Super God Gene - ตอนที่ 2141
เมื่อสถานหยกขาวปิดลงแล้ว หานเซิ่นก็เดินทางไปที่เกาะความฝันเพื่อรับตัวเป่าเอ๋อ ก่อนที่หานเซิ่นจะเดินทางไปที่โฮลี่เฮฟเว่น เขาได้ส่งเป่าเอ๋อไปที่เกาะความฝัน ภายใต้การปกป้องของดรีมบีสต์ เขามั่นใจว่ามันจะไม่มีอะไรมารบกวนเธอ
“พ่อ!” เป่าเอ๋อกระโดดเข้าหาหานเซิ่นในทันทีที่ได้เห็นเขา
หลังจากที่ขอบคุณดรีมบีสต์ที่ช่วยคุ้มครองเป่าเอ๋อ หานเซิ่นก็พาเป่าเอ๋อกลับไปที่เกาะของเขา
“อี๋ซาเคยบอกเอาไว้ว่าปราสาทนภาจะช่วยให้เราไปถึงระดับมาร์ควิส แต่มันเป็นเรื่องยากอย่างมากในการจะพัฒนาเรื่องราวของยีนขึ้นไปสู่ระดับมาร์ควิส และหลังจากที่กลายเป็นมาร์ควิสได้แล้ว เราจะไปหาทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อพัฒนาไปสู่ระดับดยุกและราชันต่อได้ยังไง?”
เรื่องราวของยีนเริ่มทำให้หานเซิ่นปวดหัว มันใช้ทรัพยากรมากเกินไป นอกจากนั้นเขายังไม่ได้เห็นพลังที่มันจะมอบให้กับเขา
ขณะที่หานเซิ่นกำลังอยู่ท่ามกลางการวางแผนอนาคต เขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกชื่อเขามาจากด้านนอก พี่น้องยวิ๋นและกระเรียนพันขนแวะมาเยี่ยมเขา
หานเซิ่นจึงเชิญพวกเขามานั่งที่โต๊ะใกล้ๆกับต้นไม้แก่
“ที่จริงแล้วข้ากำลังจะแวะไปหาพวกเจ้าอยู่เลย” หานเซิ่นพูดขณะที่เริ่มเสิร์ฟน้ำชา
ยวิ๋นซู่อียิ้มและพูด “พวกเราไม่ได้มาที่นี่ด้วยความตั้งใจของพวกเราเอง พวกเรามาที่นี่เพื่อนำคำพูดของท่านพ่อมาบอกกับเจ้า เจ้าเหลือเวลาไม่มากแล้ว”
“เหลือเวลาไม่มากอะไร?” หานเซิ่นประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“เวลาที่เจ้าต้องสอนในสนามฝึก” ยวิ๋นซู่ซางยิ้ม
“โอ้! นี่ข้าลืมไปซะสนิทเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะไปที่นั่นตั้งแต่เช้าตรู่เลย”
หานเซิ่นจำได้ว่าก่อนหน้านี้เขาตั้งใจจะไปทำการสอน แต่เกิดเหตุการณ์ที่เหนือการควบคุมซะก่อน ทำให้เขาต้องไปจากปราสาทนภา
“ศิษย์น้องหาน เจ้าคิดจะสอนเรื่องอะไรอย่างนั้นหรอ?” กระเรียนพันขนถาม
“ข้าคิดจะสอนวิชาผนึกมาร” หานเซิ่นพูด
“เจ้าจะพูดเกี่ยวกับวิชาผนึกมารอย่างนั้นหรอ?” กระเรียนพันขนและคนอื่นๆดูแปลกใจที่ได้ยินแบบนั้น
“นั่นเป็นความคิดที่แย่อย่างนั้นหรอ? หรือว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ได้รับอนุญาตให้พูด?” หานเซิ่นถามด้วยสีหน้าที่สับสน
“แน่นอนว่าเจ้าพูดเกี่ยวกับมันได้ แต่ว่า”
