Super God Gene - ตอนที่ 1974
สังหารอสูรกรงเล็กภูติหยก
“ซู่อี ขอบคุณหานเซิ่นซะ” ยวิ๋นซู่ซางผลักยวิ๋นซู่อีเบาๆ
ยวิ๋นซู่อียังคงตกใจอยู่เล็กน้อย แต่เธอก็ก้าวออกมาและพูดกับหานเซิ่น
“ขอบคุณที่ช่วยข้า”
“ไม่เป็นไร ถึงแม้ข้าจะไม่ลงมือ มันก็ทำร้ายเจ้าไม่ได้ ข้าแค่ต้องการจะทดสอบพลังของวิญญาณหยกเสวียนเท่านั้น”
หานเซิ่นยิ้ม เขาไม่ได้พูดว่าซู่อีแข็งแกร่ง แต่บอกว่าซู่ซางยืนอยู่ข้างๆเธอ มันไม่มีทางที่ซู่ซางจะปล่อยให้มีอะไรมาทำร้ายซู่อีได้
แต่ซู่ซางก็รู้สึกประหลาดใจที่หานเซิ่นตอบสนองได้รวดเร็วกว่าเธอ หานเซิ่นเพิ่งจะกลายเป็นเอิร์ลได้ไม่นาน แต่ปฏิกิริยาของเขากลับเหนือกว่าเธอแล้ว ซึ่งนั่นถือว่าไม่ใช่เรื่องปกติ
ยวิ๋นซู่อีมองไปที่มนตราด้วยความสงสัย “หานเซิ่น นั่นคืออาวุธจีโนของเจ้าอย่างนั้นหรอ? มันพิเศษจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”
กระเรียนพันขนก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน ก่อนหน้านี้พวกเขาได้เห็นแค่มนตราในร่างของชุดเกราะเท่านั้น ร่างที่ 2 ของเธอเป็นหญิงสาว ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
หานเซิ่นยิ้ม แต่เขาไม่ได้ตอบคำถาม เขาพูดขึ้นมา “วิญญาณหยกเสวียนดูไม่ค่อยแข็งแกร่งเท่าไหร่ นอกจากเคลื่อนไหวผ่านพื้นหินแล้ว พวกมันยังทำอะไรอย่างอื่นได้อีกไหม?”
กระเรียนพันขนพูด “เจ้าตัวนั้นคืออสูรกรงเล็กภูติหยก พวกมันไม่ได้เป็นเอิร์ลที่แข็งแกร่งที่สุด แต่พวกมันรวดเร็วอย่างมาก และพวกมันก็ปรากฏตัวออกมาจากก้อนหินได้ทุกเมื่อ ซึ่งทำให้พวกมันเป็นอันตรายถ้าไม่ระวังตัวให้ดี ถึงแม้กรงเล็กของพวกมันจะถูกตัด พวกมันก็จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ได้ มันเป็นอะไรที่น่ารำคาญ ถ้าเจ้าต้องการจะฆ่ามัน เจ้าจำเป็นต้องโจมตีใส่พื้นหินในตอนที่พวกมันเผยกรงเล็บออกมา”
ยวิ๋นซู่ซางพูด “อสูรกรงเล็บภูติหยกรวดเร็วเกินไป และส่วนใหญ่ก่อนที่พวกเราจะสัมผัสได้ถึงตัวตนของพวกมันก็มักจะสายเกินไปแล้ว นอกจากนั้นถ้าพวกมันพลาดหรือกรงเล็บของพวกมันถูกทำลาย พวกมันก็จะวิ่งหนีไป ดังนั้นถ้าต้องการที่จะฆ่ามัน มันก็ต้องใช้เอิร์ลถึง 2 คน คนหนึ่งคอยตัดกรงเล็บที่โผล่ขึ้นมา ขณะที่อีกคนจู่โจมร่างกายที่ซ่อนอยู่ในหิน”
หลังจากนั้นยวิ๋นซู่ซางก็ชกใส่กำแพงหินด้วยสนับมือของเธอและพูด
