กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1069.4 ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์น้องเล็ก
เห็นนักพรตหญิงรูปร่างสะโอดสะองตรงหน้าผู้นี้ ไฟโทสะที่ลุก โชนอยู่ในใจของนายท่านขุนนางทั้งสองก็มอดดับลงไปทันที
ส่วนประโยคฟังดูดีที่ให้เกียรติกันของเตี่ยนเค่อฉางเกิ่งก็รื่นหู เช่นกัน
อารามหลิงจิ้งขนาดเล็กมีคนมากความสามารถนี่นา วันหน้าควร จะไปมาหาสู่กันบ่อยๆ มานั่งดื่มน้าชาถกมรรคากับเจ้าอารามเจี่ยน
ฝี มือการท าอาหารของฉางเกิงก็ไม่เลว กลับไปจะให้ฝ่ าย ครัวเรือนของที่ว่าการน าผักตามฤดูกาลมามอบให้ที่อาราม ญาติ ห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้ชิด ควันธูปของอารามหลิงจิ้ง ที่ว่าการ อ าเภอของพวกเราก็ไม่ควรจะช่วยเหลือสักหน่อยหรือ?
เจี่ยนซู่ยิ้มบางๆ เอ่ยขออภัย “เจี่ยนซู่ยังไม่มีฉายา คารวะรอง นายอาเภอฉิน หัวหน้ามือปราบหวง ต้องขอภัยด้วยที่ให้ใต้เท้าทั้งสอง ต้องรอนานแล้ว เกรงใจยิ่งนัก นี่คือเอกสาร เชิญท่านทั้งสองโปรด อ่าน”
นางหยิบเอกสารฉบับนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้ขุน นางของที่ว่าการทั้งสองท่าน
่
รองนายอ าเภอฉินรับเอกสารมา สีท้องฟ้ ามืดแล้ว ผู้เฒ่าจึงต้อง หรี่ตาอ่าน อ่านไปรอบหนึ่งแล้วถึงได้พยักหน้ากล่าว “ยืนยันแล้วว่า ไม่มีข้อผิดพลาด ข้าขอแสดงความยินดีแทนนายอ าเภอฉางเส้อที่เจ้า อารามเจี่ยนมารับตาแหน่งที่นี่ด้วย”
ในเอกสารเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าต้องมารับตาแหน่งที่อารามห ลิงจิ้งในวันใด เพียงแต่ว่าเจี่ยนซู่คิดไม่ถึงว่าที่ว่าการอาเภอจะให้ขุน นางสองคนมารอต้อนรับตนที่อารามหลิงจิ้ง ยิ่งคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะ มารอตนที่นี่ตั้งแต่เช ้าตรู่
นางครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “ตามหลักแล้วเพิ่งมาถึง ข้า ควรจะเป็ นฝ่ายไปเยี่ยมเยือนทุกท่านที่ที่ว่าการอาเภอมากกว่า”
เจี่ยนซู่ใช ้เสียงในใจเอ่ยเตือนว่า “ฮวาเชี่ยว คอยฟังว่าต่อจากนี้ ข้าคุยอะไรกับพวกเขาหากมีความจาเป็ น เจ้าก็ขี่ม้าเร็วไปที่ตัวอาเภอ ไปหาเหลาสุราขนาดใหญ่ไว้สักแห่ง”
ความตั้งใจของไฉอวี้จะว่าไปแล้วก็คือหวังให้ศิษย์น้องหญิง กลับไปฝึกตนที่สานัก หากนางยืนกรานจะฝึกบ าเพ็ญจิตแห่งมรรคา อยู่ในธุลีแดงคละคลุ้งแห่งนี้จริงๆ จะดีจะชั่วก็ควรเลือกอารามขนาด ใหญ่ที่อยู่ใกล้กับสานักสักหน่อย
