กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 107
เดินเล่นบนถนนชมน้ำไปแล้ว ของที่ควรซื้อก็ซื้อมาครบเรียบร้อยแล้ว เฉินผิงอันจึงเตรียมจะกลับไปยังที่พัก คาดไม่ถึงว่าอาเหลียงจะเสนอให้นั่งเรือชมแม่น้ำชงตั้งยามค่ำคืน คนที่เห็นด้วยมีเพียงหยิบมือ แค่หลินโส่วอีคนเดียวเท่านั้นที่พยักหน้าตอบรับ
เฉินผิงอันไม่ถือสาหากจะนำของไปเก็บแล้วออกไปเปิดหูเปิดตากับชายหาดอันตรายช่วงนั้น แต่หลี่เป่าผิงกลับกระตุกชายแขนเสื้อเขา เฉินผิงอันเข้าใจความหมายของนาง ลองชั่งน้ำหนักในถุงเงินเล็กน้อยก็รู้ว่าเศษเหรียญทองแดงมีมากพอให้ซื้อพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาล
จูลู่ลากบิดาจูเหอไปเดินดูร้านขายอาวุธ หลี่ไหวงอแงว่าหิวแล้ว อาเหลียงจึงให้เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าพาเขากลับไปกินอาหารมื้อดึกที่จุดพักม้าเจิ่นโถว
คนทั้งกลุ่มจึงแยกย้ายกันตั้งแต่ตรงนี้
หลินโส่วอีเดินเคียงบ่าไปกับชายฉกรรจ์สวมงอบ เอ่ยถามเสียงเบา “ผู้อาวุโสบอกว่าหลี่ไหวมีโชควาสนามากที่สุด หนังสือ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ที่มองดูเหมือนเพิ่งออกใหม่เล่มนั้นมีค่ามากที่สุดใช่หรือไม่?”
อาเหลียงพยักหน้ารับเบาๆ เผยความลับสวรรค์ว่า “แค่มองดูเหมือนใหม่เท่านั้น แต่มีอายุมาหลายปีแล้ว สิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือไม่มีราคาค่างวด แค่เป็นการฝึกวิชาน้ำที่ยุ่งเหยิงสะเปะสะปะเท่านั้น จงใจหลอกให้คนเข้าใจผิด แต่วัสดุที่ใช้ทำตำราเล่มนี้กลับค่อนข้างจะมีค่า เก็บไว้หลายร้อยปีก็ยังไม่ถูกมอดกัดกิน”
อาเหลียงปลดน้ำเต้าลูกเล็ก กรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งอึก “อีกอย่างหากข้าดูไม่ผิดล่ะก็ ในหนังสือเล่มนี้มีปลามอดเกิดขึ้นมาหลายตัวแล้ว แน่นอนว่าพวกเจ้ามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า สิ่งนี้ถือเป็นหนึ่งในภูตผีปีศาจบนโลก ตัวเล็กมาก ชอบว่ายวนอยู่ระหว่างบรรทัดตัวอักษร คล้ายคลึงกับปลาที่อยู่ในแม่น้ำพอดี ปลามอดใช้ปราณจิตวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวอักษรกลางหนังสือมาเป็นอาหาร พอเติบโตขึ้นมา ตัวใหญ่สุดก็หนาไม่เกินเส้นผมเท่านั้น บนโลกมีปลามอดอยู่หลากหลายสายพันธ์ ที่อยู่ในหนังสือเล่มนั้นคือชนิดพันธ์ที่ธรรมดาที่สุด แต่หากเอามาขายให้กับพวกขุนนางหรือคนรวยที่ชื่นชอบของแปลก จะอย่างไรก็น่าจะขายได้สามพันตำลึงเงินเลยกระมัง ดังนั้นจึงถือเป็นหนึ่งในหนังสือหลายเล่มที่มีค่ามากที่สุดของร้านหนังสือนั่น
เด็กหนุ่มอ้าปากค้างพูดไม่ออก
แม้แต่ปลามอดที่มองไม่เห็น เอาไปขายยังได้กำไรตั้งสามพันตำลึงเงิน หรือว่าวิถีแห่งโลกภายนอกเมืองเล็ก เงินคือสิ่งที่ไม่มีค่ามากที่สุด?