“หินของถ้ำเสวียนเยวี๋ยนนั้นแข็งมากๆ ด้วยเหตุนั้นพวกเราจึงต้องรอให้อสูรกรงเล็บภูติหยกยื่นกรงเล็บของพวกมันออกมาซะก่อนแล้วค่อยโจมตีใส่พวกมัน”
“ขอบคุณที่บอก” หานเซิ่นพูดอย่างจริงใจ
พวกเขาเริ่มเดินทางต่อ แต่หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าอสูรกรงเล็บภูติหยกอยู่ทางด้านขวาของพวกเขาและเตรียมพร้อมจะจู่โจมอีกครั้ง
มันเป็นอสูรกรงเล็บภูติหยกตัวเดิม และมันต้องการจะแก้แค้น มันคอยติดตามพวกเขาและเตรียมพร้อมจะจู่โจมด้วยกรงเล็บของมัน แต่หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บโดยปืนของมนตราไปครั้งหนึ่ง มันก็ระมัดระวังมากกว่าเดิม มันยังไม่ออกมาในทันทีและรอคอยโอกาสอยู่ภายใต้กำแพงหิน
“ระวังตัว มีซีโน่เจเนอิคอยู่ข้างหน้านี้” กระเรียนพันขนพูดขึ้นมา
หานเซิ่นมองไปข้างหน้าและเห็นเงาเบลอๆ ถ้ากระเรียนพันขนไม่ได้พูดเตือน เขาก็จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นซีโน่เจเนอิค
หลังจากนั้นกลุ่มของพวกเขาก็เข้าไปใกล้พอจะมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน มันเป็นแมลงท้องถิ่นของถ้ำแห่งนี้ มันดูเหมือนกับตะขาบตัวหนึ่ง เปลือกของมันมีสีน้ำเงินและบนหลังของมันมีใบหน้าที่สว่างไสวอยู่ มันดูน่าขยะแขยง
“ตะขาบพักตราระดับเอิร์ล ระวังตัวให้ดี ตะขาบพักตรานั้นมักจะอยู่กันเป็นกลุ่ม” ยวิ๋นซู่อีอธิบายก็เพื่อหานเซิ่น เพราะคนอื่นๆเคยเข้ามาในถ้ำหลายครั้งแล้ว และตะขาบพักตราก็สามารถพบเจอได้บ่อย ศิษย์ของปราสาทนภาจึงคุ้นเคยกับพวกมันดี
ไม่นานตะขาบพักตราก็เห็นกลุ่มของพวกเขาและเริ่มคืบคลานเข้ามา
“เตรียมตัวต่อสู้!” กระเรียนพันขนตะโกนและชักดาบของเขาออกมา
ยวิ๋นซู่ซางและยวิ๋นซู่อีก็ใช้ดาบเช่นเดียวกัน แต่เฟิร์สเดย์ไม่ได้ชักอาวุธอะไรออกมา มือของเขาส่องสว่างด้วยแสงสีขาว เขาใช้มือตบลงบนพื้นและทิ้งรอยสีขาวเอาไว้ หลังจากนั้นจิตวิญญาณของเขาก็ปกคลุมทั่วทั้งบริเวณในระยะ 3 เมตร
เฟิร์สเดย์ตบใส่พื้นอีก 5 ครั้ง หลังจากนั้นเขาก็พูดอะไรบางอย่าง จิตวิญญาณของเขาแพร่ขยายออกไปสู่เท้าของหานเซิ่นและคนอื่นๆ ซึ่งมันช่วยเสริมพลังให้กับร่างกายของพวกเขา
‘เป็นจิตวิญญาณที่ทรงพลังอะไรอย่างนี้ มันเพิ่มพลังและความเร็วให้กับเราอย่างมาก’ หานเซิ่นหันไปมองที่เฟิร์สเดย์ เขารู้สึกประหลาดใจจริงๆที่บุดด้าคนนั้นสามารถทำอะไรแบบนี้ได้
