กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 109.1
เด็กหนุ่มมองเด็กสาวเดินมา ฝีเท้าของนางแผ่วเบา เมื่อเดินอยู่ในระเบียงที่แสงไฟขมุกขมัวก็คล้ายกวางสาวที่เดินอยู่ท่ามกลางแสงรัตติกาล
จูลู่ไม่มีท่าทางเย่อหยิ่งจองหองอย่างในเวลาปกติ แต่เป็นราวกับสาวน้อยข้างบ้านที่เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก แย้มยิ้มพิมพ์ใจ
เฉินผิงอันรู้สึกไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ ฝีเท้าจึงชะลอช้าลง จนกระทั่งหยุดยืนนิ่ง เขาเบิกตากว้างจ้องนิ่งไปบนดวงหน้างามพิสุทธิ์แปลกตานั้นเขม็ง
จูลู่ดึงมือซ้ายออกมาจากด้านหลังแล้วยกขึ้นโบกทักทายเฉินผิงอัน เดินไปพูดไป “เฉินผิงอัน เรื่องบนพื้นหินเรียบยอดเขาฉีตุน ท่านพ่อข้าหวังให้ข้าเอ่ยกับเจ้าว่า…”
อยู่ห่างกันอีกห้าก้าว เด็กสาวที่มีตบะของขอบเขตสองขั้นสูงสุดพลันเพิ่มน้ำหนักฝ่าเท้าพุ่งทะยานไปข้างหน้า เพียงแค่ก้าวยาวๆ สองก้าวก็มาโผล่อยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน ใบหน้าแทบจะแนบชิดติดกัน เค้าโครงดวงหน้าทั้งสองปรากฏชัดแก่สายตา ใบหน้าของเด็กสาวดุร้าย โกรธเกรี้ยว สาแก่ใจ ได้รับการปลดปล่อย ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด ส่วนเด็กหนุ่มที่นอกจากสายตาจะดำมืดลงแล้ว มากกว่านั้นคือความเฉียบคม ประกายสายตาแผ่ความคมกริบเหมือนใบมีดของมีดผ่าฟืนที่ถูกลับด้วยแท่นสังหารมังกร
มือซ้ายของจูลู่กำเป็นหมัดหมายต่อยลงบนหน้าผากของเด็กหนุ่มอย่างจัง ทว่าหมัดนี้เป็นเพียงการตบตา เด็กสาวจึงจงใจชะลอความเร็วในการออกหมัดด้วย
ท่าไม้ตายที่แท้จริงอยู่ที่มือขวา นางลงมือรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ในมือกำไม้ไผ่เสียบพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลแหลมคมสามก้าน พุ่งตรงเข้าหาหัวใจของเด็กหนุ่ม
ในขณะที่ก้านไม้ไผ่กำลังจะแทงทะลุหัวใจของเด็กหนุ่ม ประโยคก่อนหน้านี้ที่เด็กสาวซึ่งพุ่งเข้ามาสังหารคนยังพูดไม่จบก็พลันหลุดปากออกมาเอง “ขอโทษ!”