อาเหลียงคล้ายมองความคิดของเด็กหนุ่มออกจึงพูดยิ้มๆ “รอวันหน้าเมื่อเจ้าเหยียบลงไปบนเส้นทางแห่งการฝึกตนอย่างจริงจังเมื่อไหร่ ก็จะเข้าใจเองว่าเงินทองที่มีค่าในสายตาของชาวบ้านร้านตลาด ต่อให้เจ้าเอามากองเป็นภูเขา เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้จ่ายจริงๆ ก็ใช้เวลาเพียงแค่ชั่วดีดนิ้วมือเท่านั้น บอกว่าไม่มีก็คือไม่มี จะว่าไปแล้ว ในเมื่อจำเป็นต้องจ่ายเงินเหมือนน้ำที่ไหลพรวดไป ก็กลับยิ่งเป็นการบอกให้รู้ว่าวัตถุธรรมดาที่เก่าโทรมเกินจะทนต่างหากที่เป็นสิ่งมีค่ามากที่สุด”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับ
อาเหลียงหัวเราะ “พูดเรื่องนี้กับเฉินผิงอัน ไม่แน่เสมอไปว่าเขาจะเข้าใจ”
หลินโส่วอีส่ายหน้า “เกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ เขาต้องเข้าใจแน่”
อาเหลียงหัวเราะร่า พาเด็กหนุ่มเดินไปถึงชายฝั่งของเมืองหงจู๋ เสียงผู้คนดังจอแจครึกครื้น เด็กหนุ่มคุ้นชินกับความเงียบสงบยามค่ำคืนของเมืองเล็กบ้านเกิดตัวเอง จึงปรับตัวไม่ค่อยได้นัก โดยเฉพาะทุกครั้งที่หายใจคล้ายจะได้กลิ่นแป้งประทินโฉม ตอนแรกก็ยังรู้สึกหอมดีหรอก แต่พอดมนานเข้ากลับเริ่มเอียนเวียนหัว
เมื่อคนทั้งสองเดินผ่านตรอกเล็กมาถึงชายหาด การมองเห็นก็เปิดโล่งกว้าง สองฝั่งของแม่น้ำล้วนเป็นเส้นทางหินเขียวหนาหนัก เสียงหัวเราะเบิกบานคลอเคล้าเสียงกระซิบกระซาบเจื้อยแจ้ว สาวงามหลายคนบ้างนั่งเอนบนเก้าอี้ บ้างนั่งพิงรั้วบนหอสูง เผยให้เห็นแขนขาวนวลเนียนดุจรากบัว ชุดกระโปรงที่พวกนางสวมใส่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสีแดงสดสีเขียวสว่างตา บนหอสูงแควนโคมไฟร้อยเรียงเป็นสาย สาดสะท้อนให้ใบหน้าของสตรีเหล่านั้นยิ่งเปล่งประกาย มีเสน่ห์เย้ายวนชวนลุ่มหลง
เรือทัศนาจรเล็กใหญ่กลางแม่น้ำลอยเนิบช้าเลียบสองริมฝั่ง บนเรือห้อยม่านไม้ไผ่ ส่วนใหญ่ล้วนมีสตรีสองคนแยกกันนั่งบนหัวเราะและท้ายเรือลำเล็ก นอกจากนี้ยังมีคนแจวอีกหนึ่งคน
เมื่อเทียบกับการปล่อยตัวตามสบายของสตรีบนหอสูงที่ตะโกนเสียงดังเรียกลูกค้า แม้ว่าอาภรณ์ที่สตรีบนเรือนสวมใส่จะโปร่งบางไม่ต่างกัน แต่พวกนางกลับวางตัวสุภาพและเยือกเย็นมากกว่าหลายส่วน
