Super God Gene - ตอนที่ 1992
พิกกิ่งอัพ
ไม่นานหลังจากนั้นอวี้จิงก็กลับมาที่เกาะของหานเซิ่น พร้อมกับยีนซีโน่เจเนอิคทั้งหมด 23 ชิ้น
“ศิษย์น้องหาน เจ้าจะเอายีนซีโน่เจเนอิคมากมายขนาดนี้ไปทำอะไร? มันจะช่วยในการต่อสู้กับไผ่เดียวดายในวันพรุ่งนี้จริงๆอย่างนั้นหรอ?” อวี้จิงถามหานเซิ่น
“แน่นอนอยู่แล้ว พวกมันจะมีประโยชน์ต่อการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ และข้าจะชำระคืนให้กับเจ้าหลังจากที่การสอบจบลง” หานเซิ่นเก็บยีนซีโน่เจเนอิคเข้าไปในห้องของเขา
ยีนซีโน่เจเนอิคบางชิ้นนั้นขนาดเล็กพอๆกับปลายนิ้วมือ ส่วนบางชิ้นก็ใหญ่กว่าตัวของเขาซะอีก รวมทั้งหมดแล้วพวกมันกินเนื้อที่ภายในห้องถึงครึ่งหนึ่ง
โชคดีที่หานเซิ่นมีวิชาคอนซูมอยู่ ซึ่งถ้าเขาไม่มีล่ะก็ การจะกินพวกมันทั้งหมดในคืนเดียวก็คงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
หลังจากที่อวี้จิงไปแล้ว หานเซิ่นก็กลับเข้าไปในบ้านหินและเริ่มทำการต้มยีนซีโน่เจเนอิค
หานเซิ่นกินพวกมันทั้งหมดเข้าไป เขาได้ยินเสียงประกาศดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
“ยินซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ล +1”
หลังจากที่กินมันไปเรื่อยๆ หานเซิ่นก็นำยีนกลายพันธุ์ของตั๊กแตนโลหิตเทพออกมา เมื่อเขากินยีนซีโน่เจเนอิคไปได้ 17 ชิ้น มันก็ทำให้เขามียีนระดับเอิร์ลทั้งหมด 57 พ้อย ซึ่งยีนกลายพันธุ์ของตั๊กแตนโลหิตเทพก็ไม่ได้ส่งเสียงประกาศเตือนขึ้นมาอีก
“ในที่สุดเราก็กินมันได้” หานเซิ่นใส่มันเข้าไปในปากและกลืนมันเข้าไปในทันที จากนั้นเขาก็ใช้วิชาคอนซูมเพื่อย่อยมัน
ความร้อนไหวเวียนในร่างกายของหานเซิ่น และเช่นเดียวกับยีนกลายพันธุ์ของมดราชินี กระแสพลังของมันไหลเวียนผ่านเส้นเลือดของหานเซิ่นจนครบรอบ พลังของยีนกลายพันธุ์นั้นต้องใช้เวลานานกว่าที่จะดูดซับเข้าไปได้ แต่หลังจากผ่านไปสักพักหานเซิ่นก็ได้ยินเสียงประกาศดังขึ้นมา
“คุณได้รับวิชาจีโนซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ล : ยมทูตโลหิต”
หานเซิ่นเดินกระแสพลังตามนั้น และยมทูตควันสีแดงก็ปรากฏออกมา มันถือเคียวสีแดงอยู่ในมือ มันดูเหมือนกับยมทูตที่ปรากฏอยู่ด้านหลังของตั๊กแตนก่อนหน้านี้
ยมทูตสีแดงนั้นไม่ได้มีจิตใจเป็นของตัวเอง มันเป็นเพียงแค่ร่างพลังงานที่ถูกควบคุมโดยผู้ใช้วิชาเท่านั้น หานเซิ่นสามารถควบคุมมันได้ด้วยจิตใจของเขา มันทรงพลังยิ่งกว่าตอนที่ตั๊กแตนโลหิตเทพใช้มาก
หานเซิ่นเห็นว่าร่างของมันเกิดจากควันสีแดง ซึ่งเมื่อส่วนหนึ่งของร่างกายมันถูกทำลาย มันก็สามารถฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ได้เรื่อยๆ