พรรคจินกั่วที่อยู่ในแคว้นถือเป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมใหญ่ติด สามอันดับแรก แต่ว่าหลายปีมานี้ได้ถูกพรรคสองอันดับแรกร่วมมือ กันผลักไสอย่างรุนแรง หากเอาส านักไปวางไว้ในหรูโจวก็น่าจะถือว่า
่
อยู่รั้งท้ายของจวนเซียนอันดับสามได้ เต้ากวานของทวีป บางทีอาจ “เคยได้ยิน” เรื่องที่ว่าแคว้นหนันซานมีพรรคจินกั่วมาบ้างไม่มากก็ น้อย แต่คาดว่าแม้กระทั่งชื่อและฉายาของเจ้าประมุขพรรคก็คงจะจา กันไม่ได้ อย่างมากก็จะแค่เอ่ยคล้อยตามมาประโยคหนึ่งว่า อ้อ ก็คือ พรรคที่มีต้นไม้ใหญ่ซึ่งเป็ นวัตถุดิบชั้นดีน่ะหรือ? พรรคเซียนอีกสอง แห่งที่เหลือ อันที่จริงหากว่ากันในความหมายที่เข้มงวดแล้วล้วนไม่ ถือว่าเป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมในท้องถิ่นของแคว้นจินซาน เพียง แค่เพราะนอกจากภูเขาบรรพบุรุษ พวกเขาต่างก็มีภูเขาใต้อาณัติ ภูเขาและสายน้าเชื่อมติดอยู่กับแคว้นหนันซานจึงถูกฮ่องเต้มองเป็ น แขกชั้นสูง ย้อนกลับมามองพรรคจินกั่วที่ “เกิดและเติบโตในพื้นที่” เจ้าประมุขพรรคยังมิอาจเป็ นเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นได้ด้วยซ้า ไม่ได้ จะบอกว่าราชส านักแคว้นหนันซานไม่ยินดีจะให้การสนับสนุนพรรค จินกั่ว แต่ว่าไม่สะดวกจะบาดหมางกับบุคคลยิ่งใหญ่จากสองพรรคที่ “มานอนอยู่ข้างเตียง” ของแคว้นจริงๆ
เรื่องวงในพวกนี้ศิษย์น้องหญิงไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ต่อให้นางได้ ยินก็ทาเป็ นเหมือนลมที่ลอยผ่านหูไป แต่ในฐานะลูกศิษย์ของลูกศิษย์ ผู้สืบทอดของผู้คุมกฏคนปัจจุบันของพรรคจินกั่ว ไฉอวี้ที่ได้รับ ความส าคัญจากบรรพจารย์และได้รับความรักความเอ็นดูจาก อาจารย์ รอแค่เขาเลื่อนเป็ นขอบเขตประตูมังกรก็ตั้งใจจะให้ไฉอวี้ไป รับหน้าที่เป็ นรองเจ้ากรมพิธีการของแคว้นหนันซาน ขัดเกลาตัวเอง อยู่ในวงการขุนนางสักสี่ห้าปี เมื่อมีลางว่าจะสร ้างโอสถก็ให้กลับ
่
ภูเขามาปิดด่านทันที ขอแค่สร ้างโอสถได้ก็จะจัดงานพิธีเปิดยอดเขา ขณะเดียวกันไฉอวี้ก็สามารถเลื่อนขั้นกลายเป็ นผู้ควบคุมดูแลกรม โยธาของแคว้นได้