สตรีอ่อนเยาว์บางส่วนคล้ายคุณหนูลูกผู้ดีข้างบ้าน สตรีแต่งงานแล้วที่อายุมากสักหน่อยก็เหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่ บางครั้งสตรีในหอเรือนสูงยังพูดเยาะเย้ยเสียดสีพวกสตรีบนเรือที่แย่งลูกค้า บ้างก็โยนผลไม้สดลงไปให้ ฝ่ายหลังเห็นเป็นเรื่องปกติ ไม่ถือสาหาความ เว้นเสียแต่ว่าถูกขว้างมาโดนอย่างจัง นอกจากนั้นก็น้อยครั้งนักที่จะลุกขึ้นถลึงตาด่ากลับ
โดยทั่วไปแล้วความขัดแย้งระหว่างสตรีบนเรือกับสตรีในหอโคมเขียวมักจะชักพาให้เหล่าบุรุษส่งเสียงร้องเฮลั่น คล้ายกลัวว่าใต้หล้าจะวุ่นวายไม่มากพอ
หลินโส่วอีรู้สึกชาบนหนังศีรษะเล็กน้อย “ผู้อาวุโสอาเหลียง พวกเราไม่ได้จะไปชมทิวทัศน์ของแม่น้ำชงตั้นกันหรอกหรือ?”
อาเหลียงเล่นแง่ “ในเมื่อเป็นจุดศูนย์รวมของแม่น้ำสามสาย ถ้าอย่างนั้นที่นี่ก็ต้องถือว่าเป็นแม่น้ำชงตั้นด้วยเช่นกัน”
หลินโส่วอีพูดไม่ออก
อาเหลียงนั่งยองอยู่ริมแม่น้ำ มองเรือทัศนาจรแต่ละลำที่ขับผ่านไปอย่างเชื่องช้าในระยะประชิด ทุกครั้งที่มีสตรีบนเรือทอดสายตาส่งความนัยมาให้ หรือเอ่ยทักทายด้วยคำพูดอ่อนหวานนุ่มนวล อาเหลียงจะต้องดื่มเหล้าหนึ่งอึก พึมพำบางอย่างกับตัวเอง หลินโส่วอีนั่งยองลงไป เงี่ยหูแอบฟังก็พอจะได้ยินประโยคว่ารักษากายประดุจหยก วิญญูชนมีเกียรติน่านับถือ หมกมุ่นในกามมักลดความระแวงภัยของคนลง เป็นต้น หลินโส่วอีคลี่ยิ้มอย่างอดไม่ได้ เยี่ยมเลย ที่แท้ผู้อาวุโสอาเหลียงก็ไม่ได้ดีไปกว่าตนสักเท่าไหร่เลยนี่นา?
อาเหลียงผินหน้ามองไปยังเรือทัศนาจรลำเล็กที่อยู่ห่างไปไม่ไกล สตรีแต่งงานแล้วหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งนั่งอยู่บนหัวเรือ กำลังกวาดตามองไปรอบด้านอย่างใส่ใจ ไม่คล้ายสตรีที่ทำการค้าด้วยเนื้อหนัง เหมือนสตรีผู้สูงศักดิ์ที่ออกมาท่องเที่ยวในยามราตรีมากกว่า กลับเป็นเด็กสาวอายุสิบหกที่พายเรืออยู่ด้านหลังนางที่มีหน้าตาหวาดหยดย้อย
อาเหลียงลุกขึ้นยืน รอจนเรือลำนี้ขยับเข้ามาใกล้จึงพลันควักทองก้อนสะดุดตาออกมาก้อนหนึ่ง “พอหรือไม่?”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มอ่อนโยน ไม่พยักหน้าแล้วก็ไม่ส่ายหน้า เด็กสาวพายเรือกลับจ้องตาเป๋ง แทบอยากจะพุ่งไปรับการค้านี้แทนสตรีแต่งงานแล้ว
สตรีแต่งงานแล้วมองผ่านร่างชายฉกรรจ์สวมงอบ ยื่นนิ้วชี้ไปที่หลินโส่วอี “คุณชายน้อยท่านนี้ เจ้าสามารถขึ้นเรือมาเพียงลำพังได้”
อาเหลียงเก็บทองก้อนมาอย่างรวดเร็ว “เจ้าเด็กนี่ยากจน ไม่มีเงิน! ไม่มีเงินติดตัวแม้แต่แดงเดียว!”
สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่รับเงินของเขาก็ได้”
เด็กสาวมองตามทิศทางที่นิ้วของสตรีแต่งงานแล้วชี้ไป มองเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แดงก่ำ ริมฝีปากแดงสดตัดกับฟันขาว ท่วงท่างามสง่า แค่มองก็รู้ว่าเป็นเมล็ดพันธ์แห่งบัณฑิต นางจึงยิ้มอย่างเขินอาย
ชายฉกรรจ์สวมงอบผู้น่าสงสารที่มีเงินแต่ก็เอามาใช้ไม่ได้ถูกเมินโดยสิ้นเชิง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ในใจคิดว่าสตรีผู้นี้ตาบอดหรือว่ามีรสนิยมประหลาด ชายฉกรรจ์หล่อเหลาสง่างามแถมยังอยู่ในวัยผู้ใหญ่เหมาะสม นางกลับมองไม่เห็นในสายตา กลับไปถูกใจหลินโส่วอีที่ผอมแห้งราวกับลำไม้ไผ่แทนน่ะหรือ? หากนางชอบคนลักษณะเช่นนี้ แล้วเขาพาเฉินผิงอันที่ผอมยิ่งกว่ามาด้วย นางจะไม่ถึงขั้นเป็นฝ่ายควักเงินจ่ายเองเลยหรอกหรือ?
อาเหลียงพึมพำ “ทำร้ายจิตใจกันยิ่งนัก”
สตรีแต่งงานแล้วมองไปทางเด็กหนุ่มยิ้มๆ ไม่รู้ว่าทำไม สตรีแต่งงานแล้วที่หน้าตาธรรมดากลับมีความเย้ายวนอยู่หลายส่วน “ไม่ขึ้นเรือหรือ?”
หลินโส่วอีส่ายหน้า
อาเหลียงนั่งลงบนขั้นบันได ดื่มเหล้าดับความกลัดกลุ้ม “ไอ้หนู รีบขึ้นเรือไปเถอะ อย่างมากก็แค่วันหน้าไม่มีเหล้าในน้ำเต้าให้ดื่มอีกแล้ว ใต้หล้านี้ยังจะมีเหล้ารสชาติใดเหนือกว่าเหล้าเคล้านารีอีก เจ้าห้ามพลาดเด็ดขาดเชียว”
หลินโส่วยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ ทว่ากลับกลอกตาใส่แผ่นหลังของชายฉกรรจ์สวมงอบ
เรือทัศนาจรจำต้องเคลื่อนหน้าต่อไป เพราะเพื่อนร่วมทางด้านหลังเริ่มเร่งเร้าแล้ว
สตรีแต่งงานแล้วยังคงหันหน้ากลับมามองสบตาเด็กหนุ่มแล้วยิ้มให้
เด็กหนุ่มไม่สะทกสะท้าน สบตากับนางอย่างเย็นชา
มีเรือทัศนาจรล่องผ่านเบื้องหน้าคนทั้งสองไปอย่างต่อเนื่อง สตรีบนเรือที่มีครบทุกลักษณะไม่ว่าจะอวบอ้วนอย่างหยางกุ้ยเฟย หรือผอมบางอย่างจ้าวเฟยเยี่ยนประหนึ่งภาพสาวนางสนมกำนัลที่ถูกคลี่ออก
หลินโส่วอีถามเบาๆ “อาเหลียง เจ้ามารอนางโดยเฉพาะเลยหรือ?”
