กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 104.2
หลินโวอีหยิบตำราโบราณลัทธิเต๋าม้วนนั้นขึ้นมาเบาๆ พอเอามาถืออยู่ในมือ เด็กหนุ่มที่มีนิสัยนิ่งขรึมเก็บตัวกลับเผยสีหน้าชื่นชอบถูกใจอย่างที่หาได้ยาก
จูเหอเลือกหนังสือเล่มหนึ่งและยาเม็ดหนึ่งที่ปิดผนึกด้วยดิน จากนั้นก็เงยหน้ามองชายฉกรรจ์สวมงอบด้วยสีหน้าตะลึงลาน ฝ่ายหลังหัวเราะเฮอๆ “ทำไม เป็นของที่เจ้ากับบุตรสาวของเจ้าใช้ได้พอดีเลยใช่ไหม? ไม่ต้องขอบคุณข้า จะขอบคุณก็ขอบคุณเว่ยป้อและงูสองตัวนั้นที่ตลอดหลายร้อยหลายพันปีมานี้มานะสั่งสมทรัพย์สมบัติเอาไว้มากพอ จึงสามารถเอาตำราลับการเรียนวรยุทธ์ของตระกูลเซียนและยาเม็ดหนึ่งที่มีเฉพาะในเขาเจินอู่ออกมาได้”
ฝ่ามือของจูเหอประคองยาเม็ดนั้นเอาไว้ พูดเสียงสั่น “ผู้อาวุโสอาเหลียง นี่คือ ‘ดีวีรบุรุษ’ ที่พูดถึงกันในตำนานจริงๆ หรือ?”
อาเหลียงไม่สนใจจูเหอที่กำลังปิติยินดีอย่างบ้าคลั่งอีก เขาเงยหน้ามองไปเห็นเฉินผิงอันเดินเคียงบ่ามากับเว่ยป้อ ฝ่ายหลังเห็นว่าในหอร้อยสมบัติเหลืออยู่แค่เมล็ดพันธ์สีทองอ่อนเมล็ดหนึ่ง รวมไปถึงดาบแคบในมือหลี่เป่าผิง สีหน้าของเทพเจ้าที่หนุ่มเรียบเฉย ทว่าเมื่อเขาเห็นตำราและยาในมือของคนที่เหลือก็อึ้งงัน อดหันไปมองชายฉกรรจ์สวมงอบไม่ได้ ฝ่ายหลังแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เพียงพูดกับเฉินผิงอันยิ้มๆ ว่า “เหลือแค่ของเล่นเม็ดนี้แล้ว แต่ไม่ว่าเจ้าจะมาช้าหรือมาเร็วก็เหมือนกัน คงได้แต่เอาเม็ดบัวเม็ดนี้ไปเท่านั้น”
มองเม็ดบัวสีทองอ่อนที่วางอยู่อย่างโดดเดี่ยว เฉินผิงอันก็นั่งยองลงเก็บมันเข้าไปไว้ในกระเป๋าตรงชายแขนเสื้อด้วยรอยยิ้ม
หลี่เป่าผิงพูดเสียงเบาว่า “อาจารย์อาน้อย ข้าแลกกับท่าน อาเหลียงบอกว่าดาบเล่มนี้ดีมากเลย…”
พูดมาถึงตรงนี้นางก็รีบหุบปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจภายหลัง เห็นได้ชัดว่าประโยคครึ่งหลังนั้นเป็นประโยคที่นางไม่ควรพูด แล้วก็จริงดังคาด เฉินผิงอันลูบศีรษะนาง “ดีก็เก็บไว้สิ อาจารย์อาน้อยไม่ได้ฝึกดาบเสียหน่อย เวลาขึ้นเขาใช้แค่มีดผ่าฟืนก็พอแล้ว”
อาเหลียงกล่าวอย่างสนุกสนาน “ก็ใช่น่ะสิ เฉินผิงอันคือมือกระบี่คนหนึ่ง พกดาบย่อมไม่เหมาะ”
เฉินผิงอันพูดเสียงขุ่น “เจ้าเองก็ยังใช้แค่ดาบไม้ไผ่ไม่ใช่หรือ?”
อาเหลียงพูดเฉไฉ “เจ้ายุ่งอะไรด้วย?”