ขุนนางทั้งสองปฏิเสธคาเชิญของเจ้าอารามเจี่ยนที่จะไปเลี้ยง อาหารเย็นพวกเขาอย่างละมุนละม่อม บอกว่าพวกเขาต้องกลับที่ว่า การอาเภอเพื่อไปแจ้งเรื่องนี้ให้นายอาเภอหันทราบ ยังมีขั้นตอน บางอย่างที่ต้องทาในฝ่ายต่างๆ ของที่ว่าการอาเภอ
เจี่ยนซู่จึงเดินมาส่งพวกเขาถึงตีนเขา อารามโกโรโกโสมาก จริงๆ ไม่มีป้ ายซุ้มหน้าประตูภูเขาอะไรด้วยซ้า
ในอารามไม่มีคอกม้า โชคดีที่คนเฝ้ าศาลหลิวฟางบอกว่าที่ตีน เขามีหมู่บ้านซึ่งมีสถานที่พอจะให้ดูแลม้าได้ ฮวาเชี่ยวไม่ค่อยวางใจ นักจึงจูงม้าไปที่หมู่บ้านพร ้อมกับเขา
ได้ยินว่าเจ้าอารามกินอาหารเย็นมาแล้ว ลุงฉางผู้เป็ นเตี่ยนเค่อก็ แอบโล่งอก อาหารมื้อกลางวันกินสมบัติของอารามไปไม่น้อย เดิมที ก็เป็ นอาหารเลี้ยงรับรองที่เตรียมไว้ต้อนรับเจ้าอารามคนใหม่ ผลคือ นายท่านขุนนางทั้งสองอารมณ์ไม่ดี ไม่ค่อยขยับตะเกียบกันสักเท่าไร จึงได้ดีเจ้าพวกลูกกระต่ายน้อยที่รอแค่ขุนนางทั้งสองออกไปจาก ห้องอาหารก็เริ่มสวาปามกันอย่างตะกละตะกลาม อย่าเห็นว่าคนเฝ้ า ศาลหลิวฟางอายุมากแล้ว เขาเองก็กินไปไม่น้อยเหมือนกัน ตอนที่ เดินออกจากโต๊ะยังส่งเสียงเรอเพราะความอิ่ม ระหว่างที่เดินไปยังห้อง โถงรับแขก ฝีเท้าเนิบช ้าผ่อนคลาย ยังยื่นมือไปดึงเศษเนื้อในซอก
่
ฟันออกมา บอกว่าอาหารมื้อนี้ไม่ต่างจากมื้อฉลองปีใหม่สักเท่าไร เลย
ลุงฉางพาเจ้าอารามคนใหม่มาที่ห้องแห่งหนึ่ง กังวลว่านางจะ รู ้สึกตะขิดตะขวงใจจึงเน้นย้าประโยคหนึ่งว่าผ้าห่มและพวกข้าวของ อย่างอ่างล้างหน้าในห้องล้วนซื้อมาใหม่จากที่อาเภอทั้งสิ้น
เจี่ยนซู่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เอ่ยขอบคุณผู้เฒ่าที่ทางานอย่าง รอบคอบในทุกๆ ด้านค าหนึ่ง นางมีความประทับใจที่ไม่เลวต่อเตี่ย นเค่อคนนี้ เขา…ทางานอย่างซื่อสัตย์จริงๆ อันที่จริงเป็ นคนที่รู ้จัก สังเกตสีหน้าท่าทางคนอื่นเป็ นอย่างดี แต่กลับไม่ให้ความรู ้สึกปลิ้น ปล้อน
ผู้เฒ่ามาถึงที่ห้องก็หยุดยืนอยู่หน้าประตูตลอดเวลา รอกระทั่ง เจี่ยนซู่นั่งลงบนเก้าอี้หมวกขุนนางแล้ว ผู้เฒ่าก็ขอตัวลา ไม่ลืมปิด ประตูให้เบาๆ
เจี่ยนซู่ยืดแขนบิดขี้เกียจ เทียบกับตระกูลในเมืองหลวงและพื้นที่ ประกอบพิธีกรรมของสานักแล้ว สิ่งที่นางได้เห็นได้ยินที่นี่ล้วนถือเป็ น เรื่องแปลกใหม่ทั้งสิ้น