อาเหลียงประคองงอบ ส่ายหน้ายิ้ม “ก็แค่ความสนใจชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น แค่อยากรู้ว่าแหจับปลาปากนี้จะใหญ่สักแค่ไหน”
บัณฑิตหนุ่มน้อยนั่งลงข้างกายเขา มองสาวงามเหล่านั้นอย่างเปิดเผย
บนทางแผ่นหินเลียบชายฝั่งมีเด็กเล็กหิ้วตะกร้าวิ่งไปวิ่งมา ปากร้องตะโกนขายดอกซิ่งเสียงใสกังวาน เดี๋ยวก็ดังขึ้นทางฝั่งตะวันออก เดี๋ยวก็ดังขึ้นทางฝั่งตะวันตก
……
จูลู่อยากจะเลือกกริชติดตัวไว้ให้ตัวเองเล่มหนึ่ง ต้องมีใบมีดที่คมกริบ ขณะเดียวกันก็หวังให้ภายนอกดูดีสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าร้านขายอาวุธจะปิดแล้ว เด็กสาวยืนอัดอั้นอยู่หน้าประตู ไม่พูดอะไรสักคำ
จูเหอจึงเอ่ยปลอบใจ “พรุ่งนี้ค่อยมาดูใหม่ก็ได้”
เด็กสาวยืนพิงเสาหินผูกม้าเสาหนึ่งที่อยู่นอกร้าน เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน
จูเหอถามเบาๆ “มีเรื่องในใจหรือ?”
จูลู่ส่ายหน้า
จูเหอถามอย่างระมัดระวังว่า “ระยะทางช่วงสุดท้ายหลังออกมาจากภูเขาฉีตุน คุณหนูขอนั่งบนหลังเต่ากับเจ้า เพราะมีเรื่องพูดกับเจ้าหรือ?”
จูลู่อืมรับหนึ่งที แล้วกล่าวอย่างไร้ชีวิตชีวา “คุณหนูต้องการให้ข้ามีมารยาทและเกรงใจทุกคนให้มากหน่อย”
จูเหอถอนหายใจ กล่าวยิ้มๆ “คุณหนูไม่ได้พูดผิด ยามออกนอกบ้านก็ควรเข้าใจหลักการที่ว่าอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขจะนำพาความร่ำรวยมาให้”
จูลู่พูดเสียงเบา “อาเหลียงผู้นั้นก็ช่างเถอะ จะอย่างไรซะเขาก็มาจากศาลลมหิมะ แม้ว่าจะไม่เหมือนเทพเซียนที่ข้าเคยจินตนาการเอาไว้ก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย แต่เทพเซียนก็คือเทพเซียน ต่อให้จะน่ารังเกียจแค่ไหน ข้าก็ได้แต่ต้องอดทน ทว่าหลินโส่วอีกับหลี่ไหวนับเป็นอะไรได้ อาศัยที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับคุณหนูมานานหลายปีเลยไม่มองตัวเองเป็นคนนอกแม้แต่นิด คนหนึ่งคือบุตรนอกสมรสที่ข้ารับใช้เป็นคนคลอด อีกคนหนึ่งคือบุตรชายของคนไม่เอาถ่าน อาศัยอะไรมาทำตัวทัดเทียมกับคุณหนู? โดยเฉพาะเจ้า…”
เห็นว่านางไม่อยากพูดต่อ จูเหอจึงรับคำต่อเสียเอง “เฉินผิงอัน?”
