กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1077.2 ท่านอาจารย์ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย
กวอจู๋จิ่วหัวเราะ คล้ายจะมีความมั่นใจอย่างมาก นางมั่นใจในตัว อาจารย์พ่อของตัวเอง
แต่เซี่ยโก่วถึงอย่างไรก็คือเซี่ยโก่ว นางสัมผัสได้ถึงความกังวลใจ ของแม่นางน้อย
ฉางมิ่งลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยเรื่องวงในที่มากกว่า นั้นให้เซี่ยโก่วและกวอจู๋จิ่วรู ้
ต่อให้ในใจของนางจะตัดสินใจได้แล้วว่าจะอบรมปลูกฝังกวอจู๋ จิ่วให้เป็ นผู้คุมกฏภูเขาลั่วพั่วคนถัดไป เพียงแต่ว่ารีบร ้อนเกินไปย่อม ไม่อาจบรรลุผล ตนก็คงไม่ดึงหญ้าช่วยให้เติบโตแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้ แม่นางน้อยมีความคิดความกังวลมากเกินไปจนถ่วงรั้งการฝึกกระบี
ก่อนหน้านี้เจียงซ่างเจินผู้ถวายงานอันดับหนึ่งอยู่ในเรือนของจู เหลี่ยนได้ลากเอาเหวยเหวินหลงผู้ดูแลเฉวียนฟู่ ออกจากห้องบัญชีไป ด้วยกันอย่างที่หาได้ยาก อันที่จริงพวกเขาได้มีการประชุมเล็กๆ กัน ครั้งหนึ่ง
ก็ไม่รู ้ว่าเป็ นคากล่าวที่ใครเสนอขึ้นมาก่อน เปรียบเทียบพวกเขา เป็ น “สียักษ์ใหญ่แห่งภูเขาลั่วพั่ว นอกจากโจวอันดับหนึ่งที่ชอบอก ชอบใจแล้ว คนที่เหลืออีกสามคนกลับไม่ค่อยชอบคากล่าวนี้นัก
เจียงซ่างเจินพูดจาราวกับว่าหากไม่ท าให้คนตกใจตายจะไม่ยอม เลิกรา บอกว่านี้ก็คือสถานการณ์อย่างหนึ่งที่เจ้าอารามผู้เฒ่าทิ้งไว้ ให้เจ้าขุนเขาของพวกเรา
ฝังเส้นยาวไว้พันลี้ ก็เพราะอยากจะให้สภาพการณ์ของภูเขาลั่ว พั่วที่เป็ น “สวรรค์ ของพื้นที่มงคลแห่งใหม่กลายมาเป็ นป๋ ายอวี้จิงแห่ง ใต้หล้ามืดสลัว ต้องการให้เฉินผิงอันจ าต้องกลายไปเป็ นเจ้าลัทธิอวี๋ โต้ว
หากไม่ระวังให้ดีก็จะต้องพ่ายแพ้ทั้งกระดาน ความยากนั้นอยู่ ที่ว่าขอแค่คลีคลายสถานการณ์นี้ไปได้ แต่ผลลัพธ ์ไม่ได้เป็ นอย่างที่ เจ้าขุนเขาคาดหวังไว้ในใจ ถ้าอย่างนั้นการเดินทางไปถามกระบี่ที่ป๋ า ยอวี้จิงของเขาในอนาคตก็พ่ายแพ้ตั้งแต่ตอนนี้แล้ว
เจ้าลัทธิอวี๋โต้วดูแลสิบสี่มณฑลของใต้หล้ามืดสลัว เจ้าเฉินผิง อันแค่ดูแลพื้นที่มงคลเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้นก็ทาให้เละเทะได้ถึงขนาด นี้ ด้อยกว่าอวี๋โต้ว แล้วในอนาคตยังจะกล้า มีหน้าไปถามกระบี่ต่ออวี๋ โต้วอีกหรือ?!