รุ่นบรรพบุรุษเคยมีเทพเซียนขอบเขตก่อก าเนิดในต านานมา ก่อน และท่านปู่ ทวดของนาง หรือก็คือเจ้าประมุขในทุกวันนี้ก็เป็ น เซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง แต่ขอบเขตมาถึงตรงนี้หากใช ้ค าพูดของ ท่านปู่ ทวดเองก็คือถึงขั้นที่เผาผลาญพละกาลังจนหมดสิ้น เป็ นดั่ง
่
ตะเกียงที่น้ามันแห้งขอดแล้ว อย่าว่าแต่ขอบเขตก่อกาเนิดเลย ต่อให้ เป็ นชั้นที่สองในสามชั้นของขอบเขตโอสถทอง ชีวิตนี้ก็อย่าได้หวัง อีกเลย ดังนั้นแม้โลกภายนอกจะเรียกขานเขาว่าเป็ นโอสถทองหนุ่ม แต่ตัวผู้เฒ่าเองกลับบอกว่าตัวเองคือโอสถทองเฒ่าอย่างสมชื่อ
ไม่ว่าจะอย่างไร กลายเป็ นเซียนดินโอสถทอง ท่านปู่ ทวดของ เจี่ยนซู่ก็ยังถือว่าเป็ นบรรพบุรุษผู้สร ้างความรุ่งโรจน์ให้ตระกูลได้ อย่างสมชื่อแล้ว แม้จะบอกว่ารุ่นบรรพบุรุษเคยมีก่อกาเนิดคนหนึ่ง แต่ตระกูลเจี่ยนก็ยังไม่ถือว่าเป็ นตระกูลผู้ดีมีฐานะร่ารวยที่สืบทอด ตาแหน่งขุนนางกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เพียงแต่แค่เพราะขั้นตอนการ บรรลุมรรคาของบรรพบุรุษท่านนั้นมีเมฆหมอกล้อมวนมากเกินไป คล้ายว่าจะมีเรื่องลาบากใจที่ยากจะเอื้อนเอ่ย เป็ นเหตุให้ไม่มีบันทึก ไว้ในทาเนียบของตระกูล อีกทั้งปีนั้นที่อยู่ในแคว้นหนันซาน ไม่ว่าจะ เลื่อนเป็ นห้าขอบเขตกลางหรือสร ้างโอสถ หรือแม้กระทั่งกลายเป็ น ขอบเขตก่อก าเนิดก็ไม่มีใครที่เอาความคิดจิตใจไปไว้กับการเปิ ด ภูเขาก่อตั้งพรรคหรือแตกกิ่งก้านสาขาในวงการขุนนางของราช สานักมาก่อน เอาแต่ปิดประตูฝึกตน แล้วก็ไม่มีการรับลูกศิษย์ดังนั้น รอกระทั่งบรรพบุรุษท่านนี้สละร่างไปจากโลกนี้อย่างเงียบเชียบ ตระกูลเจี่ยนที่เดิมทีก็ยังไม่เป็ นโล้เป็ นพาย เพียงไม่นานก็ตกต่าอย่าง ต่อเนื่อง กระทั่งมาถึงท่านปู่ทวดของเจี่ยนซู่ที่เรียกได้ว่าเป็ นบุคคลที่มี พรสวรรค์โดดเด่นแต่กาเนิด อาศัยตาราที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งไม่ว่าใครก็อ่านไม่เข้าใจเล่มนั้น ถึงกับฝึกตนได้อย่างราบรื่น สร ้าง
่
โอสถได้ส าเร็จ ตระกูลเจี่ยนถึงได้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ท่านปู่ และ พี่ชายสองคนของท่านปู่ เจี่ยนซู่ได้ทยอยกันสอบติดเป็ นเต้ากวาน ตระกูลเจี่ยนจึงหยัดยืนอยู่ในราชสานักแคว้นหนันซานได้อย่างมั่นคง มีพื้นที่ที่เป็ นของพวกเขาเอง
แต่พอมาถึงรุ่นบิดาของเจี่ยนซู่กลับเริ่มชักหน้าไม่ถึงหลังแล้ว ลูกหลานแต่ละบ้านถึงกับไม่มีใครที่มีคุณสมบัติในการฝึกตน แล้วก็ ไม่มีใครสอบเป็ นเต้ากวานได้ติด