เด็กสาวเม้มปาก
จูเหอถอนหายใจ “ที่นี่ไม่มีคนอื่น คำพูดของพ่อหลังจากนี้ อาจไม่ค่อยน่าฟังนัก…”
สีหน้าของเด็กสาวพลันเปลี่ยนมาเป็นสดใส ตัดบทคำพูดของชายฉกรรจ์ “ท่านพ่อ ในจดหมายที่คุณชายส่งมาให้คุณหนู ช่วงท้ายได้เขียนร้อยแก้วมาให้ข้าโดยเฉพาะสองสามบท ตัวอักษรสิงซูและตัวอักษรข่ายซูของคุณชายยิ่งเขียนได้ชำนาญมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ในจดหมายเล่าถึงสภาพยากลำบากระหกระเหินที่เขาติดตามคนไล่ฆ่าโจรบนหลังม้ากลุ่มหนึ่ง บอกว่าเขาได้รู้จักกับหลานชายคนโตของนายพลเอกแซ่เฉินผู้หนึ่ง ยังพูดถึงภาพปรากฎการณ์ไฟไท่ผิง บอกว่าเมืองหลวงของต้าหลีมีความมหัศจรรย์อยู่ทั่วทุกหนแห่ง บนถนนถึงกับมีคนขี่งูเดิน มีนกกระสาเซียนเดินไปทั่วตลาด และชาวบ้านในเมืองหลวงก็เห็นมาจนเคยชินแล้ว คุณชายยังบอกด้วยว่าประตูทิศเหนือของเมืองหลวงต้าหลีต่างก็มีเทพทวารบาลเกราะทองที่มีชีวิตเฝ้าประจำอยู่ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ว่ากันว่าเป็นของขวัญก่อตั้งประเทษที่สำนักลัทธิเต๋าแห่งหนึ่งมอบให้แก่ต้าหลี ร่างของพวกเขาสูงตั้งสี่ห้าจั้ง ท่านพ่อ ท่านว่ามันน่าสนุกไหม?”
จูเหอกล่าวอย่างระอาใจ “เรียกว่าคุณชายรองจะเหมาะสมกว่า”
เด็กสาวยิ้มกว้าง “คุณชายใหญ่ไม่อยู่สักหน่อย แล้วนับประสาอะไรกับที่คุณชายใหญ่เป็นคนใจกว้างขนาดนั้น ต่อให้เขาได้ยินก็ไม่มีทางโกรธหรอก”
จูเหอตวาดเบาๆ “อย่าเสียมารยาท!”
จูลู่ก้มหน้าหลุบตาลงต่ำ ขนตาขยับไหวเล็กน้อย
จูเหอเอ่ยเบาๆ “คุณชาย อืม คุณชายรองเคยพูดกับข้ารับใช้อย่างพวกเราว่า คนที่วาสนาดี นอนอยู่เฉยๆ ก็ยังเสวยสุขได้ คนที่วาสนาไม่ดี เกิดมาชาตินี้ก็เพื่อใช้กรรม ต้องพบเจอแต่ความยากลำบาก หลี่ไหววาสนาดี หลินโส่วอีก็วาสนาดีที่ได้กลายเป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาซานหยา วันหน้ามีความเป็นไปได้มากว่าจะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ถอยมาพูดอีกก้าว หากคิดจะเป็นเศรษฐีผูกเงินหมื่นกว้านไว้ตรงเอวก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นช้าๆ “อันที่จริงชะตาชีวิตของเฉินผิงอันผู้นั้นก็ไม่เลวร้าย อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องเรียกคนอื่นว่าคุณหนูหรือคุณชาย”
จูเหอไม่ค่อยกล้าสบตาบุตรสาวตรงๆ
บ่าวในเรือน สาเหตุที่เรียกว่าบ่าวในเรือนเพราะถูกกำหนดมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แล้ว
จูเหอทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