ใช ้ก าลังของตัวเองคนเดียวสร ้างความวุ่นวายให้กับใต้หล้า คน ตายไปนับไม่ถ้วน ต่อให้เจ้าเฉินผิงอันจะมีเหตุผลที่ถูกต้องชอบธรรม สักกี่พันข้อ ใช ้ความไม่พอใจตอบแทนความไม่พอใจ….ผินเต้า อยากจะเห็นนักว่าเจ้าเฉินผิงอันจะมีจิตบุ๋นสีทองให้แหลกสลายได้สัก กี่ดวงกัน
ยืนพิงราวรั้ว ฉางมิ่งหรี่ตาลง หากสถานการณ์บีบบังคับ เจ้า ขุนเขามิอาจคลี่คลายสถานการณ์ได้ ภูเขาลั่วพั่วจ าเป็ นต้องฆ่าคน อย่างไร ้ความผิดพลาด ฆ่าจนคนในใต้หล้าใครก็ไม่กล้าท าผิด
ถ้าอย่างนั้นก็ให้ผู้คุมกฏของภูเขาลั่วพั่วอย่างข้ามาเป็ นคนท าเอง ก็แล้วกัน!
ในอารามต้ามู่ มีเพียงเฉินผิงอันที่นั่งลง เขาพูดเข้าประเด็นทันที “ดารงอยู่ในสถานะที่มีชัยและเดินไปบนหนทางที่นาชัยเหนือผู้อื่น คา ว่า “มีชัย” ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกาลังทั้งหมด แต่อยู่ที่ใจและการกระท า อยู่ ที่หลักการและเหตุผลที่สอดคล้องต้องกัน”
พูดง่ายๆ ก็คือเขากาลังบอกกับใต้หล้าของพื้นที่มงคลที่ไม่มีใคร รู ้ถึงรากฐานที่แท้จริงของภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ว่า การวางแผนปัดแข้งปัด ขากันก็ดี ประลองก าลังอย่างเดียวก็ช่างพวกเจ้าล้วนไม่มีโอกาสที่จะ ชนะได้
เฉินผิงอันผายฝ่ ามือข้างหนึ่งออกมา “เจตจานงแห่งสวรรค์สว่าง ไสวมิอาจซ่อนเร ้นเพียงแค่เพราะต้องการทวงความเป็ นธรรมให้แก่ใต้ หล้าเท่านั้น เกาจวินเจ้าประมุขพรรคหูซาน สหายเชิญนั่งลงตามข้า”
เกาจวินลังเลเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังคารวะด้วยขนบลัทธิเต๋แล้ว นั่งลงเงียบๆ ยังคงนั่งอยู่ในตาแหน่งที่เหนือใต้คุมเชิงกัน ทว่าพอนาง นั่งลงเช่นนี้กลับดูเหมือนว่านางเป็ นพันธมิตรกับภูเขาลั่วพั่วแล้ว
แต่เพื่อส่วนรวม เพื่อการวางแผนในระยะยาว เกาจวินก็จาต้องนั่ง ลงตามคาสั่ง หลีกเลี่ยงไม่ให้เฉินผิงอันและภูเขาลั่วพั่วไม่ใช ้เหตุผล อีกต่อไป
ในความเป็ นจริงแล้ว นับตั้งแต่ที่เจี่ยงเฉวียนปรากฏตัวกระทั่งถึง การช่วงชิงความได้เปรียบของโจวซูเจินและเฉานี่ ล้วนอยู่ นอกเหนือจากการคาดการณ์ของเกาจวิน ส่วนการลงมือของผู้ หลอมลมปราณและผู้ฝึกยุทธในภายหลังก็ยิ่งทาให้เกาจวินรู ้สึกอ่อน ใจเป็ นทบทวี ก็โชคดีที่เฉินผิงอันไม่ได้ทาเรื่องเล็กให้เป็ นเรื่องใหญ่ ใช ้โอกาสนี้พานโกรธมายังนางและพรรคหูซาน รวมไปถึงสมาชิกทุก คนที่เข้าร่วมการประชุมในอารามต้ามู่ เดือดร ้อนให้ใต้หล้าทั้งแห่ง เป็ นเหมือนบ้านผุพังที่มีแต่รูรั่วลมเข้าสี่ทิศ นางที่เป็ นโอสถทองจะเก็บ
กวาดอย่างไรได้ไหว?