เด็กสาวในเวลานี้ไหนเลยจะยังมีสีหน้าเขินอายอยู่อีก มีเพียงความดุร้ายโหดเหี้ยมเท่านั้น
แต่นาทีถัดมา สีหน้าของจูลู่ก็เต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ในใจรู้แล้วว่าท่าไม่ดี จึงเตรียมจะถอยหนี
เฉินผิงอันยกมือขวาขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่สกัดหมัดซ้ายของเด็กสาว ยังอาศัยโอกาสที่นางแสร้งทำเป็นอ่อนแอยื่นแขนไปข้างหน้าแล้วคว้าลำคอของจูลู่เอาไว้
ขณะเดียวกันมือซ้ายของเด็กหนุ่มก็กำข้อมือขวาของจูลู่ที่ซ่อนอาวุธสังหารเอาไว้ กระชากเหวี่ยงไปด้านข้างไม่ให้ไม้เสียบพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลทั้งสามไม้แทงเข้าที่หัวใจตัวเอง มือที่กุมลำคอของนางพลันออกแรงดึงนางเข้าหาตัวเอง พร้อมตีเข่ากระแทกใส่หน้าท้องของเด็กสาวอย่างแรง กำลังที่ใช้นั้นหนักหน่วงจนเด็กสาวเกือบจะพ่นน้ำดีขมๆ ออกมา ลำตัวงอลงอย่างห้ามไม่ได้ ร่างทั้งร่างสูญเสียพลังในการต่อสู้ไปอย่างสิ้นเชิง เฉินผิงอันไม่อยากประมาทจึงยังไม่เลิกราง่ายๆ เอาหัวโหม่งเข้าที่หน้าผากของอีกฝ่ายซ้ำเต็มแรง
เด็กสาวผงะเซถอยไปด้านหลัง
เฉินผิงอันพุ่งเข้าไปถีบซ้ำอีกที เด็กสาวที่หน้าท้องได้รับบาดเจ็บเหมือนว่าวที่สายป่านขาด ลอยไปกระแทกบนพื้นแผ่นหินเขียวที่ปูบนทางระเบียงห่างออกไปอีกสองแผ่น ดิ้นรนอยู่สองครั้งก็ยังไม่อาจลุกขึ้นได้ มุมปากมีคราบเลือดไหลออกมา สีหน้าซีดเหลืองเหมือนกระดาษทอง ความงามลดเลือน
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเดียว ไม่มีการออมมือไว้ไมตรี
จูลู่ใช้ข้อศอกดันพื้น ข่มกลั้นความเจ็บปวดราวเครื่องในถูกฉีกทึ้ง พยายามจะถัดตัวถอยไปด้านหลัง ขยับให้ห่างจากเด็กหนุ่มรองเท้าแตะผู้นั้นให้ได้มากที่สุด แม้จะได้แค่หนึ่งชุ่นหนึ่งฉื่อก็ตาม
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน เห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เขาถึงได้เดินเข้าหาเด็กสาวสภาพกระเซอะกระเซิงไร้พลังในการต่อสู้ กล้ามเนื้อทั่วร่างเครียดเกร็ง ยังคงเปี่ยมไปด้วยความระมัดระวัง
จูลู่ตกอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวอย่างรุนแรง ไม่มีเวลามาเช็ดเลือดตรงมุมปาก รีบอธิบายด้วยน้ำเสียงสะอื้น “อย่าฆ่าข้าเลย เฉินผิงอัน ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น จริงๆ นะ ข้าไม่โกหกเจ้าหรอก หากคิดจะฆ่าเจ้า ข้าจะใช้เสียบพุทราเชื่อมแค่ไม่กี่ไม้ได้อย่างไร อีกอย่างทำไมข้าต้องฆ่าเจ้าด้วยล่ะ…”
เฉินผิงอันกล่าวเข้าประเด็น “ก่อนหน้านี้ตอนที่แยกกันบนถนนชมน้ำ เจ้าลากจูเหอบิดาของเจ้าออกไป บอกว่าจะไปเดินดูร้านขายอาวุธ เป็นเพราะอยากจะเลือกอาวุธเหมาะมืออย่างพวกกริชที่ซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อได้ง่ายสินะ ข้าเดาว่าน่าจะเป็นเพราะร้านปิด เจ้าจึงได้แต่ใช้ไม้ไผ่เสียบพุทราเชื่อมแทน”
จู่ลู่พลันหัวเราะ หน้าอกจึงกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง แล้วก็ไอหนักขึ้นจนต้องยกมืออุดปาก เลือดสีแดงสดยังคงไหลซึมออกมาจากร่องนิ้วไม่หยุด นางจึงปล่อยมือราวกับยอมรับชะตากรรม เงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่ก้มลงมองตนจากที่สูง แล้วไล่สายตาจากบนลงล่าง สุดท้ายไปหยุดอยู่ที่รองเท้าแตะคู่หยาบไร้ราคา เด็กสาวเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็คล้ายคนเสียสติ ไม่ร้องไห้กลับหัวเราะ จ้องเด็กหนุ่มที่ขยับเข้ามาใกล้ตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เขม็ง น้ำเสียงแหบพร่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่ได้โง่อย่างที่ข้าคิดไว้ แต่ข้าแปลกใจนักว่า เจ้ามองออกได้อย่างไรว่าข้าจะสังหารเจ้า?”