สายตาของเด็กสาวเข้มแข็ง น้ำเสียงยืนหยัดมั่นคง “ท่านพ่อ ไม่เป็นไร คุณชายรองบอกแล้วว่า เมื่อไปถึงเมืองหลวงต้าหลี มีวิธีที่จะหลุดพ้นจากสัญชาติต่ำต้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่กองทัพชายแดนของต้าหลียังยินดีรับสตรีเป็นนักสู้ หากสั่งสมคุณความชอบทางทหารได้มากพอ ไม่แน่ว่าอาจได้รับพระราชโองการแต่งตั้งให้เป็นฮูหยินก็ได้นะ”
จูเหอมองเด็กสาวตรงหน้าที่ฉายประกายชีวิตชีวาผิดตาไปก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็ปลาบปลื้มด้วย เขาพยักหน้ากล่าวว่า “เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราพ่อลูกไปสมัครเข้ากองทัพกัน แถมยังได้ดูแลกันด้วย ตอนนี้คุณชายรองหยัดยืนอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างมั่นคงแล้ว ก็ขอให้เขาช่วยพวกเราเลือกกองทหารชายแดนที่ดีสักหน่อย เอาที่ไม่ต้องเจอสงครามรุนแรงบ่อยนัก และคุณความชอบก็อย่าหาได้ยากเกิน สรุปก็คือก่อนหน้าที่ยังไม่หลุดพ้นสัญชาติต่ำต้อยก็ห้ามทำให้ตระกูลหลี่ในอำเภอหลงเฉวียนของพวกเราเสียหน้าเด็ดขาด วันหน้าต่อให้ลงหลักปักฐานได้ด้วยตัวเองอย่างแท้จริงแล้วก็ต้องยังซาบซึ้งในบุญคุณของตระกูลหลี่…”
เด็กสาวคลี่ยิ้ม เดินเร็วๆ ขึ้นหน้ามาเอามือคล้องแขนจูเหอ ลากเขากลับไปยังจุดพักม้าเจิ่นโถวด้วยกัน พลางเอ่ยหยอกเย้า “รู้แล้วน่า รู้แล้วน่า ท่านพ่อพูดมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
จูเหอลูบคลำศีรษะของบุตรสาว ลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะพูดออกมา “หากมีโอกาสควรขอโทษเฉินผิงอันสักคำ ศึกบนยอดเขาฉีตุน ไม่ว่าความตั้งใจเดิมจะคืออะไร แต่เมื่อทำผิดแล้วก็คือทำผิด ควรขอโทษก็ต้องขอโทษ ควรชดใช้ก็ต้องชดใช้”
จูลู่นิ่งคิดไปชั่วครู่ อาจเป็นเพราะคืนนี้นางอารมณ์ดีมาก จึงตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเจิดจ้า “ตกลง!”
……
เมืองหงจู๋ทำตามข้อกำหนดของต้าหลีจึงสร้างศาลบุ๋นบู๊สองแห่งขึ้น หอเหวินชางและศาลอู๋เซิ่งขนาดไม่เล็กต่างก็บูชารูปปั้นองค์เทพฝ่ายบุ๋นในมือถือแผ่นหยกชิ้นหนึ่งหนึ่งองค์ และรูปปั้นขุนพลฝ่ายบู๊ที่สวมชุดเกราะห้อยกระบี่ เท้าเหยียบอยู่บนร่างแมวหนึ่งองค์
ศาลเจ้าทั้งสองแห่งของเมืองหงจู๋สร้างไว้ทางทิศใต้ของเมือง ทั้งสองสถานที่ตั้งอยู่ห่างกันไม่ไกลนัก ประมาณห้าหกก้าวเท่านั้น
ค่ำคืนมืดมิด เทวรูปสององค์ส่ายไหวแทบจะเวลาเดียวกัน ฝุ่นที่เกาะอยู่บนร่างจึงร่วงพรูลงพื้น ริ้วสีทองอ่อนกระเพื่อมบนเทวรูปเป็นระลอก
ขณะเดียวกันเทวรูปดินเผาร่างทองสองรูปในศาลเทพแม่น้ำที่ตั้งอยู่บนสองชายฝั่งของแม่น้ำซิ่วฮวาและแม่น้ำอวี้เย่ก็เกิดภาพเหตุการณ์คล้ายคลึงกันนี้