ค าพูดเปิดฉากของเฉินผิงอันมีความหมายไม่น้อย “ในต าราลัทธิ เต๋ามีคากล่าวว่า เมื่อธรรมมะเสื่อมถอย ผู้คนจึงอาศัยเมตตาและ คุณธรรม เมื่อคุณธรรมเสื่อมสูญ จึงต้องพึ่งพิธีและแบบแผน แต่หาก พิธีและจารีตยังล่มสลาย เมื่อนั้นใต้หล้าย่อมปั่นป่ วน เป็ นเหตุให้มี อริยะปราชญ์ผู้มีคุณธรรมท่านหนึ่งของใต้หล้าทิ้งคาทานายประโยค หนึ่งซึ่งรอการพิสูจน์ความจริงในภายหลังว่า “ห้าร ้อยปีมีอริยะปรากฏ ผดุงคุณธรรมแทนสวรรค์ ปราบปรามความวุ่นวายกลับคืนสู่ความ สงบ ขอถามทุกท่านหน่อยว่า ทุกวันนี้ใครคืออริยะ?”
เกาจวินเงียบไม่ตอบ นางหรือจะกล้าเรียกตัวเองว่าเป็ นอริยะที่ ปรากฏตัวในรอบห้าร ้อยปี เกรงว่านอกเสียจากว่า “อวี่เซียน” ผู้เป็ น อาจารย์มานั่งอยู่ที่นี่ก็คงไม่มีใครกล้าตอบคาถามข้อนี้ของเฉินผิงอัน แล้ว
“ฝึกตนประสบความสาเร็จควบคู่ไปกับการกระทาที่มีคุณธรรม ทุกคนก็ล้วนเป็ นอริยะที่ว่านี้ได้ คุณธรรมไม่สมกับตาแหน่ ง ครอบครองต าแหน่งสูงอย่างไม่ชอบธรรม ทุกคนก็ล้วนไม่ใช่”
เฉินผิงอันมองที่นั่งสองแถวแล้วถามเองตอบเองว่า “หากเริ่มต้น การประชุมในวันนี้เป็ นเช่นนี้ก็จะง่ายมากแล้ว ข้าจะเป็ นคน ครอบครองตาแหน่งนี้เอง นับแต่วันนี้ไปร ้อยปีพันปีการด าเนินไปของ วิถีทางโลก สถานการณ์ของใต้หล้าก็ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของข้า คนเดียว ขึ้นอยู่กับการจัดการของภูเขาลั่วพั่ว”
อารามต้ามู่ที่ยังอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ บรรยากาศกลับเยียบเย็น เหมือนช่วงฤดูไม้ใบร่วงเข้าสู่ฤดูหนาว บังเอิญยิ่งนัก มีใบไม้ใบหนึ่ง ร่วงหล่นลงมาช ้าๆ จากจุดสูงพอดี ประหนึ่งเป็ นการให้ค าตอบแก่ เซียนกระบี่ชุดเขียวผู้นี้
เฉินผิงอันยกชายแขนเสื้อขึ้น ยื่นสองนิ้วไปคีบใบไม้ร่วงที่ยังคง เป็ นสีเขียวปลั่งราวกับจะคั้นน้าได้ กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ต้องการ เป็ นอริยะก็ควรต้องรู ้ว่าอริยะคืออะไร เมื่อรู ้ว่าอริยะคืออะไรก็จะรู ้ว่าควร เป็ นคนอย่างไร อะไรคือสันดานมนุษย์ แรกเริ่มของสันดานมนุษย์นั้น คืออะไร เป็ นเหตุให้อริยะเคยกล่าวไว้ว่าเดิมมนุษย์นั้นสันดานดีงาม
แต่ก็มีอริยะกล่าวไว้ว่ามนุษย์นั้นสันดานชั่วช ้า ขอถามทุกท่านว่า ใคร ผิดใครถูก?”