เด็กสาวเพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้น ดวงหน้าที่เดิมทีงามพิสุทธิ์น่ามองพลันบิดเบี้ยวคลุ้มคลั่ง “เฉินผิงอัน ก่อนหน้าที่จะสังหารข้า ให้ข้าตายไปพร้อมกับความเข้าใจได้หรือไม่?!”
เฉินผิงอันหยุดเท้า ไม่ตอบแต่ถามกลับ “ทำไม?”
เด็กสาวเพิ่งพยายามจะลุกขึ้นนั่งกลับถูกเฉินผิงอันเหยียบเข้าที่หน้าผาก ท้ายทอยกระแทกลงบนพื้นหินเต็มแรง เด็กสาวกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ คราวนี้นางล้มเลิกความคิดที่จะลุกขึ้นอย่างสิ้นเชิงแล้ว แม้มันจะเป็นความอัปยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจนาง ที่ปล่อยให้เด็กหนุ่มรองเท้าแตะจากตรอกเก่าโทรมยืนค้ำหัวตัวเอง โดยที่นางได้แต่นอนนิ่งๆ แม้แต่การลุกขึ้นนั่งก็ยังเป็นความเพ้อฝันที่เกินตัว
จูลู่ใช้หลังมือปาดคราบเลือด เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ยังจำจดหมายจากทางบ้านที่คุณชายรองตระกูลข้าส่งมาให้คุณหนูได้หรือไม่? ไม่ว่าจะเป็นพิณ หมากหรือวาดภาพ ไม่มีอะไรที่คุณชายรองของตระกูลข้าไม่เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะตัวอักษรสิงซูที่เขาเขียนได้ดีเป็นพิเศษ เหมือนกับนิสัยของคุณชายที่สง่างามและอิสระเสรี แต่ก่อนที่เขาจะเดินทางไปเมืองหลวง จู่ๆ กลับพูดว่าจะเรียนเขียนอักษรข่ายซู เพราะเขาต้องการเรียนรู้กฎเกณฑ์ของโลกภายนอก เขาเริ่มจะพันธนาการนิสัยของตัวเองแล้ว”
เฉินผิงอันย่อตัวลงนั่งยอง แงะนิ้วมือทั้งห้าของนาง หยิบเอาไม้ไผ่สามก้านมาถือไว้กลางฝ่ามือตัวเอง จากนั้นก็นั่งลงบนม้านั่งยาวกลางระเบียง จ้องมองจูลู่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่เปิดโอกาสให้นางได้ก่อเรื่องใดๆ เห็นได้ชัดว่าจูลู่คิดฆ่าเขาด้วยสติที่แจ่มชัด ไม่มีความลังเลอืดอาดเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าหากเปลี่ยนมาเป็นเฉินผิงอัน คิดจะสังหารนางด้วยใจที่ไร้ความปราณีกลับเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะตรงกลางมีแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงกับชายฉกรรจ์ผู้ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาอย่างจูเหอ รวมไปถึงคุณชายรองตระกูลหลี่อะไรนั่นแทรกอยู่
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เฉินผิงอันเห็นนางเดินมาไกลๆ บนระเบียงก็รู้แล้วว่าจูลู่ประสงค์ร้าย อีกทั้งสายตาของเด็กหนุ่มยังดีมาก การปกปิดอำพรางของเด็กสาวยังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าแนบเนียนมากนัก ขนตาที่สั่นระริก แก้มที่พองออกเพราะกัดฟัน แววอำมหิตในดวงตาที่หรุบลงต่ำ เฉินผิงอันล้วนมองเห็นในปราดเดียว
