Super God Gene - ตอนที่ 2600
หานเซิ่นไม่เชื่อ และเขาก็ไม่คิดจะทำการทดสอบตามที่อวี้ซ่านซินเสนอ ถึงเขาอยากจะช่วยไผ่เดียวดาย แต่เขาก็ไม่คิดจะไปเข้าร่วมกับเผ่าเวรี่ไฮแทนไผ่เดียวดาย
เมื่อเห็นหานเซิ่นจากไป อวี้ซ่านซินก็ยิ้มออกมา เขาไม่ได้โกรธอะไรที่หานเซิ่นปฏิเสธ
เมื่อกลับมาถึงเกาะหยกของตัวเอง หานเซิ่นก็ทำการดูดซับยีนระดับราชันต่อ เขาต้องการพัฒนาเรื่องราวของยีนให้ถึงขั้นที่ 9 ให้เร็วที่สุด
หานเซิ่นเรียกกู่ชิงเฉิงมาเพื่อปรึกษาเรื่องของไผ่เดียวดาย กู่ชิงเฉิงฟังเรื่องราวและพูด
“อวี้ซ่านซินพูดถูก มันไม่สำคัญว่าใครจะไป แต่ปราสาทนภาจำเป็นต้องส่งใครสักคนไปที่เผ่าเวรี่ไฮ”
“ปราสาทนภามีผู้คนอยู่มากมาย มันจำเป็นด้วยหรอที่ต้องให้ฉันไป?” หานเซิ่นพูด
กู่ชิงเฉิงส่ายหัว “มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น ผู้นำปราสาทนภาคงจะไม่ส่งลูกศิษย์คนโปรดไปขังเอาไว้โดยไม่มีเหตุผล ฉันไม่คิดว่าปราสาทนภาจะเลือกส่งใครไปก็ได้ พวกเขาจำเป็นต้องเลือกคนที่จะทำให้เผ่าเวรี่ไฮสนใจ ไม่อย่างนั้นการแลกเปลี่ยนก็จะไม่ได้ผล และนั่นเป็นเหตุผลที่อวี้ซ่านซินพยายามที่จะโน้มน้าวนาย”
“ฉันไม่ได้โง่ ฉันจะไม่ไป ถึงแม้พวกเขาจะมาเชิญฉันด้วยตัวเอง” หานเซิ่นพูดพร้อมกับเบะปาก
“ไม่ใช่แบบนั้น สำหรับคนทั่วไปการไปที่เผ่าเวรี่ไฮถือเป็นโอกาสครั้งใหญ่ พวกเขาต่างหากก็ต้องทำการขอร้อง นายกับไผ่เดียวดายเป็นคนพิเศษ ถ้าพวกนายไม่พิเศษ ฉันก็ไม่คิดว่าเผ่าเวรี่ไฮจะสนใจ” กู่ชิงเฉิงยิ้มขณะที่พูดออกมา
“มันไม่มีหนทางอื่นเลยอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับปราสาทนภา ถ้าพวกเขาไม่อยากจะผิดข้อตกลงกับเผ่าเวรี่ไฮ พวกเขาก็ต้องส่งใครสักคนไปไม่ว่ายังไงก็ตาม”
พวกเขาทั้ง 2 พูดคุยกันต่ออีกสักพัก แต่พวกเขาไม่สามารถคิดหาไอเดียอะไรได้ พลังของพวกเขาไม่เพียงพอจะต่อกรกับเผ่าเวรี่ไฮ ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะพยายามจะทำอะไร มันก็ไม่ได้ผล
“ถ้าไผ่เดียวดายยังไม่ถูกพาตัวไป นั่นก็หมายความว่ายังพอจะเจรจากันได้ พวกเราต้องหาหนทางที่จะเจรจากับพวกเขา” หานเซิ่นพยายามคิดหาหนทางที่จะช่วยไผ่เดียวดาย
..