กระทั่งมีเจี่ยนซู่ สถานการณ์ยากแค้นและจนปัญญาเช่นนี้ถึงได้ ดีขึ้น ทางตระกูลได้เงยหน้าอ้าปากกันอีกครั้ง
แต่ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ลูกหลานในตระกูลเมื่อถึงอายุที่ก าหนด ก็ล้วนหนีไม่พ้นเรื่องการแต่งงาน แต่ไหนแต่ไรมาตระกูลเจี่ยนก็เรียก ตัวเองเป็ นตระกูลปัญญาชนด้วยความภาคภูมิใจมาโดยตลอด บิดา ของเจี่ยนซู่ก็ไม่อยากมีชื่อว่าอาจเอื้อมหวังตีสนิทคนชั้นสูงผู้มีอ านาจ ทว่าการแต่งงานกระชับความสัมพันธ ์ที่สมเหตุสมผล ถึงอย่างไรก็มิ อาจหลบเลี่ยงได้บวกกับที่คุณสมบัติในการฝึกตนของเจี่ยนซู่ดีมาก พอ ต่อให้พ่อแม่ของเจี่ยนซู่จะไม่รีบร ้อนแค่ไหน ทว่าพวกผู้อาวุโสรุ่น บิดาที่อยู่ในศาลบรรพชนประจาตระกูลก็มีความคิดในด้านนี้กันแล้ว อยากจะหาคนดีๆ ให้กับนางสักคน นอกจากพวกคุณชายหล่อเหลา มีความสามารถของเมืองหลวงที่ได้เป็ นเต้ากวานอย่างเป็ นทางการ แล้ว ยกตัวอย่างเช่นไฉอกี้ศิษย์พี่ร่วมสานักในพรรคจินกั่วของเจี่ยน ซู่ก็ไม่ถือว่าเป็ นคู่ครองที่ดีที่อยู่ใกล้เพียงตรงหน้าหรอกหรือ?
่
ดังนั้นรอกระทั่งเจี่ยนซู่เสนอว่าจะออกไปข้างนอกด้วยตัวเอง และ สุดท้ายเลือกจะไปรับหน้าที่เป็ นนักพรตเจ้าอาวาสของอารามหลิงจิ้ง อาเภอฉางเส้อเขตอิ่งชวน ศิษย์พี่ไฉอวี้ถึงได้ตามมาอย่างผึ่งผาย
อันที่จริงเจี่ยนซู่อายุน้อยเพียงเท่านี้ก็สามารถเป็ นนักพรตผู้ดูแล อารามเต๋าที่ทางการเป็ นผู้ก่อตั้งได้แล้ว ไม่ต้องสนใจว่าอารามหลิงจิ้ง จะยากจนข้นแค้นแค่ไหน ล าพังแค่หน้าตาของตระกูลเจี่ยนก็ยังไม่ ค่อยเพียงพอ นายท่านผู้เฒ่าของตระกูลเจี่ยนยังไม่ชอบไปมาหาสู่กับ คนในวงการขุนนาง ดังนั้นจึงยังเป็ นทางฝั่งศาลบรรพจารย์ของพรรค จินกั่วที่แอบออกแรงอย่างลับๆ ในความเป็ นจริงแล้วสิทธิ์ของผู้ที่จะมา เป็ นเจ้าอาวาสในอารามที่ทางการแต่งตั้งแห่งใดก็ตามในอาณาเขต แคว้นหนันซานก็ล้วนเป็ นพรรคจินกั่วที่ต้องไปประชันขันแข่งกับอีก สองพรรคมาทั้งสิ้น
ทุกวันนี้เจี่ยนซู่เพิ่งจะอายุสิบเก้าปี ยังไม่ถึงยี่สิบก็เป็ นขอบเขตถ้า สถิตแล้ว เลื่อนเป็ นห้าขอบเขตกลางได้สาเร็จก็แทบไม่ต่างอะไรจาก ปลาหลีที่กระโดดข้ามประตูมังกรบานแรกไปได้
ประเด็นส าคัญคือเจี่ยนซู่ฉลาดเฉลียวมาตั้งแต่เกิด นับแต่เด็กมา ก็อ่านตาราที่เก็บไว้ในตระกูลจนครบหมดทุกเล่ม คัมภีร ์ล้าค่าหายาก สิบกว่าเล่มที่ไม่แพร่หลายนัก นางก็มักจะมีความคิดเห็นเป็ นของ ตัวเองมาตั้งแต่ตอนเด็กแล้ว
่
นี่จึงเป็ นเหตุให้ตอนที่นางอายุสิบสี่ก็สอบผ่านเต้ากวานของเมือง หลวงแคว้นหนันซานแล้ว อีกทั้งลาดับรายชื่อยังสูงมากอีกด้วย ปีนั้น เรื่องนี้ยังถือเป็ นเรื่องที่สร ้างความครึกโครมไม่น้อยในเมืองหลวง
ยกตัวอย่างเช่นหากอยู่ในสายตาของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ก็ เทียบได้เท่ากับมีคนสอบติดเป็ นจิ้นซื่อของการสอบเคอจวี่ตอนอายุ สิบสี่ปี อีกทั้งยังติดสามอันดับแรกในระดับหนึ่งด้วย
น่าเสียดายที่เรื่องของการฝึ กตนฝ่ าทะลุขอบเขตของเจี่ยนซู่ ยังคงช ้าอยู่หลายส่วน ห่างจาก “เมล็ดพันธ ์เต๋า” ผู้มีพรสวรรค์ที่ แท้จริงบนภูเขาอยู่อีกเล็กน้อย
ไม่อย่างนั้นคนที่มาสู่ขอที่ตระกูลเจี่ยนจะต้องมีมากยิ่งกว่านี้ คาด ว่าป่านนี้คงย่าจนธรณีประตูสึกไปแล้ว
ในบ้านมีเซียนดินคนหนึ่งนั่งบัญชาการณ์ก็ดีเช่นนี้ ลูกหลานใน ตระกูลมักจะมีวิสัยทัศน์กว้างขวาง ยิ่งมีคนที่ได้ดิบได้ดีก็ยิ่งไม่หยิ่ง ผยอง
เจี่ยนซู่ลุกขึ้นยืน เอาม้วนภาพแขวนไว้บนผนัง ภาพวาดนั้นคือ ภาพนักพรตวัยกลางคนที่สวมกวานเดินทางไกลคนหนึ่งกาลัง นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่ง
ด้านบนภาพวาดเขียนบทกวีคาเขียวที่เขียนด้วยชาดสีแดงเอาไว้ หนึ่งบท แปดอักษรท้ายมีความหมายคล้ายการฝากถ้อยคา “นั่งลืม ตนพ้นไปจากขอบเขต ฝึกตนอย่างซื่อตรง
่
ลงนามว่าชิงเซียวเจินเหริน นี่ก็คือฉายาของบรรพจารย์ ก่อก าเนิดในตระกูลของเจี่ยนซู่คนนั้นแล้ว
ฉายานี้มีความหมายงดงามอย่างยิ่ง
แต่เจี่ยนซู่เคยตรวจสอบเอกสารของกรมพิธีการในแคว้นมาก่อน ในประวัติศาสตร ์แคว้นหนันซานกลับไม่เคยมีเต้ากวานผู้นี้
เต้ากวานที่ได้ครอบครองฉายานี้ในทุกวันนี้ เจี่ยนซู่กลับได้ยิน ชื่อเสียงยิ่งใหญ่มานานแล้ว เรียกได้ว่าเป็ นดั่งฟ้ าผ่าที่ดังอยู่ข้างหู เพียงแค่เพราะอีกฝ่ายคือเต้ากวานเทียนเซียนท่านหนึ่งของสกุลหยาง หงหนงแห่งโยวโจว
ด้านหลังมีเสียงผลักประตูเปิดดังขึ้น เจี่ยนซู่ถอนสายตากลับมา เป็ นฮวาเชี่ยวที่กลับมาที่อารามแล้ว สาวใช ้เรือนกายกายาผู้นี้หยิบ เอาหมึก พู่กัน กระดาษ จานฝนหมึก ที่วางพู่กัน ที่วางข้อมือไผ่ เหลือง ตะเกียง อุปกรณ์ที่ใช ้ในห้องหนังสือออกมาวางบนโต๊ะทีละชิ้น อย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย หยิบต าราลัทธิเต๋าหลายสิบเล่มออกมาจาก หีบหนังสือและตะกร ้าไม้ไผ่ เพราะตอนนี้ในห้องยังไม่มีตู้วางหนังสือจึง เอาวางไว้บนโต๊ะทั้งหมด และยังมีชุดชงชาเครื่องกระเบื้องครบชุด รวมไปถึงกระดาษจดหมายล้าค่าที่ทาด้วยกรรมวิธีลับบนภูเขา ถือ เป็ น “ของดี” ในกลุ่มของกระดาษ คนมีเงินทั่วไปไม่ใช ้กัน ไม่แน่เสมอ ไปว่าจะซื้อไม่ไหว แต่น่าจะเป็ นเพราะหาซื้อไม่ได้มากกว่า
่
ยังมีถาดเก้าช่องที่วาดเป็ นลายดอกไม้สดใสเอาไว้วางผลไม้และ ขนมอีกหนึ่งชุด
โชคดีที่ห้องไม่ใหญ่ แต่โต๊ะหนังสือที่วางอยู่ติดกับหน้าต่างตัวนี้ กลับใหญ่มาก
สาวใช ้ยังถึงขั้นหยิบเอาค้อนและตะปูที่เตรียมไว้นานแล้วออกมา ด้วย เสียงตอกตะปู เคร ้งๆ ดังขึ้น ที่แท้นางก็เล็งตาแหน่งสาหรับแขวน แจกันดอกไม้ไว้บนผนังนานแล้ว ในแจกันกระเบื้องสามารถเสียบ ดอกไม้ได้ เป็ นขวดแขวนผนังรูปพระจันทร ์ครึ่งเสี้ยว เดิมทีก็เอาไว้ แขวนบนผนังโดยเฉพาะอยู่แล้ว
อย่าเห็นว่าฮวาเชี่ยวร่างสูงใหญ่ อันที่จริงนางมือไม้คล่องแคล่ว ทั้งยังจิตใจละเอียดอ่อนอย่างมาก พูดถึงแค่ถุงหอมที่นางปักเองกับมือ ก็เป็ นของที่เหล่าสตรีในตระกูลเจี่ยนชื่นชอบกันอย่างมาก
บนโต๊ะวางจานฝนหมึกโบราณชิ้นหนึ่งเอาไว้อยู่ใกล้กับขวด กระเบื้องแขวนผนัง แกะสลักอักษรคาว่า “บุปผาในแจกันหล่นลงสู่ จานฝนหมึก กลิ่นหอมกลับคืนสู่ตัวอักษร
ตระกูลที่จู่ๆ ก็ร่ารวยมีเงินมีทองขึ้นมากะทันหันกับตระกูล ปัญญาชนที่ทานาไปพร ้อมกับการเล่าเรียนหนังสือ ถึงอย่างไรก็มี รูปแบบการตกแต่งบ้านเรือนที่แตกต่างกัน
ฮวาเชี่ยวถอยหลังไปหลายก้าว มองขวดบนผนังแล้วขยับเข้าไป ใกล้กาแพงอีกครั้ง จับขยับแจกันดอกไม้ ปากก็พร่าพูดว่า “คุณหนู
่
พรุ่งนี้ข้าจะไปที่อาเภอรอบหนึ่ง ช่วยท่านซื้อพวกผ้าห่ม มุ่งมาใหม่ แล้วยังมีเตียงหลังนี้ที่เล็กเกินไปหน่อย ข้าจะหาช่างฝีมือดีๆ จ่ายเงิน สั่งทาเตียงสักหลังดีกว่าไหม? ข้าจะท าตามสัญญา จะไม่แสดง ขอบเขตวิถีวรยุทธและเวท คาถาที่สืบทอดมาจากทางตระกูลที่นี่ อย่างมากถึงเวลานั้นก็จะจ้างรถม้าสักสองคันมาที่ตีนเขา จงใจให้ มาถึงที่นี่ตอนเย็น แล้วข้าค่อยแบกขึ้นเขามาเอง ถึงอย่างไรก็แค่ ระยะทางภูเขาไม่กี่ก้าวเท่านั้น ปืนกาแพงเข้ามา รับรองว่าผีไม่รู ้เทพ ไม่เห็นแน่นอน!”
“ไม่ต้อง ไม่ได้มาท่องเที่ยวฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูใบไม้ร่วงสักหน่อย ท่านปู่ ทวดไม่ได้มีวลีติดปากบอกว่านักพรตไม่ยากจนเรียบง่ายใคร เล่าจะยากจนเรียบง่ายหรอกหรือ”
เจี่ยนซู่ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “อีกอย่างเตียงหลังใหญ่ขนาดนั้น เจ้าขนขึ้นเขามาได้แล้วจะเอาเข้าห้องมาได้อย่างไร?”
มองข้าวของบนโต๊ะ เจี่ยนซู่ก็เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “ก็ไม่ถือว่า ยากจนเรียบง่ายแล้วล่ะนี่ต้องเรียกว่ามาหลบความวุ่นวายเสวยสุขหา ความสงบสุขมากกว่า”
ฮวาเชี่ยวเหลือบตามองไปใต้โต๊ะ ใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “หงเหมี่ยว เคยบอกว่าใต้โต๊ะมีการแปะยันต์ที่สืบทอดมาจากตระกูลของถานโส่ว ไว้หนึ่งแผ่น สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานหลายเดือน คุณหนู?”
่
เจี่ยนซู่ใช ้เสียงในใจเอ่ย “ระมัดระวังขับเรือได้นานหมื่นปี เก็บ ยันต์แผ่นนี้ไว้ก็พอ”
นางถอนหายใจเบาๆ นอกภูเขาทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่วงการขุน นาง
น้าใจส่วนนี้ถือว่าติดค้างไว้แล้ว เจี่ยนซู่จะไม่รับน้าใจก็ไม่ได้
ฮวาเชี่ยวพยักหน้า รู ้สึกอัดอั้นอยู่บ้าง “คุณหนู ข้าเห็นว่าเด็ก หนุ่มอย่างพวกหลินซูสายตาไม่ถูกต้องเท่าใดนัก ตอนที่มองคุณหนู ในสายตาก็ราวกับว่ามีกองเพลิงอยู่อย่างไรอย่างนั้น”
เจี่ยนซู่ยิ้มเอ่ย “เจ้ารู ้อีกแล้วหรือ?”
ฮวาเชี่ยวพลันนึกถึงใบหน้าหนึ่งขึ้นมา “โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้อง ระวังเด็กหนุ่มที่ชื่อเฉินฉงผู้นั้น ดูจากท่าทางเหมือนคนซื่อตรง แต่ ดวงตากลับเจ้าเล่ห์ ซุกซ่อนเรื่องในใจเอาไว้มากมาย”
เจี่ยนซู่เอ่ยหยอกล้อ “หรือเขาจะมีเจตนาร ้าย?”
ฮวาเชี่ยวส่ายหน้า “ก็ไม่ถึงขั้นนั้น มองออกว่าเขาคือคนเดียวที่ ไม่เหมือนผีบ้าตัณหากลับชาติมาเกิด ความสนใจส่วนใหญ่ของเขา อยู่ที่เครื่องประดับบนร่างของคุณหนูมากกว่า”
เจี่ยนซู่ยิ้มรับ
ฮวาเชี่ยวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณหนู ใจคนยากจะคาดเดานะ เจ้าคะ จิตใจที่คิดร ้ายคนอื่นไม่ควรมี แต่ใจที่ป้ องกันคนอื่นไม่ควร
่
ขาด ในเมื่อมีคนที่เกิดกิเลสเพราะความงามได้ก็ต้องมีคนเกิดความ โลภเพราะเห็นทรัพย์สินได้เหมือนกัน”
เจี่ยนซู่ยิ้มพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “อ้อ? เด็กหนุ่มคนนั้นเป็ นคนเห็น แก่เงินด้วยหรือ? ถ้าอย่างนั้นจะไม่พูดคุยกับเจ้าถูกคอเลยหรือไร?”