Super God Gene - ตอนที่ 3041 ขุดไข่ยีน
โอเวอร์แบริ่งบั๊กที่เป็นยีนเรซระดับราชันนั้นตัวระเบิดโดยหมัดของหานเซิ่น เปลือกของมันกระจัดกระจายไปทั่ว และเลือดของมันก็ย้อมบริเวณรอบๆเป็นสีแดง
ความเงียบเข้าปกคลุมลานกว้างแห่งนั้น แม้แต่นกก็ไม่กล้าจะส่งเสียงร้องออกมา ดวงตาของทุกคนเบิกกว้าง พวกเขาแข็งทื่อไปขณะที่มองหานเซิ่นที่อยู่ในวิหารพระเจ้า
โอเวอร์แบริ่งบั๊กนั้นเป็นยีนเรซระดับราชัน ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดของยีนเรซ ถึงแม้โอเวอร์แบริ่งบั๊กจะยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่พลังของมันก็เหนือกว่ายีนเรซส่วนใหญ่
ถึงอย่างนั้นโอเวอร์แบริ่งบั๊กที่แข็งแกร่งก็ตัวระเบิดโดยหมัดเพียงหมัดเดียว
ทุกคนเริ่มจะมองหานเซิ่นอย่างแปลกๆ พวกเขามองหานเซิ่นเหมือนกับว่าพวกเขากำลังมองไปที่สัตว์ประหลาด
ถ้าพวกเขาไม่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตาตัวเอง พวกเขาไม่มีทางเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นจริงๆ
ซือป๋อดูตกใจในตอนแรก แต่หลังจากนั้นความโกรธก็เข้าครอบงำตัวเขา เขารู้สึกโกรธ เกลียดชังและเคียดแค้น แต่ท่ามกลางอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นเขายังรู้สึกหวาดกลัว มันเป็นความรู้สึกที่ฝังลึกเข้าไปในหัวใจของเขา
หานเซิ่นไม่ได้ใช้โลหิตชีพจรเทพสปิริต เขาใช้แค่หมัดๆเดียวเพื่อจะฆ่ายีนเรซระดับราชัน ซือป๋อนั้นไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ซือป๋อไม่เคยคาดฝันว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้
เมื่อเห็นหานเซิ่นก้าวออกมาข้างหน้า ซือป๋อก้าวถอยออกไปด้านหลังโดยสัญชาตญาณ หน้าผากของเขามีเหงื่อไหลออกมา เขาถามอย่างตื่นตระหนก “เจ้าต้องการจะทำอะไร?”
หานเซิ่นหันไปมองซือป๋ออยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเลิกสนใจและเดินผ่านไป ผู้คนในลานกว้างนั้นรีบถอยออกไปเพื่อเปิดทางให้กับหานเซิ่น
หานเซิ่นเคยชินกับสถานการณ์แบบนี้ ดังนั้นเขาไม่ได้สนใจอะไร เขาเดินจากไปท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองมาที่เขา ราวกับว่าพวกเขากำลังมองเห็นผี
มิสเตอร์หยางกัดฟันและรีบตามหานเซิ่นไป ไม่มีใครกล้าเข้ามาหยุดพวกเขา แม้แต่ซือป๋อหรือทหารของเมืองก็ไม่กล้าจะพูดอะไรขึ้นมา
นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หานเซิ่นเป็นบุคคลที่สามารถทำลายโอเวอร์แบริ่งบั๊กในหมัดเดียว แบบนั้นใครมันจะกล้าเสี่ยงชีวิตเพื่อหยุดเขาเอาไว้? เพียงแค่มองไปที่เศษซากของโอเวอร์แบริ่งบั๊กที่กระจัดกระจายไปทั่ว มันก็ทำให้ทุกคนนั้นขาอ่อนลงไป
“น่าสนใจ โดยไม่ใช้ยีนเรซ เขาก็ระเบิดร่างของโอเวอร์แบริ่งบั๊กได้ในหมัดเดียว นั่นหมายความเขามีโลหิตชีพจรติดตัวตั้งแต่กำเนิดอย่างนั้นหรอ?” พีชฟูลที่มองดูสถานการณ์จากระยะไกลมีสีหน้าแปลกๆ
นอกจากมนุษย์ที่มีโลหิตชีพจรตั้งแต่กำเนิดแล้ว พีชฟูลไม่สามารถคิดหาเหตุผลอื่นมาอธิบายได้ว่าทำไมคนๆหนึ่งถึงทรงพลังขนาดนี้
“คนของเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อตที่มีโลหิตชีพจรตั้งแต่กำเนิด นี่เป็นอะไรที่แปลก เราต้องนำเรื่องนี้กลับไปรายงาน” เมื่อหานเซิ่นหายลับไปแล้ว พีชฟูลก็รีบออกไปจากลานกว้าง