ในพื้นที่มงคลดอกบัวในอดีต ความรู ้ของสามลัทธิร ้อยสานัก ปะปนแพร่หลาย เพราะไม่เคยมีแซ่ตระกูลหรือแคว้นใดที่สามารถ รวบรวมใต้หล้าให้เป็ นปึ กแผ่นได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่เคยเกิด สถานการณ์ที่วิชาของสานักใดสานักหนึ่งผูกขาดหนึ่งเดียว
ขงจื๊อ พุทธ เต๋า ส านักนิติธรรม ส านักจังเหิง ส านักการค้าล้วน แพร่หลายอยู่ที่นี่ แต่เมื่ออยู่ภายใต้การจัดการอย่างจงใจของเจ้าแห่ง ถ้านี้เชียวหาดถั่วเป่ า คัมภีร ์หรือตาราอริยะปราชญ์ของใต้หล้า ไพศาลจึงไม่เคยแพร่หลายอยู่ในพื้นที่มงคล เจ๋อเซียนบางคนที่ไม่ รู ้จักหนักเบาชอบเข้าไปคลุกคลีอยู่ในวงการขุนนาง ด้วยความขี้ เกียจจึงให้ส านักพิมพ์จัดพิมพ์ต าราของโลกภายนอกเป็ นปริมาณ มาก จากนั้นสวมชื่อของตัวเองเข้าไป เหตุการณ์ใดที่มีเค้าลาง คล้ายคลึงกันนี้จะต้องถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าบดขยี้ทิ้งไปด้วยตัวเอง เจ๋อ เซียนที่รู ้ว่าผิดแต่ก็ยังทาพวกนี้จะมีจุดจบเป็ นเช่นไรในฝ่ ามือของเจ้า อารามผู้เฒ่า แค่คิดก็พอจะรู ้ได้
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช ้า “สันดานเดิมของมนุษย์นั้นไม่รู ้จักพอ พอ ได้เติมเต็มความอยากอาหารก็อยากให้อาหารทั้งสามมื้อมีเหลือเฟือ มีเสื้อผ้าอุ่นแล้วก็อยากให้ปักลายงามประณีต เดินทางก็อยากมีรถม้า มารับส่ง แล้วก็ยังอยากเหาะเหินเดินอากาศให้ได้อีก ข้ามภูเขา สายน้าเหมือนกระโดดข้ามคูน้า อยากให้มีทรัพย์สินมีเงินเก็บ
เหลือเฟือ จากนั้นก็อยากจะเป็ นเศรษฐีอันดับหนึ่งในใต้หล้า อยาก เล่าเรียนเขียนอ่าน แล้วจึงอยากเป็ นขุนนาง ยิ่งอยากเป็ นนายของ ผู้อื่น อยากเป็ นผู้ครองใต้หล้า อยากมีอายุขัยยืนยาว แล้วก็ไม่อยาก ตายอยากจะพิสูจน์มรรคาเป็ นอมตะ มีชีวิตยืนยาวอยู่เคียงข้างฟ้ าดิน พื้นที่คับแคบอยากจะให้กว้างขวาง คนยากจนอยากจะร่ารวย ฐานะ ต่าต้อยอยากสูงศักดิ์ คนแก่อยากเป็ นเด็ก คนตายไปแล้วอยากมีชีวิต กลับคืนมาใหม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากให้ร่างทองเสื่อมโทรม แม้ผ่าน กาลเวลายาวนานเป็ นพันปี มนุ ษย์ก็ยังไม่รู ้จักคาว่าพอ นี่คือ ความรู ้สึกทั่วไปของมนุษย์ และคือความปกติทั่วไปของทางโลก เป็ น เหตุให้ “ข้า” มีไร่นา มีบ้านเรือน มีเงินทอง