หลี่ไหวพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “อาเหลียง กล่องนี้เป็นของข้า ใช่ไหม?”
อาเหลียงถาม “เจ้าจะเอากล่องนี่ไปทำไม? เจ้ามีสมบัติมีของล้ำค่าให้เก็บมากขนาดนั้นเลยหรือ?”
หลี่ไหวย้อนคืน “เจ้ายุ่งอะไรด้วย?”
คนทั้งกลุ่มต่างก็ได้ของไปคนละชิ้น แม้แต่เทพเจ้าที่หนุ่มเว่ยป้อและงูดำก็ยังเป็นเช่นนี้ นอกจากงูขาวที่หัวขาด ลำตัวถูกกินแล้ว ก็สามารถเรียกได้ว่าทุกคนต่างยินดีกันถ้วนหน้า
เฉินผิงอันได้เม็ดบัวสีทองอ่อนซึ่งค่อนข้างจะเหี่ยวแห้ง ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มัวไปเม็ดหนึ่ง หลี่เป่าผิงได้ดาบแคบที่มีนามว่ายันต์มงคลเล่มนั้นไป แต่กลับอารมณ์ดี แถมยังวางมันพิงไว้ในหีบหนังสือใบเล็กด้วยความรังเกียจเล็กน้อย แต่นางก็ยังคงทำตามคำแนะนำของอาจารย์อาน้อย นั่นคือใช้ผ้าฝ้ายห่อหุ้มมันไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างแน่นหนา จึงไม่มีส่วนไหนของดาบแคบโผล่ออกมาข้างนอก
หลี่ไหวได้หุ่นไม้ลงสีและกล่องไม้เจียวหวงไป ฝ่ายแรกต้อง “อาศัย” วางไว้ในหีบหนังสือของหลี่เป่าผิงก่อนชั่วคราว ก่อนหน้าที่จะใส่ไว้ในหีบ เด็กชายยังมีท่าทางอาลัยอาวรณ์อย่างมาก ตบอกพูดรับรองกับหุ่นไม้ชิ้นนั้นไม่หยุดว่า รอให้ตนมีหีบหนังสือเป็นของตัวเองเมื่อไหร่จะย้ายบ้านให้มัน รับรองว่าต้องกว้างขวางแน่นอน หลิ่นโส่วอีเก็บตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ไว้ติดตัวตลอดเวลา แม้ชื่ออาจฟังดูประหลาดไปบ้าง แต่มีท่วงทำนองของความโบราณเต็มเปี่ยม
ส่วนจูลู่ที่แม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็ยังเก็บตำราลับของตระกูลเซียนอย่าง ‘หนังสือปราณม่วง’ เล่มนั้นไว้
ส่วนจูเหอกลับโชคดีเหมือนแผ่นดินแตกระแหงที่ได้รับฝนชุ่มฉ่ำ ชายฉกรรจ์ที่สุขุมเยือกเย็นเสมอมา บัดนี้กลับยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง เพราะเขาโชคดีมากเหลือเกิน ตอนนี้หากมอบภูเขาเงินภูเขาทองให้เขาลูกหนึ่งก็ยังเทียบไม่ได้กับมอบดีวีรบุรุษเม็ดเดียวของเขาเจินอู่ที่มีเงินก็หาซื้อไม่ได้ ยานี้สามารถช่วยให้คนที่กินเข้าไปรวบรวมจิตวิญญาณซึ่งกระจายตัวไปอยู่ตามช่องโพรงลมปราณต่างๆ สุดท้ายก่อตัวขึ้นเป็นดีวีรบุรุษซึ่งเป็นดั่ง “บ้าน” ที่ให้จิตหยินพักพิง จูเหอไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ ยิ่งไม่ใช่นักพรตสำนักการทหาร แต่ความล้ำค่าหายากของดีวีรบุรุษนั้นอยู่ที่ว่ามันเหมาะสมกับคนที่ฝึกวรยุทธ์อย่างเดียวแบบเขาพอดี โดยเฉพาะชาวบู๊ที่หยุดค้างอยู่ในขั้นสูงสุดของขอบเขตที่ห้าโดยไม่มีการพัฒนา การที่ได้ดีวีรบุรุษมาเม็ดหนึ่งก็เท่ากับว่ามีชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
อาเหลียงถามเสียงเบา “คุยกับเทพเจ้าที่ว่ายังไงบ้าง?”
เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “คุยกันดี ของถุงนั้นก็มอบให้เขาไปแล้วด้วย”
อาเหลียงจุ๊ปากพูด “เจ้านี่ไม่เลอะเลือนเลยนะ บอกจะให้ก็ให้ ก่อนหน้านี้ข้าก็แค่พูดไปส่งเดชอย่างนั้นเอง อีกอย่างหากจะพูดกันตามภาษาคนค้าขาย อันที่จริงเจ้าก็ควรจะมองมันเป็นการค้าอย่างหนึ่ง เชื่อว่าด้วยทรัพย์สมบัติของงูขาวงูดำคู่นั้น ต่อให้มันจะขี้เหนียวแค่ไหนก็ยังต้องยินดีมอบของดีที่แท้จริงให้เจ้าชิ้นหนึ่ง”
เฉินผิงอันกล่าว “หลักการที่ว่าน้ำปุ๋ยไม่ไหลสู่นาของคนอื่น และวสันต์ปลูกสารทเก็บเกี่ยวนั้น ข้ายังพอจะเข้าใจอยู่บ้าง”
อาเหลียงพยักหน้ารับ ยกมือจับประคองงอบ “อีกไม่นานก็จะถึงเมืองหงจู๋แล้ว”
จากนั้นชายผู้นี้ก็เช็ดน้ำลายของตัวเอง “เหล้าดอกซิ่งวสันต์หมักใหม่ สาวงามบนเรือเล็ก ข้าอาเหลียงกลับมาอีกครั้งแล้ว!”
เฉินผิงอันพลันเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่างต่อเมืองหงจู๋ที่อาเหลียงคะนึงถึงอยู่ตลอดเวลา
เว่ยป้อมองแผ่นหลังของคนกลุ่มนั้นที่เดินลงจากภูเขาไปแล้วถอนหายใจ แตะปลายเท้าหนึ่งครั้งก็กระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนกระดองของเต่าภูเขาตัวหนึ่ง แล้วจึงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ หลังจากเดินทางออกไปได้หลายสิบลี้ งูดำที่ท้องป่องก็โผล่มาเดินทางไกลเคียงข้างมัน แม้ว่าร่างจะบวมฉุดูอืดอาด แต่พลังอำนาจกลับทะยานพรวดพราด ดุร้ายผิดปกติ
เว่ยป้อพลันคลี่ยิ้ม โยนถุงใบหนึ่งไปทางมัน ถุงนั้นตกอยู่บนเส้นทางเบื้องหน้ามันพอดี งูดำลดศีรษะลงอย่างระมัดระวัง ดมกลิ่นอยู่ชั่วครู่ ไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติ มันจึงหันศีษะไปมองเทพเซียนที่นั่งอยู่บนหลังเต่าภูเขาท่านนั้น
เทพเจ้าที่หน้าตาหล่อเหลามีสง่าราศีดุจเทพเซียนกล่าวยิ้มๆ “ถือว่าเป็นของขวัญย้ายบ้านที่เด็กหนุ่มคนนั้นมอบให้เจ้า”
งูดำที่หน้าท้องมีกรงเล็บสี่ข้างงอกขึ้นมาลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ใช้เขียวฉีกถุงผ้าออก ครั้นแล้วหินดีงูหลายสิบก้อนที่เด็กหนุ่มเก็บมาจากธารน้ำหลงซวีก็กลิ้งหลุนๆ ออกมา สีสันของพวกมันตอนที่อยู่ในธารเล็กซีดหายไปแล้ว มองปราดๆ ก็แทบไม่ต่างอะไรจากหินไข่ห่านที่อยู่ในธารน้ำทั่วไป แต่พองูดำขยับเข้าไปจ้องมองในระยะประชิด สายตากลับฉายประกายร้อนแรง ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความกระวนกระวาย กลัวว่านาทีถัดมาตัวเองจะต้องเจอกับความผิดหวัง มันแลบลิ้นออกมาช้าๆ พยายามที่จะม้วนเอาหินก้อนหนึ่งเข้าปาก