เมื่อหานเซิ่นหันไปมองเขา เฟิร์สเดย์ก็หันหน้าหนีอย่างเขินอาย เขาพูด
“ข้าถูกส่งมาฝึกฝนที่นี่ตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยเหตุนั้นข้าจึงได้เรียนรู้มนตร์สัจธรรมของปราสาทนภา”
“มันยอดเยี่ยมมากๆ” หานเซิ่นพูด ตั้งแต่ที่หานเซิ่นถูกบังคับให้ทิ้งอัศวินผู้ไม่ภักดีเอาไว้เบื้องหลัง เขาก็ไม่ค่อยได้เห็นความสามารถในการเสริมพลังให้กับพวกพ้องแบบนี้
ยวิ๋นซู่ซางและกระเรียนพันขนยืนอยู่ภายในรัศมีที่เฟิร์สเดย์สร้างขึ้นมา ขณะที่ต่อสู้กับตะขาบพักตรา
ลมปราณจากดาบของพวกเขาดูเหมือนกับก้อนเมฆ พวกมันเคลื่อนไหวราวกับไหมในอากาศ มันทั้งเบาบางและแปลกประหลาด
ตะขาบพักตราถูกฆ่าโดยลมปราณดาบของพวกเขา เปลือกของพวกมันแตกหักและหลายตัวก็ตายในทันทีที่ถูกสัมผัส
ภายในถ้ำค่อนข้างแคบ และเนื่องจากยวิ๋นซู่ซางกับกระเรียนพันขนรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างสบายๆ หานเซิ่นจึงไม่ได้ช่วยอะไร
ยวิ๋นซู่อีต้องการจะต่อสู้ แต่เธอไม่สามารถทำได้ เธอคิดที่จะพูดอะไรบางอย่างกับหานเซิ่น ดังนั้นเธอจึงหันกลับหลังไป แต่เมื่อเธอมองไปที่มนตราที่ยืนอยู่ข้างๆหานเซิ่น มนตราก็เปลี่ยนปืนคู่ในมือให้กลายเป็นปืนไรเฟิล เธอชี้มันออกไปทางยวิ๋นซู่อีและเหนี่ยวไก
ยวิ๋นซู่อีตกตะลึง มนตราเคลื่อนไหวรวดเร็วเกินกว่าที่เธอจะตอบสนองได้ทัน เธอเห็นลูกกระสุนแสงพุ่งออกมาจากปืนไรเฟิลของมนตราและเฉี่ยวผ่านหน้าของเธอไป
ปัง!
กระสุนพุ่งไปโดนกำแพงหินที่อยู่ด้านหลังของเธอ พร้อมกับเกิดเสียงดังแสบแก้วหู
ยวิ๋นซู่อีหันกลับไปมองและเห็นกรงเล็บหยกยื่นออกมาจากกำแพง มันอยู่ห่างจากคอของเธอไปเพียงแค่ไม่กี่นิ้วเท่านั้น แต่มันแข็งทื่อไปซะก่อน
มันมีรอยกระสุนอยู่ในกำแพงหินและมีเลือดสีดำไหลออกมาจากรูนั้น
“ซีโน่เจเนอิคเอิร์อสูรกรงเล็บภูติหยกถูกฆ่า ยีนซีโน่เจเนอิคถูกค้นพบ”
เสียงประกาศดังขึ้นในหัวของหานเซิ่น แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รับวิญญาณอสูร
“ขอบคุณ” ยวิ๋นซู่อีมองหานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน
นี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่หานเซิ่นช่วยเธอเอาไว้ และครั้งนี้เขาก็สังหารอสูรกรงเล็บภูติหยกในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วและพลังของเขายากจะหาคนเทียบได้ในหมู่เอิร์ล