มีแคว้น มีใต้หล้า จากนั้น “ข้า’ ก็มีการร่วมมือกับคนอื่น มีการแข่งขันแย่งชิง มีคนร่วมเส้นทาง มีการเช่นฆ่า มีสงคราม มีการเลือกเก็บไว้และเลือกทิ้งไป มีได้มีเสีย ใจคนขึ้นลงไม่แน่นอน มีการอยู่ร่วมกับคนในสังคม มีมารยาทและไร ้ มารยาท ดูแลบ้านเรือนปกครองบ้านเมือง ถูกกฎหมายและไม่ถูก กฎหมาย สองทัพคุมเชิงกัน มีสัจจะและไม่มีสัจจะ จึงเป็ นเหตุให้โลก มนุษย์มีเป็ นและตาย สรรพชีวิตมีโชคและเคราะห์ ใต้หล้ามีความสงบ มีความวุ่นวาย วิถีทางโลกมีดีมีเลว”
ซานจวินห้ามหาบรรพตได้ยินแล้วต่างก็ท าท่าครุ่นคิด
ซ่งไหวเป้ าที่ผ่อนคลายเกียจคร ้านก็ยิ่งหันหน้าไปมองเซียนกระบี่ ชุดเขียวที่นั่งนิ่งด้วยท่าทางองอาจประหนึ่งศพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ กล่าวถึงในต าราลัทธิเต๋บางเล่ม
เจิ้งเฟิ่งโจวซานจวินแห่งขุนเขาตะวันออกค้นพบเรื่องที่ค่อนข้าง น่าสนใจ ดูเหมือนว่าเซียนกระบี่เฉินแห่งภูเขาลั่วพั่วท่านนี้จะใช ้คาว่า “คน” เรียกรวมสมาชิกที่เข้าร่วมการประชุมทุกคน
แต่ผู้ฝึ กยุทธเฒ่าที่มิอาจฝึ กเซียนได้อย่างอู๋แชว่กลับฟังแล้ว อยากสัปหงกยิ่งนัก ตาปรือเหมือนจะหลับ ได้แต่หลับตาท าสมาธิแทน
ซุนหว่านแย่นยกมือขึ้นคล้ายอยากจะอ้าปากหาว แต่นางก็ ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าไม่เหมาะสมจึงวางมือลงเบาๆ ทรมานนัก เหมือนเด็กนักเรียนประถมที่กาลังฟังอาจารย์ผู้เฒ่าคร่าครีพูดพล่าม ไปเรื่อยจริงๆ
กลับเป็ นเฉานี่ที่เพิ่งจะสร ้างเรื่องน่าอับอายที่พอได้ยินเนื้อหาที่ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกยุทธเลย แม้กระทั่งผู้หลอมลมปราณก็ยังรู ้สึกว่าจืดชืด น่าเบื่อไร ้รสชาติ มือกระบี่ที่ชอบท่องไปในยุทธภพ ขึ้นเขาเสาะหา วิถีทางผู้นี้กลับมีจิตใจที่นิ่งสงบมากขึ้นเรื่อยๆ
เฉินผิงอันวางใบไม้สีเขียวปลั่งใบนั้นลงบนที่วางแขนเก้าอี้ สอง มือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอเชิญทุกท่านที่อยู่ ที่นี่เก็บความคิดกันไว้ชั่วคราวก่อน ไม่สู้ลองถามใจตัวเองดูก่อนว่า การฝึ กบ าเพ็ญตนคืออะไร? วิชาการขึ้นเขา คาถาแห่งความเป็ น อมตะ มรรคกถาวิชาอภินิหาร เหมือนและแตกต่างจากการท าไร่ไถ นาของคนในชนบท งานฝีมือนับร ้อยประเภท และความรู ้ของเหล่า ปราชญ์ผู้ล่วงลับตรงไหน?”
