กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 110
บ่าของเฉินผิงอันพลันหนักอึ้ง ลมหายใจก็ชะงักค้างตามไปด้วย ปราณกระบี่เส้นที่เดิมทีควรจะพุ่งออกมาจากช่องโพรงลมปราณเหมือนลูกธนูที่ขึ้นสายง้าวแล้ว จะไม่ปล่อยย่อมไม่ได้ แต่หลังจากถูกคนตบลงมาบนบ่ากลับเหมือนงูหลามที่ออกจากภูเขา แล้วเจอเข้ากับเจียวแม่น้ำที่ขวางทางไป พลังอำนาจที่ก่อนหน้านี้พร้อมทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลองก็ย่อมต้องหยุดชะงักลง เลือกที่จะวางกำลังพลเตรียมพร้อมอยู่นิ่งๆ ก่อนชั่วคราว
“หยุดก่อนๆ” ชายฉกรรจ์สวมงอบยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เขาโอบไหล่เด็กหนุ่มพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ “คนในครอบครัวเดียวกันที่รักและปรองดองกันดี รบราฆ่าฟันกันแบบนี้ สมควรแล้วหรือไง”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น ชายฉกรรจ์สวมงอบที่ปรากฎตัวอย่างลึกลับคลี่ยิ้มให้เขา “เชื่อข้าเถอะ ข้าคืออาเหลียงไง”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “จะฟังเจ้าชั่วคราว”
อาเหลียงเพียงแค่มองจูเหอปราดหนึ่ง ทว่าจูลู่เขากลับไม่แม้แต่จะปรายตามอง เพียงกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ปราณกระบี่ที่มีค่าขนาดนี้ เอามาใช้ฆ่าจูเหอคนเดียว เหยียบย่ำสมบัติสวรรค์เกินไปแล้ว เจ้าไม่เสียดาย แต่ข้านี่แหละที่เสียดายแทนเจ้า แล้วนับประสาอะไรกับที่…ช่างเถอะๆ ไม่พูดเรื่องที่ทำลายบรรยากาศพวกนี้แล้ว สรุปคือ ใจที่มีคุณธรรมของข้าอาเหลียงไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ วิธีโคจรลมปราณ ‘สิบแปดหยุด’ นี้ถือว่าเป็นการชดเชยให้เจ้าก็แล้วกัน”
เดิมทีเฉินผิงอันอยู่ในท่าเตรียมเก็บสองนิ้วที่ประกบกันกลับมา แต่เวลานี้อาเหลียงปล่อยมือจากไหล่ของเด็กหนุ่ม ถอยหลังหนึ่งก้าว ส่ายหน้าพูดยิ้มๆ “ท่านี้ไม่มีมาดของยอดฝีมือเอาเสียเลย ข้าจะสอนท่านหนึ่งที่ร้ายกาจให้แก่เจ้า”
“ยืนให้นิ่ง!” หลังจากตวาดเบาๆ หนึ่งครั้ง ชายฉกรรจ์สวมงอบก็งอนิ้วเขกลงบนไหล่ของเฉินผิงอันหนึ่งที จากนั้นนิ้วมือของเขาก้แตะลงบนหัวใจของเด็กหนุ่มเจ็ดแปดครั้งรวดเร็วราวกับบิน ขณะเดียวกันก็ใช้วิชาอภินิหารของตระกูลเซียนที่เหนือชั้นกว่ารวมเสียงเป็นเส้นอะไรนั่นมากนัก ทำให้เหนือทะเลสาบหัวใจของเด็กหนุ่มมีริ้วคลื่นกระเพื่อม ก่อเป็นเสียงในหัวใจที่ดังต่อเนื่อง “จำจุดเริ่มต้นของปราณขุมนี้ที่อยู่ในร่างให้ดี จำชื่อและเส้นทางการโคจรของช่องลมปราณทั้งหมดให้ดี ลมปราณดั่งเส้นทางมังกรที่ทอดตัวยาว จุดเริ่มต้นอยู่ที่บรรพบุรุษแห่งหมื่นขุนเขา จุดนี้คือช่องลมปราณลำดับต้นในการบำรุงกระบี่ของโลก จุดนี้คือการหยุดครั้งที่หนึ่ง ผ่านสามเขาหกด่านไปอย่างรวดเร็ว พอมาถึงช่องโพรงฝูจีก็คือหยุดที่สอง จากนั้นก็ถ่านหกโพรงเก้าถ้ำไปอย่างรวดเร็ว มาถึงจุดนี้คือช่องฉุนหยาง คือหยุดที่สาม…จุดนี้คือหยุดสุดท้าย สรุปคือสิบแปดหยุด ช่องโพรงลมปราณเหล่านี้แตกต่างจากวิถีการพูดในปัจจุบันไปมาก นั่นคือเลือดเนื้อและจิตใจที่ล้ำค่าซึ่งผู้ฝึกกระบี่บรรพกาลจำนวนนับไม่ถ้วนต้องบุกฝ่าขวากหนาม จ่ายค่าตอบแทนมหาศาลถึงจะได้มันมา เจ้าต้องจำให้แม่น!”