“หานเซิ่น มันจะมีการประชุมร่วมกับเผ่าเวรี่ไฮ เจ้าอยากจะเข้าร่วมไหม?” ยวิ๋นซู่อีมาหาหานเซิ่นที่เกาะและถามด้วยสีหน้าที่ดูโกรธ
“การประชุมอะไร?” หานเซิ่นถามอย่างสับสน เขาพักฟื้นอยู่ที่เกาะ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ยินเกี่ยวกับการประชุม
ยวิ๋นซู่อีอธิบาย “คนหนุ่มสาวของเผ่าเวรี่ไฮและเผ่านภาจะมาพูดคุยแลกเปลี่ยนวิชาจีโนกัน พวกเขาพูดว่าจะเป็นการอภิปราย แต่ดูเหมือนจะเป็นการพูดของเผ่าเวรี่ไฮขณะที่พวกเราแค่นั่งฟังซะมากกว่า”
“พวกเขาจะพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไร?” หานเซิ่นถามด้วยความอยากรู้
“วิชาจีโนของเผ่าเวรี่ไฮนั้นกว้างขวางไร้ขอบเขต พวกเขารู้วิชาจีโนของเผ่าพันธุ์ต่างๆมากมาย ดังนั้นพวกเขาจะพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ได้”
“พวกเขาเก่งขนาดนั้นเลย? ถ้าอย่างนั้นบางทีฉันควรจะไปฟังซะหน่อย”
หานเซิ่นไม่ได้ต้องการไปฟังเกี่ยวกับวิชาจีโนจริงๆ เขาแค่ต้องการยืนยันว่าเอ็กซ์ควิสิทคนนี้เป็นคนเดียวกับที่เขาเจอในคอร์แอเรียหรือเปล่า
พวกเขากำหนดเวลาที่จะพบกัน คืนต่อมาหานเซิ่นก็พาเป่าเอ๋อและกู่ชิงเฉิงไปด้วย เขาไปพบกับยวิ๋นซู่อีและคนอื่นๆจากปราสาทนภาก่อนที่จะไปยังสถานที่จัดการประชุม
การประชุมถูกจัดบนเกาะพันทะเลสาบ เกาะนั่นเป็นอะไรที่แปลกประหลาด ศูนย์กลางของมันเป็นทะเลสาบและน้ำของทะเลสาบก็ไหลออกมายังระดับที่ต่ำกว่าของเกาะอยู่ตลอดเวลา ทั้งเกาะดูเหมือนกับชั้นลาดเอียงของทะเลสาบหลายชั้น
เผ่าเวรี่ไฮจัดการประชุมที่ศูนย์กลางของทะเลสาบ มันมีเวทีดอกบัวขนาดพอๆกับสนามฟุตบอลอยู่ มันลอยอยู่ที่ใจกลางทะเลสาบและมันก็มีศาลาจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่รอบๆดอกบัว
เมื่อหานเซิ่นไปถึง สถานที่ประชุมก็เต็มไปด้วยศิษย์ของปราสาทนภา ศิษย์ส่วนใหญ่จะนั่งฟังจากศาลาเท่านั้น มีเฉพาะศิษย์ชั้นสูงที่จะได้ขึ้นไปนั่งบนเวทีดอกบัวและพูดคุยกับเผ่าเวรี่ไฮได้โดยตรง
พวกเขาพูดว่าจะนั่งที่เดียวกับคนอื่นๆ แต่จริงๆแล้วเผ่าเวรี่ไฮเลือกจะนั่งที่ใจกลางของเวทีดอกบัว ส่วนศิษย์ของปราสาทนภาได้แค่นั่งอยู่ด้านข้างเท่านั้น และมันมักจะเป็นศิษย์ของปราสาทนภาที่ถามคำถาม ขณะที่เผ่าเวรี่ไฮเป็นคนตอบ พวกเขาเป็นเหมือนกับอาจารย์ที่กำลังตอบคำถามของลูกศิษย์
กระเรียนพันขนและพี่น้องยวิ๋นพาหานเซิ่นไปที่เวทีดอกบัว ศิษย์ของปราสาทนภาทุกคนรู้จักหานเซิ่น พวกเขาทักทายหานเซิ่นและให้หานเซิ่นนั่งในตำแหน่งที่ดีที่สุด
หานเซิ่นอยากจะหาที่สงบๆเพื่อนั่งลง แต่ผู้คนตื่นเต้นที่ได้เห็นเขา ศิษย์ของปราสาทนภาขอให้เขาไปนั่งข้างหน้า หานเซิ่นจึงไม่สามารถปฏิเสธได้ เขาจำใจต้องนั่งลงในสถานที่ที่เป็นจุดเด่น
มันไม่ใช่ว่าศิษย์ของปราสาทนภาบังคับเขาอย่างจงใจ ทุกคนรู้เกี่ยวกับการต่อสู้ของหานเซิ่นกับเหมิงเลี่ยในระบบจักรวาลเคออส มันไม่มีใครในปราสาทนภาที่ไม่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนั้น เขาเป็นระดับราชันที่สามารถเอาชนะเหมิงเลี่ยได้ ดังนั้นเขาจึงคู่ควรกับที่นั่งอันดับหนึ่งเหนือกว่าศิษย์ของปราสาทนภาที่เป็นระดับราชันหรือครึ่งเทพ