ในที่สุดก็มีคนตอบคาถามของเฉินผิงอันเป็ นคนแรก ก็คือซานจ วิน “เด็กน้อย” ที่แต่งกายประหลาดคนนั้น เขาเอ่ยเสียงทุ้มจริงจังว่า “โดยแก่นแท้ไม่มีความต่าง แต่ความต่างเพียงเล็กน้อยนั้นอยู่ที่ว่า ผู้ ฝึกบาเพ็ญตนย่อมแสวงหามรรคา พึงบาเพ็ญทั้งนิสัยใจคอและชะตา ชีวิต จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ต่อให้คาตอบในตาราจะดีแค่ไหนก็ไม่ใช่สิ่งที่ เจ้ารู ้อย่างแท้จริง ไม่ต้องรีบร ้อน ลองคิดลองตอบดูใหม่ ถือโอกาสนี้ เตือนไหวซานจวินสักค าว่า ค าพูดกว้างขวางเลื่อนลอยที่มอง ภาพรวมจากเบื้องบนกับการไล่ระดับจากล่างขึ้นบนอย่างละเอียด ซับซ ้อนล้วนเป็ นความจริงได้ทั้งคู่”
ไหวเซี่ยพยักหน้า
ในใจอวี้เตี้ยซ่างเหรินหงุดหงิดสุดขีด มารดามันเถอะ เจ้าเด็ก ไหวเซี่ยผู้นี้แย่งความมีหน้ามีตาของตนไปเสียแล้ว! หากรู ้แต่แรกตน ก็คงชิงเปิดปากก่อน หากจะพูดถึงการพูดคุยเรื่องที่ลี้ลับมหัศจรรย์ พวกนี้ เขาถนัดนักล่ะ!
เฉินผิงอันกล่าวต่ออีกว่า “ทุกท่านควรต้องรู ้น้าหนักของคาว่า “ร่างกายมนุษย์นั้นหาได้ยากยิ่ง” เมื่อได้เกิดเป็ นมนุษย์แล้วถือเป็ น ความโชคดีอันยิ่งใหญ่ ควรตั้งใจศึกษาเล่าเรียนมีปณิธานแน่วแน่ คิด พินิจอย่างลึกซึ้งตรวจสอบอย่างรอบคอบ สั่งสมไปวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า สร ้างคุณความดีโดยไม่หยุดยั้ง จิตใจเชื่อมถึง เทพ เข้าใจกลมกลืนกับกฎฟ้ าดิน นี่จึงเป็ นเหตุให้อริยะมิใช่อื่นใด
นอกจากคน ผี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภูตประหลาด ลาดับขั้นแบ่งชัดเจน เดิน ไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ผลลัพธ ์เกิดจากสิ่งที่สะสมมา ไม่ว่าเจ้าจะเป็ น ผู้ฝึกตน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็ นผีเป็ นสาง ก็มิอาจบรรลุมรรคา มีเพียงเนื้อ หนังที่ตายแล้วที่คอยประคับประคองเวทคาถาร ้อยพันที่มีชีวิต ต่อให้ เจ้าเป็ นผีวิญญาณหยิน แต่หากจิตแห่งมรรคาใสกระจ่าง ในเท็จมีจริง
กลับกลายเป็ นว่าสามารถเดินบนมหามรรคาได้”
อวี้เตี้ยซ่างเหรินที่ในมือถือแส้ปัดฝุ่ นยืนอยู่อย่างเคร่งขรึมค้น พบว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวคล้ายจะเหลือบมองตน ซานจวินที่ชอบ เรียกตัวเองด้วยความภาคภูมิใจว่า “ชาวประชาแห่งดินแดนเบื้องบน” อีกทั้งยังคิดที่จะใช ้ “คาพูดใหญ่โตปะทะคาพูดใหญ่โต ทาการถก มรรคาสักครั้งผู้นี้พลันเงียบกริบเป็ นจักจั่นในหน้าหนาว ไม่กล้าเปิด ปากพูดจาส่งเดชอีก รีบล้มเลิกความคิดที่จะตีสนิทอีกฝ่ายไปทันที