พอเทพเจ้าที่หนุ่มเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ขี่เต่าภูเขาให้เดินหน้าต่อไป พูดพึมพำกับตัวเองว่า “บุญสัมพันธ์ที่เริ่มต้นด้วยดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะจบลงด้วยดีหรือไม่”
ครู่หนึ่งต่อมา งูดำที่อยู่ด้านหลังก็กางกรงเล็บคว้าพื้นดิน แหงนหน้ามองท้องฟ้า แผดเสียงคำรามดังก้องไปทั้งยอดเขา ทำเอานกจำนวนนับไม่ถ้วนตกใจสะบัดปีกบินหนีแตกฮือ
ต่อให้เป็นเทพเจ้าที่หนุ่มก็ยังอดรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยไม่ได้ “ได้ยินมาว่าตอนนี้นอกจากถ้ำสวรรค์หลีจูแล้ว วัตถุประเภทนี้ก็แทบจะสาบสูญไปจากบุรพแจกันสมบัติทวีปแล้ว สัตว์ประเภทงูและเจียวที่หากกินมันเขาไปจะทำให้มีเล็ด หนวด กระดูกและเส้นเอ็นของเจินหลงงอกขึ้นมา”
ขยับเข้าไปใกล้เมืองหงจู๋ ลาสีขาวเดินย่ำอยู่บนแผ่นหินสีเขียวของทางเดินม้า เกิดเป็นเสียงกุบกับ กุบกับดังกังวาน อาเหลียงไม่ได้ถือเชือกจูงลา มันก็ยังคงตามมาด้านหลังได้ด้วยตัวเอง หลังจากอาเหลียงได้ยินเสียงคำรามนั้นแว่วๆ ก็ยิ้มพูดว่า “ดูท่าจะมีประโยชน์จริงๆ”
เฉินผิงอันพูดเสียงเบา “ข้าเก็บหินดีงูที่มีค่ามากที่สุดเอาไว้ก้อนหนึ่ง ตัดใจมอบให้มันไม่ลง”
อาเหลียงหัวเราะร่า “ขี้เหนียวจริงๆ”
ด้านหลังสุดของขบวน หลังจากทิ้งระยะห่างช่วงหนึ่งกับหลี่ไหวและหลินโส่วอีแล้ว จูเหอที่จูงม้าพูดเบาๆ กับบุตรสาวไปด้วยว่า “ต้องเก็บรักษา “ตำราปราณม่วง” เล่มนั้นไว้ให้ดี หากเหตุการณ์ราบรื่น ตำราเล่มนี้จะสามารถทำให้เจ้าเดินสู่ขอบเขตที่ห้าได้สำเร็จ! เมื่อถึงเวลานั้นมีดีวีรบุรุษเม็ดนั้นคอยช่วย เจ้าก็จะเลื่อนสู่ขอบเขตที่หกได้อย่างมั่นคง!”
เด็กสาวตะลึงงัน “ท่านพ่อ ท่านมอบยาเม็ดนั้นให้ข้า แล้วท่านจะทำอย่างไร?”
จูเหอหัวเราะเสียงเบา “พ่อยังหนุ่ม ตอนนี้ความมั่นใจก็กลับมาแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะฝ่าทะลุขอบเขตได้ด้วยตัวเอง เมื่อเดินก้าวออกไปข้างหน้าก้าวใหญ่ก็จะเป็นทัศนียภาพบนจุดสูงของขอบเขตที่เจ็ดแล้ว และตอนนี้พ่อก็กล้าจะคิดถึงภาพนั้นขึ้นมาบ้างแล้ว”
เด็กสาวที่เดิมทีกลุ้มใจมาตลอดเวลาพลันคลี่ยิ้มงดงาม “ยังหนุ่ม? ถ้าอย่างนั้นพอไปถึงเมืองหงจู๋ ท่านพ่ออยากจะหาสาวงามสักคนมาแนบกายบ้างหรือไม่? ท่านพ่อวางใจได้เลย ข้าจะไม่ขัดขวางท่านแน่นอน”
จูเหอสีหน้ากระอักกระอ่วน ถลึงตามองบุตรสาว “พูดอะไรเหลวไหล!”