สุดท้ายอาเหลียงถามว่า “จำได้ขึ้นใจหรือยัง?”
หน้าผากเฉินผิงอันมีเหงื่อผุดพราย “จำได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว”
อาเหลียงกล่าวยิ้มๆ “พอประมาณแล้ว วันหน้าหากไปชนอะไรหัวแตกเลือดไหลก็ไม่ต้องกลัว นี่คือเส้นทางที่ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนต้องเดิน ในกาลข้างหน้ารอให้คุ้นชินกับเส้นทางแล้ว เจ้าสามารถทดลองโคจรลมปราณช้าๆ นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่น่าสนใจที่สุดของสิบแปดหยุด อืม นี่คือความรู้ที่ข้าอาเหลียงใคร่ครวญออกมาได้ด้วยตัวเอง มีคนนับถือและเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด เอ่ยชมข้าสุดฤทธิ์สุดเดช บอกว่าลำพังแค่จุดนี้ก็สามารถเพิ่มระดับความสูงของวิถีกระบี่ให้สูงขึ้นได้เยอะมาก ฮ่าๆ ทำเอาข้าขัดเขินไม่น้อยเลย”
เฉินผิงอันพลันรู้สึกว่าสิบแปดหยุดอะไรนี่ไม่น่าจะดีไปกว่าตำราหมัดเขย่าขุนเขาสักเท่าไหร่
ดูเหมือนอาเหลียงจะมองความคิดของเด็กหนุ่มออกจึงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าดูเหมือนคนขี้โกหกที่ชอบพูดจาเหลวไหลหรือ? ชั่วชีวิตนี้ข้าอาเหลียงยังไม่รู้เลยว่าอะไรคือการคุยโว!”
จูเหอฝืนดึงสภาพจิตใจของตัวเองออกมาจากปลักโคลนได้ในที่สุด แต่แขนขาทั้งสี่กลับแข็งทื่อยิ่งกว่าเดิม แค่ขยับก็ตาย นี่คือความคิดหนึ่งเดียวในสมองของจูเหอ นี่คือภัยคุกคามอย่างไร้รูปลักษณ์ที่ชายฉกรรจ์สวมงอบนำมา
หากคนที่พกดาบซึ่งห้อยน้ำเต้าสะดุดตาไว้ที่เอวเป็นสหายกับเจ้า เจ้าจะรู้สึกว่าไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็ไม่เหมือนยอดฝีมือ
แต่เมื่อเจ้าหมอนี่กลายมาเป็นศัตรูที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเจ้า เหงื่อเย็นๆ กลับหลั่งลงมาตามสันหลังของจูเหอ ขวัญแทบหนีกระเจิดกระเจิงอย่างแท้จริง
จูเหอที่ห่างออกไปไกลไม่อาจรักษาสภาพจิตใจเอาไว้ได้ ส่วนจูลู่ที่อยู่ใกล้ก็ได้ยินแค่เสียงพึมพำที่เฉินผิงอันพูดอยู่กับตัวเอง
อาเหลียงจึงใช้เสียงในใจบอกกับเฉินผิงอันอีกครั้ง “เรือน้อยล่องผ่านเทือกเขาใหญ่นับหมื่น การโคจรลมปราณทะยานไกลร้อยลี้ พันลี้ หมื่นลี้ในเสี้ยววินาที เป็นเรื่องที่ดีมาก แต่หากสามารถเคลื่อนหน้าไปอย่างเชื่องช้า เหมือนเนินเขาที่สะสมดินนานนับร้อยปีก็ยังไม่เพิ่มความสูงขึ้นมาแม้แต่เสี้ยว มหาสมุทรสั่งสมน้ำหนึ่งพันปี ผิวน้ำกลับไม่เพิ่มขึ้นแม้แต่น้อย นั่นจะดียิ่งกว่า! การโคจรลมปราณในวันหน้า สามารถตั้งใจฝึกฝนบนเส้นทางสายนี้โดยเฉพาะ ทำให้ได้ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่นอนหลับก็ยังสามารถโคจรได้เองโดยอัตโนมัติ”
เฉินผิงอันสงสัย “หลังจากหลับไปแล้ว ข้าจะรู้ได้อย่างไรจะโคจรสิบแปดหยุดนี่หรือเปล่า?”