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “แน่นอนว่าอริยะปราชญ์ก็มีเคยมีคาสอนบอก ว่า คาพูดที่ไร ้เหตุผลการกระทาที่ไม่โปร่งใส แผนการที่ไม่เปิดเผย วิญญูชนควรระมัดระวังให้ดี”
ยื่นนิ้วชี้ไปที่ท้องฟ้ า เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เคยมีอาจารย์พูด ถึงฟ้ า ดวงดาวเคลื่อนโคจร ตะวันจันทราประชันส่องแสง สี่ฤดูกาล หมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน หยินหยางผสมผสาน ลมฝนพัดโปรยปราย สรรพสิ่งได้รับความสมดุลจึงเติบโต ถูกหล่อเลี้ยงจนอุดมสมบูรณ์ ไม่ เห็นกระบวนการแต่เห็นผลลัพธ ์ นี่แหละที่เรียกว่าความศักดิ์สิทธิ์ ทุก คนรู ้ถึงผลสาเร็จ แต่ไม่เคยมีใครมองเห็นรูปร่าง นี่แหละที่เรียกว่า
ธรรมชาติ ฟ้ าดินผสานหมื่นสรรพสิ่งบังเกิด หยินหยางเชื่อมต่อนามา ซึ่งความเปลี่ยนแปลง ตะวันจันทราดารา ขุนเขาสายน้ายี่สิบสี่ช่วง อากาศเจ็ดสิบสองช่วงเวลา สมมติว่าเงื่อนไขเบื้องต้นนั้นไม่มี ข้อผิดพลาด ในเมื่อเป็ นเช่นนี้ มนุษย์ที่อยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ ก่อน จะเดินขึ้นเขา ผู้ฝึกตนอย่างเราๆ เดินขึ้นเขาสู่ที่สูงแล้วควรจะจัดการ
ตัวเองอย่างไร?”
เงียบไปพักหนึ่ง เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “อริยะผู้มีคุณธรรมที่เป็ น ผู้สร ้างและผู้ปกป้ องสถานที่แห่งนี้มานานหลายปีสอนพวกเจ้าว่าอะไร คือมหามรรคาแปรปรวนไม่แน่นอน ให้พวกเจ้ารู ้จักเคารพย าเกรงต่อ ฟ้ าดินกว้างใหญ่ที่อยู่นอกกาย โลกภายนอกก็มีอริยะปราชญ์กล่าว ไว้ว่าธรรมชาติเดินไปตามกฎเกณฑ์แห่งตน มนุษย์และฟ้ าดินต่าง ด ารงความแตกต่างอย่างชัดเจน”
และเวลานี้เอง ซานจวินแห่งขุนเขาตะวันออกที่สวมเสื้อสีเขียวห่ม เกราะสีทองก็เปิดปากเอ่ยว่า “คาถามของอาจารย์เฉินก่อนหน้านี้ ขอให้ข้าได้บังอาจแสดงความคิดเห็น สันดานเดิมของมนุษย์นั้นดี งามกับสันดานเดิมมนุษย์นั้นชั่วร ้าย มองดูเหมือนว่าเป็ นสองขั้วที่ ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดุจน้ากับไฟที่เข้ากันไม่ได้ แต่แท้จริงแล้วไม่แน่ เสมอไปว่าทั้งสองอย่างนี้จะกลมกลืนกันไม่ได้ ขยายฐานคุณธรรมทั้ง สี่ให้กว้างไกล แสวงหาการปลดปล่อยใจให้สงบมั่น ปรับแก้ธรรมชาติ ของตนให้สมบูรณ์งดงาม บรรลุหนทางแห่งธรรมและคุณธรรมอัน สมบูรณ์ นั่นคือหนทางแห่งการฝึกบาเพ็ญตนอย่างแท้จริง ฟ้ าส่วน
ฟ้ า มนุษย์ส่วนมนุษย์ มืดสว่างอยู่กันคนละเส้นทาง ความสงบและ ความวุ่นวาย โชคและเคราะห์ ล้วนอยู่ที่คนหาใช่อยู่ที่ฟ้ าไม่ ต่อให้จะ มีควันธูปเช่นบวงสรวง แต่กระนั้นก็ยังเป็ นเรื่องของมนุษย์หาใช่เรื่อง ของผีไม่ใช่หรือ?”