ภูเขาฉีตุนที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองหงจู๋ ชายที่เปลือยหน้าอกคนหนึ่ง ในมือหิ้วกาเหล้า ตรงเอวยังห้อยกาเหล้าอีกสามกา แม้ทั่วร่างจะอบอวลไปด้วยกลิ่นเหล้า ฝีเท้าที่ก้าวเดินก็โซซัดโซเซ แต่ทุกครั้งที่ก้าวออกไป ระยะห่างหนึ่งก้าวกลับกว้างถึงห้าหกจั้ง เดินอยู่บนทางภูเขาเหมือนเดินอยู่บนพื้นเรียบ เพียงไม่นานเขาก็มาถึงพื้นหินเรียบบนยอดเขาฉีตุน หลังจากเรอดังเอิ้กหนึ่งทีก็กระทืบเท้าลงไปหนักๆ หนึ่งครั้ง
เว่ยป้อเทพเจ้าที่เขาฉีตุนปรากฏตัวอยู่ห่างไปไม่ไกล
ชายฉกรรจ์ปรายตามองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ในมือถือไม้เท้าไผ่เขียว แล้วกล่าวยิ้มๆ “ช่างน่าแสดงความยินดี ในที่สุดก็ทำลายพันธนาการอาคมบนร่าง กลับคืนสู่ร่างเจ้าที่ที่แท้จริงได้แล้ว ไม่เพียงแค่นี้ ยังมีหวังจะได้กลายเป็นเทพภูเขา ดูท่าเมื่อไม่นานมานี้คงได้พบเจอโชควาสนาค้ำฟ้าเป็นแน่”
สีหน้าของเว่ยป้อมืดทะมึน “มีธุระก็พูดมาตรงๆ”
ชายฉกรรจ์เช็ดปาก ถามเข้าประเด็นโดยตรง “มือดาบที่ชื่ออาเหลียงผู้นั้น แข็งแกร่งมากแค่ไหน?”
เว่ยป้อเงียบเป็นคำตอบ
ชายฉกรรจ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา “เรื่องนี้สำคัญมาก ข้าไม่มีอารมณ์แล้วก็ไม่มีเวลามาเสียไปกับเจ้า เจ้าไม่เปิดปาก ข้าก็จะทุบร่างทองของเจ้าให้แตก ให้เจ้าไม่เหลือโอกาสพลิกฟื้นกลับมาอีกครั้ง”
เว่ยป้อถาม “ก่อนจะตอบคำถาม ข้าขอรู้ต้นสายปลายเหตุก่อนได้หรือไม่?”
ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ “คนผู้นั้นสังหารสุดยอดนักรบเดนตายสองคนของต้าหลีเรา หลี่โหวผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตที่เจ็ดและหูอิงหลินผู้ฝึกลมปราณชั้นแปด พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของศาลาใบไผ่ใต้บังคับบัญชาของเหนียงเนียงท่านนั้น หลังจากที่ฝ่าบาททราบข่าวก็ไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกว่าคนผู้นี้เป็นฝ่ายทำผิดกฎก่อน ด้วยเหตุนี้ต้าหลีจึงต้องการคำอธิบายจากเขา”
เว่ยป้อหนักใจอย่างยิ่ง
ชายฉกรรจ์แค่นเสียงหยันนเย็นชา “แนะนำเจ้าว่าอย่ามามีเอี่ยว ทำตัวเองให้สะอาดห่างไกลจากเรื่องนี้ย่อมดีที่สุด หากไม่สะอาดพอ ไม่แน่ว่าอาจต้องกลับไปชำระตัวที่แม่น้ำชงตั้นอีกครั้ง แต่ข้ามั่นใจว่าครั้งนี้คงไม่มีใครเต็มใจยอมให้จิตวิญญาณแหลกสลายเพื่อช่วยเก็บเศษซากของเจ้าที่ก้นแม่น้ำขึ้นมาประกอบกันเป็นร่างทองทีละชิ้น สุดท้ายแอบพาเจ้ากลับมาที่ภูเขาฉีตุนอีกครั้ง ถูกไหม องค์เทพขุนเขาอุดรแห่งราชวงศ์เสินสุ่ย?”
เว่ยป้อยิ้มเศร้า