กระเรียนพันขนเงียบไป ราวกับว่าเขาไม่ต้องการจะพูดอะไรบางสิ่งที่ทำร้ายจิตใจของหานเซิ่น
ยวิ๋นซู่อีจึงแทนเขา “แต่วิชาผนึกมารเป็นอะไรที่สอนยาก นอกจากนั้นมันมีอาจารย์คนหนึ่งที่พูดเกี่ยวกับวิชาผนึกมารอยู่แล้ว แถมเขายังเก่งกาจในวิชานั้นมากๆอีกด้วย”
“เขาเป็นยอดฝีมือระดับราชันอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
“ไม่ใช่ เขาเป็นดยุกจากรุยบีสต์ เขามีพรสวรรค์ในพลังผนึกมาร ด้วยเหตุนั้นวิชาผนึกมารของเขาจึงเหนือกว่าคนอื่น และพวกผู้อาวุโสก็มักจะให้เขาเป็นคนพูดถึงเรื่องวิชาผนึกมาร” กระเรียนพันขนพูด
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดเรื่องอื่นล่ะกัน” หานเซิ่นรู้สึกลำบากใจขึ้นมา เขาไม่มีวิชาอื่นที่จะใช้สอนได้
หานเซิ่นมีวิชาจีโนหลายตัว แต่พวกมันทั้งหมดเป็นความลับ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่รู้เลยว่าควรจะพูดเรื่องอะไรดี
“ศิษย์น้องหาน พวกเราจะไปเข้าร่วมบทเรียนของเจ้าในวันพรุ่งนี้”
ก่อนที่กระเรียนพันขนและคนอื่นจะจากไป พวกเขาได้วางแผนว่าจะไปพบกับหานเซิ่นที่สนามฝึกในวันถัดไป
แต่หานเซิ่นยังคงไม่รู้ว่าควรจะสอนเรื่องอะไรดี เขามีแผนจะถามไปศิษย์ของปราสาทนภาที่มาฟังว่าพวกเขาอยากจะฟังเรื่องอะไร
เมื่อบรรดาศิษย์ของปราสาทนภาได้ยินว่าหานเซิ่นจะมาทำการสอน ผู้คนมากมายก็ตั้งใจจะไปที่สนามฝึก แม้แต่เฟเธอร์อย่างแองเกียก็ยังตัดสินใจจะมาฟัง พวกเขาอยากรู้ว่าหานเซิ่นจะมาสอนเรื่องอะไร
หานเซิ่นพาเป่าเอ๋อขึ้นไปบนเวทีร่วมกับเขา และเมื่อเขาเห็นผู้คนมากมายด้านล่าง เขาก็รู้สึกแปลกใจ ผู้ชมที่มานั้นเยอะจนที่นั่งไม่พอ ทำให้หลายคนจำเป็นต้องยืนฟัง
หานเซิ่นและไผ่เดียวดายถูกพูดถึงในฐานะปรมาจารย์แห่งมีดและดาบ ศิษย์ของปราสาทนภาจึงสนใจในวิชาจีโนของหานเซิ่นเป็นอย่างมาก และมันไม่ใช่แค่คนระดับต่ำเท่านั้นที่มาฟังหานเซิ่น ในวันนี้แม้แต่มาร์ควิสก็มาเข้าฟังด้วยเช่นกัน
กระเรียนพันขนและพี่น้องยวิ๋นหาที่นั่งแถวหน้า หานเซิ่นพยักหน้าให้กับพวกเขาเพื่อทักทาย เนื่องจากเขาเป็นอาจารย์บนเวที ดังนั้นมันไม่เหมาะสมที่เขาจะไปพูดทักทายกับเพื่อนๆ
“ศิษย์น้องหาน เจ้าจะสอนเรื่องอะไรอย่างนั้นหรอ?” อวี้จิงตะโกนขึ้นมาจากแถวหน้า
“ทุกคนอยากจะฟังเรื่องอะไรกัน? ถ้ามันมีเรื่องที่ทุกคนสนใจล่ะก็ ข้าจะรับฟังคำขอของทุกคน” หานเซิ่นถาม เขาหวังว่าใครสักคนในบรรดาผู้ชมจะมีความคิดดีๆ
“วิชาดาบ! พวกเราอยากฟังเกี่ยวกับวิชาดาบ!”