เมื่อถามไปแล้ว ซานจวินท่านนี้ไม่รอคาตอบจากเฉินผิงอันก็ ถามอีกว่า “อาจารย์เฉินข้าสามารถเข้าใจอย่างคร่าวๆ ว่า…ความ เพียรของมนุษย์สามารถเอาชนะชะตาฟ้ าลิขิตได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ตามหลักแล้วควรเป็ นเช่นนี้”
จ้าวจวี้หรานเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “รับคาสั่งสอนแล้ว!”
เฉินผิงอันผายฝ่ ามือข้างหนึ่งออกมา ยิ้มเอ่ยว่า “จ้าวจอี้หราน แห่งขุนเขาตะวันออกสหายจ้าวนั่งลงได้แล้ว”
จ้าวจวี้หรานกุมหมัดคารวะ นั่งลงด้วยรอยยิ้ม เสียงเสื้อเกราะดัง กระทบกัน ชุดคลุมสีเขียวที่อยู่ด้านนอกพลิ้วไสวเบาๆ ดุจลวดลาย แห่งเมฆคล้อยน้าไหล
คนส่วนใหญ่กลับฟังด้วยความมึนงง มีแต่จะยิ่งรู ้สึกว่าน่าเบื่อ หน่าย ยิ่งง่วงหนักกว่าเก่า นอกจากจะร าคาญแล้ว ความเหมือนกัน เพียงหนึ่งเดียวก็คือรู ้สึกเสียใจภายหลังที่มาลุยน้าขุ่นบ่อนี้
หากเกาจวินบอกให้ชัดเจนตั้งแต่แรก พวกเขารู ้กันมาก่อนว่า การประชุมที่อารามต้ามู่ครั้งนี้ต้องคุมเชิงเป็ นศัตรูกับเซียนกระบี่เฉิน อย่าว่าแต่เชิญเลย ขอร ้องให้มาพวกเขายังไม่มา!
ซ่งไหวเป้ าพลันถามคาถามที่มองดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน เลย อีกทั้งยังถามได้ค่อนข้างน่าสนใจ ทาให้คนไม่น้อยที่กาลังง่วงงุน เกิดความสนใจ ค่อนข้างใคร่รู ้ว่าค าตอบจะเป็ นอย่างไร
เรือไม้ลาหนึ่งที่ผ่านการซ่อมแซมมาปีแล้วปีเล่า ชิ้นส่วนล้วนถูก เปลี่ยนใหม่หมด ไม่ทราบว่าเรือลานี้จะยังเป็ นเรือลาเดิมอีกหรือไม่?
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “แคว้นหนึ่งมีการปกครองอย่างชอบธรรม หรือไม่ก็อยู่ที่ว่ามีครบทั้งชื่อและเนื้อแท้หรือไม่ ขาดสิ่งใดไปก็คือการ ได้ปกครองแคว้นอย่างไม่ชอบธรรม หากใช ้วิธีนี้อนุมาน เรือลานี้ก็จะ จัดอยู่ในกรณีที่ชื่อกับเนื้อแท้ไม่สอดคล้องตรงกัน มีแต่ชื่อเรียก ไม่มี เนื้อแท้หากมีเนื้อแท้ก่อนคือผิด มีชื่อก่อนก็คือถูก ซ่งซานจวิน อธิบายแบบนี้พอจะเข้าใจได้หรือไม่?”
ซ่งไหวเป้ ากระจ่างแจ้งทันใด กุมหมัดกล่าว “ประหนึ่งเมฆลอย ออกห่างได้เห็นแสงตะวัน ได้ความรู ้แล้ว ได้ความรู ้แล้ว”
เงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ถามอย่างระมัดระวังว่า “อาจารย์เฉิน ข้านั่ง ลงได้แล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
ซ่งไหวเป้ ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาย่อมไม่กล้าตอบว่าข้าคิด ว่าสามารถนั่งได้แล้วจึงได้แต่ยืนต่อไปแต่โดยดี
“พอดีกับที่คาถามนี้ของซ่งซานจวินสามารถต่อยอดไปอีก ประเด็นหนึ่งได้