”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็เอานกกระเรียนหยกรัตติกาลที่เจ้าว่า”
หานเซิ่นไม่อยากเรื่องมาก ยังไงมันก็แค่สัตว์ขี่ ดังนั้นมันก็คงจะไม่มีอะไรพิเศษไม่ว่าเขาจะจ่ายมากสักขนาดไหน
“เจ้าควรจะไปเลือกมันด้วยตัวเอง พวกมันมีอยู่เป็นพันๆตัว ซึ่งพวกมันทุกตัวมีราคาเหมือนกันหมด” ยวิ๋นซู่อีพาหานเซิ่นไปในบริเวณที่เป็นที่อยู่อาศัยของนกกระเรียนหยกรัตติกาล
หานเซิ่นประหลาดใจอย่างมาก เมื่อเขาได้เห็นนกฝูงใหญ่ที่ดูเหมือนกับก้อนเมฆ ปราสาทนภาเป็นดินแดนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ มันไม่ใช่ทุกที่ที่เขาจะเห็นซีโน่เจเนอิคที่ถูกฝึกจนเชื่องมารวมกันมากขนาดนี้
การฝึกซีโน่เจเนอิคตัวหนึ่งให้เชื่องนั้นยากยิ่งกว่าการฆ่าพวกมันซะอีก การฆ่าซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลหรือมาร์ควิสสักตัวง่ายยิ่งกว่าการจะฝึกซีโน่เจเนอิคบารอนสักตัวให้เชื่อง มันถือเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์ที่ปราสาทนภาจะมีซีโน่เจเนอิคที่ถูกฝึกจนเชื่องมากมายถึงขนาดนี้
“ซีโน่เจเนอิคพวกนี้มาจากไหนกัน?” หานเซิ่นถามขณะมองไปที่ฝูงนกกระเรียนหยกรัตติกาล
“บางตัวถูกจับ บางตัวถูกเลี้ยง ถ้ำเสวียนเยวี๋ยนที่พวกเรากำลังจะไปเองก็มีซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลอยู่ ถ้าเจ้าจับพวกมันกลับมาได้แบบเป็นๆ มันก็จะขายได้ราคาดียิ่งกว่าชิ้นส่วนยีนซีโน่เจเนอิคซะอีก” ยวิ๋นซู่อีพูด
หานเซิ่นพยักหน้าและเริ่มใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อสแกนฝูงนกกระเรียนหยกรัตติกาล ไหนๆเธอก็ให้เขาเลือกด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะเลือกเอาตัวที่ดีที่สุด
หานเซิ่นสแกนพวกมันและพบว่าหนึ่งในพวกมันมีตัวหนึ่งที่ดูแข็งแกร่งกว่าตัวอื่นๆ เมื่อเขามองไปที่มัน เขาก็สังเกตเห็นว่ามันกำลังนอนอยู่บนพื้นหญ้า แต่มันดูจะไม่กระฉับกระเฉงเหมือนกับตัวอื่นๆ
เมื่อยวิ๋นซู่อีสังเกตเห็นตัวที่หานเซิ่นกำลังมองออกไป เธอก็พูดขึ้นมา
“ตัวนั้นเป็นระดับไวเคานต์ มันเป็นซีโน่เจเนอิคระดับบารอนในตอนที่ไวเคานต์คนหนึ่งจับตัวมา ซึ่งในภายหลังมันก็ได้วิวัฒนาการเป็นไวเคานต์ด้วยตัวมันเอง แต่หลังจากที่ต่อสู้อย่างทรหด ขาของมันก็ถูกตัดขาดและปีกของมันก็ได้รับความเสียหาย แม้แผลของมันจะหายดีแล้ว แต่มันก็ยังคงพิการ ความเร็วของมันเทียบได้กับระดับบารอนตัวหนึ่ง แถมมันยังไม่มีขาอีกด้วย”