มิสเตอร์หยางรู้สึกโล่งใจมากๆ โชคดีที่หานเซิ่นไม่ได้ชกซือป๋อให้แหลกสลายกลายเป็นผุยผง ไม่อย่างนั้นมันก็คงจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ยิ่งกว่านี้
ถึงอย่างนั้นสถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่ได้ดีอะไรมากนัก โอเวอร์แบริ่งบั๊กเป็นยีนเรซหายากที่มีอยู่แค่ไม่กี่ตัวในเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อต ตอนนี้เมื่อหานเซิ่นฆ่ามันตาย เจ้าเมืองก็คงจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ
มิสเตอร์หยางบอกหานเซิ่นเกี่ยวกับความกังวลของเขา แต่หานเซิ่นแค่ยิ้มและพูด “นั่นไม่เป็นปัญหาอะไร ถ้าพวกเขาต้องการจะมา ก็ให้พวกเขามา”
หานเซิ่นไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย ถึงพลังของเขาจะถูกจำกัดโดยกฎของโลกใบนี้ ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถใช้พลังของตัวเองได้อย่างเต็มที่ แต่เขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าเจ้าเมืองคนหนึ่งมาก
หานเซิ่นมองไปที่มิสเตอร์หยางและถามด้วยความอยากรู้
“ว่าแต่มิสเตอร์หยาง นี่ข้าจะไปหายีนเรซได้จากที่ไหนอย่างนั้นหรอ? และข้าจะใช้ยีนเรซได้ยังไงกัน?”
“ยีนเรซจะฝักออกมาจากไข่ยีน และโดยปกติไข่ยีนจะมาจากใต้ดินที่ไหนสักแห่ง ไม่ว่าใครคนไหนก็มียีนเรซได้ แต่มีแค่มนุษย์ที่ได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริตเท่านั้นที่จะรวมโลหิตชีพจรกับยีนเรซได้” มิสเตอร์หยางพูด
“ข้าจะรวมโลหิตชีพจรได้ยังไง?” หานเซิ่นรู้สึกสนใจยิ่งกว่าเดิม
มิสเตอร์หยางมีรอยยิ้มแห้งๆ เขาส่ายหัวและพูด “ข้าไม่มีโลหิตชีพจรเทพสปิริต ข้าคงจะแสดงให้นายท่านดูไม่ได้ ข้ารู้แค่ว่าการรวมโลหิตชีพจรกับยีนเรซจะทำให้คนๆนั้นใช้พลังของยีนเรซได้ ยิ่งโลหิตชีพตรเทพสปิริตของคนๆนั้นแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะรวมโลหิตชีพจรของยีนเรซได้สำเร็จก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น”
“ยกตัวอย่างถ้านายท่านได้รับโลหิตชีพจรของอีวิลโลตัสก็อตที่เป็นเทพสปิริตขั้นเดสทรัคชั่น นายท่านก็จะรวมยีนเรซระดับบารอนหรือไวเคานต์ได้ไม่ยากอะไร แต่ถ้านายท่านต้องการรวมกับโลหิตชีพจรของยีนเรซที่ระดับสูงกว่านั้น มันก็เป็นเรื่องยาก นั่นก็เพราะว่าจิตวิญญาณของยีนเรซระดับสูงนั้นแข็งแกร่ง พวกมันจะไม่ยอมง่ายๆ แต่ถ้านายท่านมีโลหิตชีพจรเทพสปิริตระดับสูง ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นมาก”
ตอนนี้หานเซิ่นเข้าใจถึงจุดประสงค์ของโลหิตชีพจรเทพสปิริตแล้ว เขาคิดกับตัวเอง ‘สิ่งที่เรียกว่าโลหิตชีพตรเทพสปิริตนี้จริงๆเป็นพลังที่ใช้สยบจิตใจของยีนเรซ’
“เจ้าเก่งเรื่องการมองหาบริเวณที่มีไข่ยีนอยู่ไม่ใช่หรอ พาข้าไปที่นั่น ข้าอยากจะลองขุดไข่ยีนขึ้นมาดู”
หานเซิ่นต้องการจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับพลังของโลกใบนี้ และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือเขาต้องการรู้ว่าตัวเองจะใช้พลังของโลกใบนี้ได้ไหม
มิสเตอร์หยางมีสีหน้าแปลกๆขณะที่ถามขึ้นว่า “นายท่านใช้ยีนเรซได้อย่างนั้นหรอ?”