เด็กสาวครุ่นคิด “ท่านพ่อ ยาเม็ดนั้นท่านเก็บไว้เองเถอะ ตอนนี้ข้าเพิ่งจะขอบเขตสองขั้นสูงสุด ยังอยู่ห่างจากขอบเขตที่ห้าอีกไกลนัก”
จูเหอหัวเราะเสียงดังกังวาน “เก็บไว้ก็ได้ ถือซะว่าเป็นสินสอดของเจ้าในอนาคตก็แล้วกัน”
ดูเหมือนว่าเด็กสาวงามพิสุทธิ์จะนึกถึงใครบางคน ใบหน้าจึงแดงก่ำ จูเหออารมณ์ดีมากจึงกล่าวอย่างมาดมั่นห้าวหาญว่า “วันหน้าเมื่อไปถึงเมืองหลวงต้าหลี จะดูว่าคุณชายตระกูลสูงศักดิ์คนใดจะมีวาสนาได้แต่งบุตรสาวของข้าไป”
เด็กสาวกระทืบเท้าขัดเขิน “ท่านพ่อ!”
จูเหอรีบโบกมือ “ไม่พูดแล้ว พ่อไม่พูดแล้ว”
บนทางเดินม้าท่ามกลางแสงสายัณห์ อาเหลียงเขย่งปลายเท้า ถูมือไม่หยุด ในสายตาของชายฉกรรจ์สวมงอบ เค้าโครงที่นุ่มนวลของเมืองหงจู๋เป็นดั่งสาวงามเมามายที่นอนทอดตัวรออยู่
เขารีบพูดว่า “เฉินผิงอัน ตกลงกันไว้ก่อนนะ เจ้าต้องให้ข้ายืมทองก้อนหนึ่ง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ “อาเหลียง เจ้าขาดเงินหรือ?”
อาเหลียงยิ้มกว้าง “เจ้าไม่เข้าใจสินะ ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพ คนยืมเงินคือหลาน คนคืนเงินคือบรรพบุรุษ ตลอดทางมานี้ข้าถูกเด็กน้อยอย่างหลี่ไหว จูลู่เยาะเย้ยจนน่าสังเวชเต็มที ต้องใช้ชีวิตให้เหมือนบรรพบุรุษ ชดเชยให้ตัวเองเสียหน่อย”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้ทองเจ้าก้อนหนึ่ง ไม่ได้ให้ยืม แต่ข้าให้เลย”
อาเหลียงตบไหล่เด็กหนุ่มหนึ่งที หัวเราะเสียงดัง “พูดง่ายขนาดนี้เชียว! จะยกทองก้อนให้ข้าเลยรึ”
อาเหลียงจ้องมองไปเบื้องหน้า ยกมือกำเป็นหมัด “สามารถเอาทองหนึ่งก้อนไปจากมือคนโลภอย่างเจ้าโดยไม่ต้องเสียอะไร ข้าอาเหลียงช่างเก่งกาจเสียจริง!”
เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกเสียใจทีหลังกับสิ่งที่ตัดสินใจไป เพียงแค่มองไปยังเมืองหงจู๋ที่ขยับเข้ามาใกล้ทุกขณะแห่งนั้นเงียบๆ กลิ่นอายของสถานที่ชุมชนอันคุ้นเคยโชยมาปะทะใบหน้า ไม่ใช่ผืนป่าในภูเขาลึกที่มีกระแสน้ำไหลเชี่ยวอีกต่อไป
เฉินผิงอันหันไปมองแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงข้างกายแล้วเอ่ยยิ้มๆ “พอไปถึงเมือง ซื้อของกินของใช้สำหรับการเดินทางทั้งหมดเสร็จ พวกเราก็ไปหาดูกันว่ามีพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลขายหรือไม่”
หลี่เป่าผิงกระโดดโลดเต้นเดินไปข้างหน้าด้วยความดีใจ แม่นางน้อยใช้หลังดันหีบหนังสือสีเขียวมรกตขึ้นเบาๆ “อาจารย์อาน้อย! พวกเราซื้อพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลไม้เล็กแค่สองไม้ก็พอ! ไม้เล็กอร่อย!”