“ใครต้องการวิชาดาบ? ศิษย์น้องหานควรจะสอนวิชามีดต่างหาก”
“ทำไมไม่พูดทั้ง 2 อย่างพร้อมกันเลย เพราะศิษย์น้องหานถูกเรียกว่าเป็นปรมาจารย์แห่งมีดและดาบ”
ผู้ชมเริ่มโต้เถียงกัน แต่ละคนก็มีความคิดของตัวเอง ซึ่งมันทำให้หานเซิ่นไม่สามารถตัดสินใจได้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ข้ามีข้อเสนอข้อหนึ่ง ถ้าเป็นไปได้ เจ้าคิดว่าจะสอนวิชาผนึกมารให้กับพวกเราได้ไหม?” เสียงของอวี้จิงดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงตะโกนของเขาดึงดูดความสนใจของทุกคน
“มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะฟังเรื่องนั้น? พวกเราเคยฟังมันมาตั้งหลายครั้งแล้ว แต่มันเป็นอะไรที่ฝึกยากเกินไป” ผู้ชมหลายคนเริ่มโต้เถียงกันอีกครั้ง
มันมีผู้คนมากมายที่อยากจะฝึกวิชาผนึกมาร แต่ทว่ามันเป็นอะไรที่ยากเกินไป เนื่องจากมันเป็นวิชาจีโนที่ขึ้นชื่อเรื่องความนานในการเรียนรู้ ดังนั้นการสอนเกี่ยวกับมันจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก
“วิชาผนึกมารเป็นข้อเสนอที่ดี” ขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันนั้นก็มีเสียงดังก้องผ่านอากาศเข้ามา
มันไม่ได้ดังอะไร แต่ทุกคนสามารถได้ยินมันอย่างชัดเจน นอกจากนั้นมันยังเป็นเสียงที่คุ้นเคย
ทุกคนหันไปทางเสียงนั้นและเห็นว่าคนที่พูดขึ้นมาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นไผ่เดียวดายที่กำลังยืนอยู่ที่มุมๆหนึ่ง
อวี้จิงดูค่อนข้างอับอาบที่ทุกคนปฏิเสธข้อเสนอของเขาไป แต่ตอนนี้เขาตื่นเต้นอย่างมาก
“ดูสิ! แม้แต่ศิษย์พี่ไผ่เดียวดายก็อยากจะฟังเกี่ยวกับวิชาผนึกมาร เพราะอย่างนั้นข้าจึงอยากให้ศิษย์น้องหานช่วยสอนวิชาผนึกมารให้กับพวกเรา”
“มาคิดดูอีกที วิชาผนึกมารก็ฟังดูไม่เลว”
“ข้าเคยได้ฟังการบรรยายเกี่ยวกับวิชาผนึกมารมาหลายครั้งแล้ว แต่ถ้ามันมาจากศิษย์น้องหานล่ะก็ มันต้องเป็นอะไรที่พิเศษ พวกเราควรจะลองฟังศิษย์น้องหานพูดเกี่ยวกับวิชาผนึกมารดู”
“แม้แต่ศิษย์พี่ไผ่เดียวดายก็ยังอยากจะฟังเกี่ยวกับวิชาผนึกมารจากศิษย์น้องหาน ดังนั้นมันต้องแตกต่างจากการบรรยายของคนอื่นอย่างแน่นอน”
ตอนนี้ผู้ชมที่ถกเถียงกันจู่ๆก็หันมาเข้าข้างกัน พวกเขาจะฟังหานเซิ่นพูดเกี่ยวกับวิชาผนึกมาร
นั่นเป็นเพราะตั้งแต่ตื่นขึ้นจากฝันร้าย ไผ่เดียวดายก็ไม่เคยมาที่สนามฝึกเพื่อฟังบรรยายมาก่อน ตอนนี้เมื่อไผ่เดียวดายต้องการจะฟังหานเซิ่นพูดเกี่ยวกับวิชาผนึกมาร ทุกคนจึงคิดว่าวิชาผนึกมารของหานเซิ่นต้องเป็นอะไรที่พิเศษ
เมื่อเห็นว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกัน หานเซิ่นก็เลยตอบตกลง
“โอเค ข้าจะสอนเรื่องวิชาผนึกมาร แต่ความเชี่ยวชาญในวิชาผนึกมารของข้าไม่ใช่อะไรที่พิเศษ แค่ฟังและอย่าได้ไปคิดอะไรมันจริงจังเกินไป ที่ข้ากำลังจะพูดเป็นเพียงแค่คำแนะนำเท่านั้น”