แถมหานเซิ่นยังค่อนข้างมีชื่อเสียงในปราสาทนภา เขาและไผ่เดียวดายถูกเรียกว่าเป็นปรมาจารย์แห่งมีดและดาบ ถ้าไผ่เดียวดายไม่ได้อยู่ที่นี่ แบบนั้นมันก็เป็นเรื่องปกติที่หานเซิ่นจะได้นั่งในตำแหน่งที่มีเกียรติที่สุด
ไม่นานหลังจากนั้นทั้ง 2 ข้างของเวทีดอกบัวก็เต็มไปด้วยศิษย์ของปราสาทนภา แต่ที่นั่งตรงศูนย์กลางยังว่างอยู่
“นี่เผ่าเวรี่ไฮนี่คิดว่าตัวเองสูงส่งมากนักหรือยังไง?” ศิษย์ของปราสาทนภาคนหนึ่งถามขึ้นมา มันเป็นเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับไผ่เดียวดาย ทำให้ศิษย์ของปราสาทนภาไม่ชอบคนของเผ่าเวรี่ไฮ การประชุมในครั้งนี้ไม่ได้ดูเป็นมิตรเหมือนกับครั้งก่อนๆ แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยเกี่ยวกับเผ่าเวรี่ไฮอยู่นั้น มันก็มีรถม้าหยกสีขาวบินเข้ามา อสูรหยกที่ลากรถม้ามาดูเหมือนกับเสือชนิดหนึ่ง พวกมันเกือบจะดูเหมือนกับมาสคอต เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษ
ในตอนที่หานเซิ่นมองเห็นพวกมัน เขาก็ประหลาดใจ เขาไม่รู้ว่าอสูรหยกเป็นสายพันธุ์ไหนกันแน่ แต่เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตของพวกมัน เขาก็บอกได้ทันทีว่าพวกมันเป็นระดับเทพเจ้า พวกมันมีอยู่ด้วยกัน 6 ตัว หานเซิ่นรู้สึงสงสัยว่าเผ่าเวรี่ไฮแข็งแกร่งถึงขนาดไหนกันถ้านี่เป็นแค่พาหนะของพวกเขา
การสันนิษฐานของหานเซิ่นที่คิดว่ารถม้านี้เป็นของเอ็กซ์ควิสิทนั้นผิดไป มันเป็นเป็นรถม้าที่ถูกใช้โดยสมาชิกเผ่าเวรี่ไฮเมื่อไปเยี่ยมเยียนเผ่าพันธุ์อื่นๆ เวรี่ไฮหลายๆคนนั้นใช้มัน ดังนั้นมันไม่ได้เป็นของใครโดยเฉพาะ รถม้าถูกลากจนมาถึงเวทีดอกบัว และที่นั่นประตูของรถม้าหยกก็เปิดออกมา ชายหญิงคู่หนึ่งเดินออกมา
เป็นอย่างที่หานเซิ่นคิด ผู้หญิงคนนั้นคือเอ็กซ์ควิสิทพี่สามของหลี่เคอเอ๋อจริงๆ แต่ครั้งนี้หลี่เคอเอ๋อไม่ได้มาด้วย มันเป็นผู้ชายคนหนึ่ง
พวกเขาเดินไปตรงที่นั่งหลักและโค้งคำนับต่อหน้าทุกคน คนผู้ชายพูดขึ้นว่า
“ขอโทษที่ทำให้พวกเจ้าต้องรอ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว พวกเราก็มาเริ่มกันเลย ถ้าใครมีคำถามก็เชิญถามมาได้เลย พวกเรายินดีจะตอบคำถามของทุกคนในที่นี่”
‘เขาดูอวดดีจริงๆ พวกเขาบอกว่านี่เป็นการแลกเปลี่ยนวิชา แต่มันฟังดูเหมือนกับอาจารย์กำลังพูดกับลูกศิษย์ซะมากกว่า’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
หลังจากนั้นเอ็กซ์ควิสิทและเวรี่ไฮหนุ่มก็นั่งลง คนผู้ชายมองไปที่เหล่าศิษย์ของปราสาทนภา
เขาเห็นหานเซิ่นที่นั่งอยู่หน้าสุดและกู่ชิงเฉิงที่นั่งถัดไป
เมื่อชายคนนั้นมองไปที่กู่ชิงเฉิง ใบหน้าของเขาก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ เขาจ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะดึงสายตาไปทางอื่น