กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1071.1 เมฆสีครามเกาะกลุ่มลอยล่องเหนือวังออี้ชิง
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1071.1 เมฆสีครามเกาะกลุ่มลอยล่องเหนือวังออี้ชิง
ดอกท้อของนครเสินเซียวมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลก เช่นเดียวกับอารามเสวียนตู
ต่งฮว่าฝูมาสร ้างกระท่อมฝึกกระบี่อยู่ที่นี่ อยู่ในนี้ไม่รู ้ถึงอากาศ ร ้อนหนาวของนอกนคร
ผู้ฝึกกระบี่บ้านเกิดเดียวกันอีกแปดคนต่างก็เริ่มฝึกเวทกระบี่สิบ กว่าชนิดที่นครเสินเซียวยอมละเมิดกฎถ่ายทอดให้กับพวกเขากัน แล้ว เต้ากวานทั่วไปของนครอวี้ซู ต่อให้เป็ นผู้ฝึกกระบี่ คิดอยากจะ ได้เวทกระบี่ชั้นสูงเหล่านี้ไปครองก็ได้แต่อาศัยขอบเขตที่แท้จริงและ อาศัยคุณูปการคุณความชอบเท่านั้น
มีเพียงต่งฮว่าฝูที่เพียงแค่จดจาคาถากระบี่เหล่านั้นเงียบๆ ไม่ได้ ฝึกคาถากระบี่ที่ต่อให้มีเงินก็หาซื้อไม่ได้พวกนี้
นอกจากนี้แล้วต่งฮว่าฝูยังเป็ นคนเพียงหนึ่งเดียวในคนทั้งเก้าที่ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยรับทาเนียบธรรมโองการจากนครอวี้ชูป๋ า ยอวี่จิง เกี่ยวกับเรื่องนี้ฝ่ ายในของนครอวี้ซูใช่ว่าจะไม่มีค า วิพากษ์วิจารณ์เสียเลย แต่กลับถูกหวังฉิงกดข่มเอาไว้ หวังฉิงที่เป็ น หนึ่งในสองรองเจ้านครของนครเสินเซียวคือนักพรตวัยกลางคนที่ สวมกวานดอกผุดตานสีทองบนศีรษะบุคลิกอ่อนโยน เป็ นคนพูดง่าย อย่างถึงที่สุด มักจะมาคุยเล่นกับต่งฮว่าฝูที่กระท่อมแห่งนี้เป็ นประจ า
ทุกวันนี้ตาแหน่งเจ้านครของนครเสินเซียวก็ยังคงเว้นว่างเอาไว้ สรุปแล้วใครจะมาเป็ นผู้ดูแลนครแห่งนี้ ผู้คนก็พากันพูดไป หลากหลาย
รองเจ้านครสองท่าน หวังฉิงคือขอบเขตเซียนเหริน ส่วนนักพรต หญิงเซียวเฟยป๋ ายที่มีฉายาว่า “โม่โต้ว” ซึ่งเป็ นรองเจ้านครอีกคนก็ เป็ นเซียนเหรินเช่นเดียวกัน แต่นางยังเป็ นเซียนกระบี่ลัทธิเต๋าที่เวท กระบี่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งด้วย ดังนั้นให้เขียวเฟยป๋ ายมารับต าแหน่งเจ้า นครที่ว่างอยู่จึงมีคนยอมรับได้มากกว่าให้หวังฉิงมาเป็ น แต่จุดที่ น่าสนใจนั้นอยู่ที่ว่าเซียวเฟยป๋ ายเป็ นคนรักของหวังฉิง ดังนั้นไม่ว่า ใครจะมารับหน้าที่ดูแลนครเสินเซียวก็ล้วนถือเป็ นน้าดีที่ไม่ไหลเข้า นาคนอื่น
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าคู่บาเพ็ญเพียรคู่นี้ต่างก็เป็ นแค่ขอบเขตเซียน เหริน รับหน้าที่เป็ นเจ้านคร ถึงอย่างไรก็ดูจะ “ธรรมดา” ไปสักหน่อย
ดังนั้นก่อนหน้านี้ไม่นานจึงเกิดตัวแปรอย่างหนึ่ง เพราะนครเสิน เซียวมีคนนอกผู้หนึ่งมาอยู่อาศัย นั่นก็คือผู้ฝึกกระบี่หาวซู่
แม้ว่าสิงกวานท่านนี้จะไร ้ชื่อเสียงในกาแพงเมืองปราณกระบี่ ถึง ขั้นที่ว่าไม่ติดอันดับสิบเซียนกระบี่บนยอดเขาของหัวกาแพงเมือง แต่ ก็เป็ นบุปผาที่บานในกาแพงแต่ส่งกลิ่นหอมไปนอกกาแพง สังหารผู้ ฝึ กกระบี่ขอบเขตบินทะยานหนันกวงจ้าวอยู่ในใต้หล้าไพศาลและ ตอนอยู่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างก็สังหารปีศาจใหญ่เสวียนผู่ขอบเขตบิน
ทะยาน ประเด็นสาคัญคือปีศาจใหญ่ตนนี้ยังเป็ นเจ้านครเซียนจานซึ่ง เป็ นนครสูงอันดับหนึ่งในโลกมนุษย์ด้วย
นี่จึงเป็ นเหตุให้เต้ากวานของห้านครสิบสองหอเรือนซึ่งมีนครเสิน เซียวเป็ นหนึ่งในนั้น ทุกวันนี้ต่างก็คาดเดากันว่าจะมีความเป็ นไปได้ หรือไม่ที่หาวซู่จะมารับหน้าที่เป็ นเจ้านคร ของนครเสินเซียวโดยตรง
เลย?
มีแขกคนหนึ่งมาเยือนกระท่อม กฎเดิม เจ้าบ้านยากจนมาก รบกวนแขกช่วยนาเหล้ามาเอง นี่เรียกว่าปล้นคนรวยช่วยเหลือคน ยากจน
ต่งฮว่าฝูยกชามขาวขึ้นจิบเหล้าหมักเซียนเถาเจียงที่ไม่ว่าจะดื่ม อย่างไรก็รู ้สึกว่ารสชาติดีนัก ครั้นจึงถามอย่างประหลาดใจว่า “ใต้เท้า สิงกวาน ได้ยินว่าท่านจะได้เป็ นขุนนางใหญ่อีกแล้วหรือ?”
ตามคากล่าวของเถ้าแก่รอง ดื่มเหล้าใช ้จอกไม่ใช่ชาม รสชาติ แย่ลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
คนร่วมบ้านเกิดอีกแปดคนที่เหลือ ทุกวันนี้ต่างก็เป็ นเต้ากวาน อยู่ในนครเสินเซียวแล้วแต่ละคนมีชีวิตที่ไม่เลว มักจะมาพูดคุยเรื่อง ข่าวเล็กๆ น้อยๆ ของนครและหอเรือนต่างๆ ในป๋ ายอวี่จิงให้เขาฟังที่นี่ บ่อยๆ
ผู้ฝึ กกระบี่แปดคนที่ต่างก็อายุไม่มาก บางครั้งที่ฝึ กตนเจอกับ ด่านก็จะมาขอคาชี้แนะถามค าถามกับหาวซู่ แรกเริ่มหาวซู่ยังช่วยไข
ข้อข้องใจให้พวกเขาอย่างละเอียด ผลคือผ่าน ไปได้ไม่นานหาวซู่ก็ ตั้งกฎกับพวกเขาข้อหนึ่ง หนึ่งขอบเขตหนึ่งคาถาม ซึ่งก็หมายความ ว่าผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่ไม่ว่าจะอยู่ในขอบเขตใดก็ตามก็ได้แต่มาถาม ค าถามกับหาวซู่ครั้งเดียวการถามครั้งต่อไปก็ได้แต่รอให้ฝ่ าทะลุ ขอบเขตก่อนเท่านั้น
ผู้ฝึกกระบี่ที่ถือว่าเป็ น “คนบ้านเดียวกัน” ตรงหน้าผู้นี้ช่างมีโชค ในวงการขุนนางจริงๆ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็เป็ นขุนนางได้ อิจฉา อิจฉา
หาวซู่ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ลือกันไปส่งเดช ก่อนข้าจะมาก็ได้ตกลง กับลู่เฉินไว้เรียบร ้อยแล้วว่าจะเป็ นแค่เค่อชิงของนครเสินเซียว เท่านั้น”
ต่งฮว่าฝูถาม “เพราะรู ้ดีว่าเป็ นไม่ได้ ก็เลยแกล้งท าเป็ นว่าไม่ อยากเป็ น หรือเป็ นเพราะอันที่จริงเป็ นได้ แต่ไม่ยอมเป็ นกันแน่?”
หาวซู่เอ่ย “อยากเป็ นก็เป็ นได้ แต่ไม่มีความจาเป็ น จะถูกเรื่อง ทางโลกพัวพันรบกวนมากเกินไป มีแต่จะถ่วงรั้งการหลอมกระบี่”
ต่งฮว่าฝูยกชามเหล้าขึ้นมา ปล่อยให้มันลอยอยู่กลางอากาศ ถามว่า “นี่ก็คือเหตุผลที่ใต้เท้าสิงกวานไม่เคยออกกระบี่ที่กาแพง เมืองปราณกระบี่หรือ?”
หาวซู่ส่ายหน้าด้วยสีหน้าหม่นหมอง “มีความล าบากใจบางอย่าง ไม่กล้าตาย แต่การที่ไม่เคยออกกระบี่สังหารปีศาจก็เป็ นเรื่องจริง ข้า จึงรู ้สึกผิดต่อความไว้ใจของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเสมอมา”
บนสนามรบของกาแพงเมืองปราณกระบี่ การล่อให้เซียนกระบี่ ทุกท่านออกจากก าแพงเมืองไปเข่นฆ่า การลงมืออย่างก าเริบเสิบ สานหรือไม่ก็มองดูคล้ายมุทะลุบุ่มบ่ามของปี ศาจใหญ่ทุกตนของ เปลี่ยวร ้าง ส่วนใหญ่ล้วนเป็ นแผนการชั่วร ้ายที่มีการวางแผนมาอย่าง ลึกล้ายาวไกล เพื่อช่วงชิงคุณูปการด้านการสู้รบจากการสังหาร เซียนกระบี่ ก็เรียกได้ว่าใต้หล้าเปลี่ยวร ้างใช ้ทุกวิถีทางที่มี การวางกับ ดักเอาไว้ซุ่มโจมตี ทั้งสามารถเป็ นการล้อมโจมตีพวกผู้ฝึกกระบี่รุ่น เยาว์ของกาแพงเมืองปราณกระบี่โดยที่ไม่สังหาร แล้วก็สามารถเป็ น การที่เผ่าปีศาจของเปลี่ยวร ้างถูกปีศาจใหญ่บีบให้เอาชีวิตไปเป็ น เหยื่อล่อ บนโต๊ะเหล้าของกาแพงเมืองปราณกระบี่ การเติบโตของ เซียนกระบี่ทุกคนล้วนต้องมี “ว่าที่” เซียนกระบี่ในอนาคตที่ตายไป อย่างน้อยห้าท่าน
ต่งฮว่าฝูพยักหน้า ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “เป็ นขุนนางใหญ่ขนาดนี้ ขอบเขตก็สูงด้วย แต่ยังยินดีพูดจายอมจานนเช่นนี้กับผู้เยาว์อย่างช ้า ถือว่าใต้เท้าสิงกวานพอจะมีมโนธรรมในใจอยู่บ้าง ทุกบ้านล้วนมี คัมภีร ์ที่อ่านยาก ไม่พูดถึงมันแล้ว ดื่มให้หมดชาม”
และนี่ก็เป็ นสาเหตุที่ว่าทาไมหาวซู่ถึงยินดีหิ้วเหล้ามา โดนด่า” ที่นี่ อย่างน้อยอยู่ที่นี่ก็สามารถได้ยินคาพูดจากใจจริง ไม่ต้องสนเรื่อง ขอบเขต โต๊ะสุราบนโลกมนุษย์ ทุกคนล้วนนั่งได้อย่างเท่าเทียมกัน
ต่งฮว่าฝูถาม “ด้วยขอบเขตของสิงกวาน ท าไมถึงไม่ไปแสวงหา ตาแหน่งที่เหนือกว่าที่นครแห่งอื่น?”
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ไปอยู่ที่ไหนก็ล้วนเป็ นที่ นิยมทั้งนั้น
ทุกวันนี้นครเสินเซียวที่อยู่ในห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ ายอวี้ จิงถือว่ามีตาแหน่งที่ไม่ต่าแล้วก็ไม่สูง
หาวซู่เอ่ย “จะดีจะชั่วข้าก็ยังมียศของอดีตสิงกวาน อยู่ที่นี่ก็
สามารถดูแลพวกเจ้าได้”
ทางฝั่งของนครบินทะยานในใต้หล้าห้าสี ฉีโซ่วคือสิงกวานคน ใหม่ ส่วนหนิงเหยานั้นเป็ นแค่ตัวแทนอิ่นกวานเท่านั้น ดังนั้นหากว่า กันในความหมายที่เข้มงวดแล้ว หาวซู่จึงถือว่าเป็ นอดีตสิงกวานแล้ว จริงๆ
ต่งฮว่าฝูเงยหน้ามองไปยังทิศไกล นครใหญ่ยักษ์ลอยสูงอยู่กลาง อากาศ ไอแห่งเซียนล่องลอย
นครหลิงเป่ าคือสถานที่บรรลุมรรคาของเจ้าลัทธิรองอวี๋โต้ว นครหนันหัวคือพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของเจ้าลัทธิสามลู่เฉิน
ส่วนนครชิงชุ่ยที่มีอีกชื่อหนึ่งว่านครอวี้หวงเคยเป็ นสถานที่ ถ่ายทอดมรรคาของเจ้าลัทธิใหญ่โค่วหมิง คือนครแห่งแรกที่ถูกสร ้าง ขึ้นมาในป๋ ายอวี้จิง เป็ นเพียงนครแห่งเดียวที่มี “อายุเท่ากัน” กับ หอจื่อขี่ที่มรรคาจารย์เต๋าสร ้างขึ้นกับมือตัวเอง
ส่วนหออวิ๋นสุ่ยและหอหลินหลางซึ่งเป็ นหนึ่งในสิบสองหอเรือน
ต่างก็เป็ นสายสืบทอดที่เจ้าลัทธิใหญ่ทิ้งเอาไว้
ไม่รู ้ว่าเหตุใด อีกเดี๋ยวเจียงอวิ๋นเซิงที่เพิ่งจะรับหน้าที่เป็ นเจ้านคร ชิงชุ่ยได้แค่ไม่กี่วันก็จะต้องปิดด่านแล้ว
ภายนอกต่างก็คาดเดากันว่าเจียงอวิ๋นเซิงได้รับโชควาสนาใหญ่ เทียมฟ้ า จึงต้องการจะสร ้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่สามารถฝ่ าทะลุ ขอบเขตสองขั้นติดต่อกัน พิสูจน์มรรคาบินทะยานภายในเวลาแค่ ไม่กี่ปี
ในความเป็ นจริงแล้วการคาดเดาประเภทนี้มีทั้งส่วนที่ถูกและส่วน ที่ไม่ถูก
ในชายแขนเสื้อชุดคลุมเต๋าข้างหนึ่งของเจ้าลัทธิลู่ที่ถูกเขาตั้งชื่อ ให้ว่า “จุดซ ้อมคนฉลาดทั่วหล้า” เคยซ่อนเทวบุตรมารตนหนึ่งที่จับ มาได้จากนอกฟ้ า จากนั้นก็แอบโยนไปไว้ในจิตแห่งมรรคาของ เจียงอวิ๋นเซิงที่ ได้เลื่อนขั้นขุนนางร่ารวยเงินทอง” อย่างเงียบเชียบ นี่ จึงเป็ นดั่งคากล่าวที่ว่าธรรมะสูงหนึ่งฉืออธรรมสูงหนึ่งจั้ง เจ้านครชิง
ชุ่ยไม่ได้เป็ นกันง่ายขนาดนั้น หากเจียงอวิ๋นเซิงมิอาจเอาชนะจิตมาร ได้ เกรงว่าก็ต้องสละร่างไปจากโลกนี้โดยตรง
รองเจ้าหอของสิบสองหอเรือน มากสุดคือต้องมีสองคน อีกทั้งยัง ต้องเป็ นเต้ากวานขอบเขตเซียนเหรินทั้งคู่จึงจะมารับตาแหน่งได้
แต่รองเจ้านครของห้านครกลับไม่มีจานวนคนที่แน่นอน มีได้ หนึ่งถึงสามท่าน ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของเจ้านครเท่านั้น
ระดับความสูงของห้านครสิบสองหอเรือนอิงจากการสะสม คุณูปการทุกๆ หกสิบปี ซึ่งจะมีการยกระดับขึ้นสูงและลดระดับลงต่า อย่างไม่เท่าเทียมกัน
ต่งฮว่าฝูถามอย่างประหลาดใจ “ใต้เท้าสิงกวาน ท่านรู ้หรือไม่ว่า เจ้าลัทธิใหญ่ไปอยู่ที่ไหน?”
หาวซู่ยิ้มเอ่ย “ความลับระดับสูงของป๋ ายอวี่จิงประเภทนี้ ข้าที่เป็ น คนนอกจะไปรู ้ได้อย่างไร คราวหน้าที่ลู่เฉินมาเป็ นแขกที่นี่อีกครั้ง เจ้า สามารถถามเขาได้”
จ าต้องยอมรับว่าลู่เฉินคือคนมหัศจรรย์คนหนึ่ง
ท้อเซียนแห่งนครเสินเซียว ลูกหลีอวี้หวงแห่งนครชิงชุ่ยล้วนเป็ น ที่ยอมรับของใต้หล้าว่ารสชาติเลิศล้า
นครชิงชุ่ยตั้งอยู่ทางเหนือสุดของป๋ ายอวี้จิง
นครแห่งเดียวได้ครอบครองถ้าสวรรค์อวี้หวงหนึ่งในสิบถ้าสวรรค์ ใหญ่ “ถ้าสวรรค์หลิงซือ” และ “ถ้าสวรรค์ฝู่เคอ” สองในสามสิบหกถ้า สวรรค์ ขณะเดียวกันยังได้ครอบครองพื้นที่มงคลสามแห่งของเจ็ดสิบ สองแห่งด้วย
อยู่ในป๋ ายอวี้จิงก็ถือว่ามีเพียงแค่ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น กวาดตามอง
ไปทั่วใต้หล้าหลายแห่งก็ยังหาแห่งที่สองไม่พบ
ใต้หล้ามืดสลัวมีโชคชะตาภูเขามากที่สุด
ฟ้ าแบ่งหยินหยาง จักรวาลแยกออกจากกัน ใสและขุ่นแยกจาก ผสานกันเป็ นแม่น้าลาคลองลาน้ามหาสมุทรอยู่บนพื้นดิน เบื้องบนมี ตะวันจันทราและดวงดารา ปราณวิญญาณผูกรวมเป็ นรากภูเขา ขุนเขาตั้งตระหง่าน เบื้องหล่างซุกซ่อนถ้าสวรรค์พื้นที่มงคล
ในอาณาเขตของสิบสี่มณฑล แต่ละแคว้นต่างก็ไม่มีค ากล่าวว่า “ห้าขุนเขา” ทว่าทุกมณฑลที่มีภูเขาที่มีชื่อเสียงจะได้ครอบครองนาม ว่า “เจิ้น” สี่มณฑลใหญ่ซึ่งมีโยวโจวเป็ นหนึ่งในนั้นสามารถควบนาม “เยว่” ไปด้วยได้ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการที่เจ้ากรมของกรมแห่ง หนึ่งในวงการขุนนางล่างภูเขาควบยศไท่ซือหรือไท่ฟู่ อีกสิบเจิ้นที่ไม่ มีนามเยว่จะได้นามเจิ้นไปครองแค่อย่างเดียว ดังนั้นล่างภูเขาจึงมีคา เรียกขานว่าสี่เจิ้นเยว่และสิบเจิ้น “เจิ้นเยว่” ทุกแห่ง เสินจวินจะสร ้าง ที่ว่าการรักษาความสงบขึ้นมา ซานจวินอีกสิบท่านจะมีตาแหน่งเทพ ต่ากว่าเล็กน้อย
วันนี้รองเจ้านครสองท่านที่เดิมที่ควรเข้าประชุมที่วังอวี้ชิงถึงกับ พร ้อมใจกันมาเยี่ยมเยือนที่กระท่อมแห่งนี้
หาวซู่ย่อมมองออกอยู่แล้วว่าพวกเขาอยู่ในรูปลักษณ์ของการ ปล่อยจิตหยินออกจากช่องโพรง เพื่อสืบทอดกิจการใหญ่พันปีและ ควันธูปของนครเสินเซียว สามีภรรยาคู่นี้ก็ทุ่มเทกันอย่างมากจริงๆ
แล้วก็จริงดังคาด หวังฉิงที่พอมาถึงก็เอ่ยเรียกชื่อของหาวซู่ตรงๆ แล้วพูดเข้าประเด็นทันที “หาวซู่ ฉวยโอกาสตอนที่วังอวี้ชิงยังไม่ได้ ปรึกษากันเรื่องสถานะของเจ้า ข้ากับภรรยายินดีจะแนะน าให้เจ้ารับ หน้าที่เป็ นเจ้านครเสินเซียว ขอแค่เจ้าพยักหน้าตกลง ร่างจริงของ พวกเราที่อยู่ในวังอวี้ชิงก็มีความมั่นใจที่จะแนะนาเรื่องนี้กับเจ้าลัทธิ ทั้งสองท่านแล้ว”
ศาลบรรพจารย์บ้านตนที่นครเสินเซียวได้ตัดสินใจดีแล้ว ต่างก็ รู ้สึกว่าให้หาวซู่รับหน้าที่เป็ นเจ้านครคือเรื่องที่สามารถทาได้
และหาวซู่เองก็ไม่เลอะเลื่อนเลยสักนิด เขาส่ายหน้าโดยตรง “เผือกร ้อนลวกมือประเภทนี้ไม่กินจะดีกว่า”
สาหรับผู้ฝึกกระบี่แล้ว ไม่ว่าอะไรก็ล้วนเป็ นมายาล่องลอยทั้งหมด มีเพียงขอบเขตที่มีความเป็ นจริงมากที่สุด
หาวซู่มีปณิธานอยู่ที่การเป็ นผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวขอบเขตสิบสี่ เขา ไม่มีความปรารถนาอย่างอื่นอีก
หาวซู่กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “รากฐานของนครเสินเซียวมี จ ากัด หากให้ข้าเป็ นเจ้านครของนครชิงชุ่ย บางทีข้าอาจจะยังพอ พิจารณาอยู่บ้าง”
เป็ นเจ้านครของที่นั่นก็จะได้ครอบครองถ้าสวรรค์แห่งหนึ่งอย่าง สมเหตุสมผล บุกเบิกเป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรม เรื่องของการหลอม กระบี่ก็จะเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลประโยชน์เป็ นเท่าตัว
อยู่ในนครเสินเซียวที่มีพื้นที่มงคลแค่แห่งเดียวนี้ หาวซู่ไม่คิดว่า การเป็ นเจ้านครจะมีผลประโยชน์ที่จับต้องได้จริงอะไร เพื่อชื่อเสียง จอมปลอมแล้ว กลับกลายเป็ นว่าจะต้องแบ่งสมาธิไปสนใจกับเรื่อง ทางโลกอยู่ตลอดทั้งปี คิดอย่างไรก็ไม่คุ้มค่าอยู่ดี