“นี่เป็นวิชาที่น่าสนใจจริงๆ” หานเซิ่นสามารถทำ 2 อย่างได้ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นการจะควบคุมยมทูตสีแดงไปด้วยนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร นอกจากนั้นมันยังแข็งแกร่งกว่ามนตราซะอีก แต่ถึงพูดแบบนั้นมันก็สามารถใช้ได้เฉพาะการต่อสู้ระยะใกล้เท่านั้น แถมมันยังใช้พลังงานของตัวหานเซิ่น ทุกวินาทีที่หานเซิ่นใช้มัน เขาก็ต้องสูญเสียพลังงานไปเรื่อยๆ ดังนั้นเขาไม่สามารถใช้มันได้เป็นเวลานาน ถึงหานเซิ่นจะแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องเหนื่อยล้าอยู่ดี
ยีนซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลที่เหลือนั้นใหญ่เกินไป และเนื่องจากหานเซิ่นไม่มีเวลาจะกินพวกมัน ดังนั้นเขาจึงคิดจะคืนพวกมันให้กับอวี้จิง
การสอบยังคงเป็นที่สนใจเช่นเดียวกับวันอื่นๆ หลายคนยังคงมาดูการสอบด้วยความหวังที่จะได้เห็นไผ่เดียวดาบต่อสู้ แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่พิเศษกว่าวันอื่นๆ
อวี้จิงซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของอัฒจันทร์ เขาไม่ต้องการจะถูกพบโดยคนที่เขาเดิมพันด้วย
กระเรียนพันขน ยวิ๋นซู่ซาง ยวิ๋นซู่อีและเฟิร์สเดย์ต่างก็มาเพื่อดูหานเซิ่น จิตใจของยวิ๋นซู่อีนั้นยังคงเต็มไปด้วยความคิดที่ขัดแย้ง
เมื่อถึงเวลาที่ไผ่เดียวดายจะต่อสู้ เขาก็เดินขึ้นมาบนสนาม ซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคนเหมือนทุกครั้ง
ส่วนหานเซิ่นไม่ได้ดึงดูดสายตาของผู้ชมอะไร เขาแค่เดินออกมาอย่างปกติ
ทุกอย่างดูเหมือนจะดำเนินไปตามปกติ และนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกครั้งในการต่อสู้อื่นๆของไผ่เดียวดาย
เมื่อเห็นหานเซิ่นเดินเข้าไปหาไผ่เดียวดาย อวี้จิงที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของอัฒจันทร์ก็เหงื่อตกขึ้นมา เขาดูกังวลราวกับว่าตัวเขาเองที่กำลังจะเป็นคนต่อสู้
“ยาเฟิงโฮ่ว! กินพวกมันเข้าไป!” อวี้จิงไม่เห็นหานเซิ่นกินยาเข้าไป มันทำให้เขาอยากจะตะโกนออกมา
แต่หานเซิ่นไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น เขาแค่เดินไปตรงหน้าไผ่เดียวดาย และเมื่อเข้าไปในระยะสิบก้าว เขาก็ชักมีดออกมา
มีดสายลมของมีดเขี้ยวผีสิงคำรามออกมา ขณะที่พุ่งเข้าไปหาไผ่เดียวดาย
ไผ่เดียวดายมีดาบหยกอยู่ที่เอว แต่เขาไม่ได้ชักมันออกมา เขาใช้มือซ้ายที่เป็นเหมือนหยกฟันใส่หานเซิ่นราวกับใบมีด เขาเล็งไปยังมีดลมที่พุ่งเข้ามา
ปัง!