เขาคิดว่าหานเซิ่นเป็นยีนเรซ เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับยีนเรซที่สามารถรวมกับอีกยีนเรซหนึ่งมาก่อน
“ข้าแค่อยากจะลองดู” หานเซิ่นพูด ถ้าเขารู้คำคำตอบนั้น เขาก็คงจะไม่ขอให้มิสเตอร์หยางช่วยเขาขุดหาไข่ยีน
“แค่ต้องการจะลองดู?” ในหัวใจของมิสเตอร์หยางเชื่อว่านั่นเป็นไปไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมากและพาหานเซิ่นออกไปจากเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อต
ที่มิสเตอร์หยางยอมตกลงอย่างรวดเร็ว นั้นเป็นเพราะเขากำลังกลัวว่าซือป๋อจะส่งยอดฝีมือมาตามล่าหานเซิ่น ด้วยเหตุนั้นเขาจึงคิดว่าการไปซ่อนตัวนอกเมืองนั้นถือเป็นการกระทำที่ปลอยภัยกว่า
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาต้องการจะพาหานเซิ่นไปซ่อนตัว เขาก็คงจะไม่ยอมตกลงที่จะพาหานเซิ่นไปขุดหาไข่ยีน ถึงแม้เขาจะไม่สามารถใช้ไข่ยีนได้ แต่ในเมื่อเขามีความสามารถที่จะหาที่ซ่อนของพวกมัน มันก็แน่นอนว่าเขาเคยขุดไข่ยีนขึ้นมา ถึงแม้พวกมันจะไม่ใช่ยีนระดับสูง แต่เขาก็มีไข่ยีนระดับต่ำที่จะมอบให้กับหานเซิ่นได้
พวกเขาทั้งสองคนเดินทางออกไปจากเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อต แต่มิสเตอร์หยางไม่ได้พาหานเซิ่นไปที่ภูเขาแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อต พวกเขาไปที่ทุ่งหญ้าที่อยู่อีกด้านหนึ่งแทน
“ชีพจรของผืนดินเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าชีพจรพระเจ้า ทุกสิ่งมีพระเจ้าอยู่ ชีพจรพระเจ้าจึงเป็นสถานที่ที่ทุกสิ่งทุกอย่างมารวมตัวกัน มีแค่สถานที่แบบนี้ที่จะมีไข่ยีนอยู่” มิสเตอร์หยางอธิบายขณะที่เขาเดินนำทางไป
“ชีพจรพระเจ้าคืออะไร?” หานเซิ่นถาม
มิสเตอร์หยางเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะตอบว่า “นั่นเป็นอะไรอธิบายได้ยาก นายท่านคิดซะว่ามันเป็นบรรยากาศที่เหมือนกับก้อนเมฆบนท้องฟ้า มันจะลอยไปตามความเปลี่ยนแปลงของโลก มันจะไม่คงอยู่กับที่ ดังนั้นการจะหาชีพจรพระเจ้าเพื่อขุดไข่ยีนขึ้นมาจึงเป็นการเรียนรู้ ไม่ได้เป็นการขุดหาแบบมั่วๆ”
“นายท่านเห็นเนินเขาเล็กๆข้างหน้านั่นไหม? มันเป็นสถานที่ที่ออร่ามารวมตัวกันอยู่ มันต้องมีไข่ยีนอยู่ข้างใต้นั่น แต่เมื่อดูจากออร่าที่ค่อนข้างอ่อน ระดับของไข่ยีนก็คงจะไม่สูงมากนัก”
มิสเตอร์หยางชี้ไปที่เนินเขาเล็กๆที่สูงเพียงเจ็ดถึงแปดเมตร