แต่ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็คิดไม่ถึงว่า นางจะฆ่าเขาจริงๆ
เมื่อเด็กสาวพูดถึง ‘คุณชายตระกูลของตน’ ท่าทางของนางก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน สายตาที่หันมามองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะก็เหมือนสายตาที่คนใช้มองสุนัขตัวหนึ่ง
“ตอนนั้นที่คุณหนูบอกเล่าเนื้อหาในจดหมายให้ข้าฟัง คุณชายบอกว่าป้อมส่งสัญญาณของต้าหลีจุดไฟไท่ผิง สัญญาณไฟทอดยาวนับพันนับหมื่นลี้ เริ่มตั้งแต่ชายแดนจนกระทั่งมาถึงเมืองหลวง แต่คุณหนูกลับไม่รู้ พวกเจ้าทุกคนล้วนไม่มีใครรู้ ก่อนหน้านี้คุณชายไม่เคยพูดเรื่อง ‘ชายแดนใช้ไฟไท่ผิง รายงานความสงบเรียบร้อยแก่กษัตริย์’ เรื่องเล่าน่าสนใจอะไรก็ตามที่คุณชายเคยเล่าให้ข้าฟัง นับตั้งแต่ที่ข้ารู้ความ ข้าล้วนจำได้ชัดเจนทุกเรื่อง!”
“ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้ผิดปกติ เลยขอจดหมายฉบับนั้นมาจากคุณหนู แล้วก็จริงดังคาด ข้ามองออกถึงความลี้ลับ และบนโลกนี้ก็มีแค่ข้าจูลู่คนเดียวเท่านั้นที่มองออก!”
เฉินผิงอันก้มหน้ามองเด็กสาวที่สีหน้าเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เด็กหนุ่มไม่เอ่ยอะไรสักคำ
จูลู่จมจ่อมอยู่ในโลกของตัวเอง นาทีนี้นางเปลี่ยนมาเป็นสาวใช้ตระกูลหลี่ผู้ภาคภูมิใจในตัวเอง กลับมาเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกวิถีวรยุทธ์อีกครั้ง นางกล่าวต่อไปว่า “จากนั้นข้าก็อ่านอย่างละเอียดอีกสองรอบ แค่สองรอบเท่านั้น ข้าก็เจอคำตอบที่ถูกต้อง แก้ปริศนาข้อนี้ที่คุณชายตระกูลข้าจงใจทิ้งไว้ได้!”
มองใบหน้าดำเกรียมเย็นชาของเด็กหนุ่ม เด็กสาวก็พลันหลุดหัวเราะพรืด “คุณหนูคือเด็กร่าเริงที่ไม่ชอบอยู่นิ่งเฉย แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางเข้าใจความหวังดีของคุณชาย ดังนั้นคุณชายจึงไม่ได้ฝากความหวังไว้ที่ตัวคุณหนูตั้งแต่แรกเริ่ม แต่หันมาเลือกข้าแทน ตัวอักษรยาวเหยียดสองพันกว่าคำในจดหมายฉบับนั้นเขียนด้วยตัวอักษรสิงซูที่ไหลรื่นดุจเมฆคล้อยและสายน้ำรินแทบทั้งหมด มีเพียงอักษรเจ็ดคำเท่านั้นที่เขียนด้วยตัวอักษรข่ายซู!”
เด็กสาวหัวเราะจนน้ำตาแทบไหล และกล่าวต่อขาดๆ หายๆ ว่า “พลเอกต้าหลีแซ่เฉิน หลานชายคนโตสกุลเฉิน ฆ่าโจรบนหลังม้า ไฟไท่ผิง รายงานความสงบสุข (สงบสุขปลอดภัย ภาษาจีนคือผิงอัน) ได้รับพระราชโองการแต่งตั้ง”