มีดลมสีม่วงปะทะเข้ากับมีดลมที่มองไม่เห็นในอากาศ พลังทั้ง 2 ระเบิดออกเป็นเศษเล็กๆน้อยๆจำนวนมากที่กระจัดกระจายไปทั่วสนามประลอง
พื้นหินถูกตัดขาดโดยเศษของมีดลมจนไม่สามารถทนต่อแรงกดดันได้อีกต่อไป และเริ่มจะแตกร้าว พื้นหินกระเด็นขึ้นมาและถูกตัดในอากาศจนแตกกระจายไปทั่ว
เคร๊ง!
ท่ามกลางหินและมีดลม พวกเขาทั้งคู่ก็เริ่มจะเคลื่อนไหว หานเซิ่นสวมใส่ชุดเกราะมนตราอยู่ ขณะที่ไผ่เดียวดายสวมใส่ชุดเกราะหยก มีดลมของพวกเขาทั้งคู่ปะทะกันด้วยความเร็วสูง
มีดลมกระจัดกระจายไปทั่ว และพื้นก็แตกร้าวจนสนามประลองดูเหมือนกับว่าพร้อมจะพังทลายได้ทุกเมื่อ ผู้ชมที่นั่งอยู่ใกล้ๆเริ่มจะถอยออกไปห่างๆ
ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าการต่อสู้ในระดับนี้จะปะทุขึ้นมาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง
ดยุก 4 คนเข้ามานั่งที่ 4 มุมของสนามประลองและสร้างม่านพลังครอบสนามประลองเอาไว้
“ลูกศิษย์ของอี๋ซาไม่ธรรมดาจริงๆ เขาน่าประทับใจไม่ต่างไปจากนางเลย”
ในปราสาทนภาชายผมสีขาวคนหนึ่งกำลังมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
สายตาของผู้ชมหลายคนไม่สามารถมองตามการต่อสู้อันรวดเร็วได้ทัน พลังของพวกเขาพุ่งออกมาทุกหนทุกแห่ง แต่ท่ามกลางพวกมันนั้น พวกเขาไม่สามารถเห็นหานเซิ่นหรือไผ่เดียวดายได้เลย
“ว้าว! ข้าคิดว่าหานเซิ่นคนนั้นจะอ่อนแอซะอีก เขาถูกแบกเข้าไปในปราสาทนภาไม่ใช่หรอ? ทำไมเขาถึงได้แข็งแกร่งถึงขนาดนี้?”
“วิชามีดเขี้ยวดาบนั้นช่างทรงพลังจริงๆ”
“ไม่แปลกใจเลยที่เขาเป็นลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีด ข้ารู้อยู่แล้วว่ายอดฝีมืออย่างนางไม่มีทางรับคนที่อ่อนแอมาเป็นลูกศิษย์”
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันนั้น มีดสายลมในสนามประลองก็หายไป หานเซิ่นและไผ่เดียวดายยังคงยืนอยู่ห่างกัน 10 ก้าวเหมือนเดิม สนามประลองถูกทำลายจนย่อยยับราวกับว่ามันเพิ่งจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้น
“วิชามีดเขี้ยวดาบทรงพลังสมคำล่ำลือ” ไผ่เดียวดายพูด
“วิชามีดของเจ้าเองก็ไม่เลวเช่นกัน” หานเซิ่นพูด
“ในตอนที่ข้าอยู่ในความฝันที่ 1964 ข้าเป็นนักมีด ข้าต้องการจะเป็นอันดับที่หนึ่ง ข้าจึงโจมตีทุกคนที่เห็น แต่ข้าก็ถูกฆ่าตายในวงล้อม วิชามีดนี้มีชื่อว่าพิกกิ่งอัพ ข้าคิดค้นมันขึ้นมา” ไผ่เดียวดายพูดอย่างสงบนิ่ง