อาเหลียงยกมือสองข้างขึ้นกอดอก เอ่ยยิ้มๆ “ดำเนินถึงที่น้ำแห้ง นั่งมองเมฆปกนภา ถึงเวลานั้นเจ้าจะรู้คำตอบได้เอง”
อาเหลียงนั่งแปะลงไปบนเก้าอี้ยาว เพียงแต่ว่าเพิ่งจะนั่งลงไป สีหน้ากลับเหยเกเล็กน้อย
เฉินผิงอันกุมขมับ
อาเหลียงยกก้นขึ้นอย่างไม่กระโตกกระตาก ใช้มือปัดพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลที่ติดอยู่บนก้นทิ้งไป ย้ายตำแหน่งนั่งใหม่ กางแขนสองข้างวางบนราวระเบียง พ่นลมหายใจออกมาหนักๆ หนึ่งครั้ง และในที่สุดก็มองจูลู่เต็มตา “นอกจากเจ้าและบิดาของเจ้าต้องคืนดีวีรบุรุษเม็ดนั้นของเขาเจินอู่และ “ตำราปราณม่วง” คืนให้ข้าแล้ว ยังต้องเอายันต์ที่สืบทอดกันมาของตระกูลหลี่ปึกนั้นมาให้ข้าด้วย แต่ว่ายันต์พวกนี้ช่วยชีวิตพวกเจ้าไว้ได้แค่คนเดียวเท่านั้น จู่ลู่ ตอนนี้ข้าจะให้เจ้าเลือก เป็นเจ้าที่มีชีวิตรอดออกไปจากจุดพักม้า หรือบิดาของเจ้า?”
ไม่รอให้จูลู่พูด จูเหอก็ชิงเอ่ยขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “ขอผู้อาวุโสอาเหลียงโปรดปล่อยจูลู่ไป ข้ายินดีฆ่าตัวตายเพื่อชดใช้ความผิด ถึงขั้นที่ว่าไม่ต้องให้ดาบไม้ไผ่ของผู้อาวุโสต้องแปดเปื้อนด้วย”
อาเหลียงเพียงแค่ยิ้มตาหยีมองจูลู่ ไม่สนใจจูเหอที่ควักยาและยันต์กระดาษสีเหลืองเลยแม้แต่น้อย “จูลู่ เจ้าหวังให้ใครมีชีวิตรอด?”
เด็กสาวร้องไห้จนกลายเป็นคนน้ำตาไปแล้ว ได้แต่ใช้มืออุดปากของตัวเองอย่างแรง ไม่กล้าร้องออกเสียง
มืออีกข้างหนึ่งนางกำไว้ข้างหลังแน่น เล็บจิกลงกลางฝ่ามือจนเลือดสดไหลโชก
จูเหอที่อยู่ห่างออกไปคุกเข่าลงบนพื้นระเบียงอย่างแรง ก่อนจะโขกหัวพูดเสียงสั่น “ผู้อาวุโสอาเหลียง!”
อาเหลียงหันมามองเฉินผิงอัน ถามว่า “เจ้าคิดว่ายังไง? หรือจะให้ปล่อยไปทั้งคู่? หากเจ้ากลัวว่าจูเหอจะแก้แค้น ข้าสามารถทำลายตบะและวรยุทธ์ของเขา หากกลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ข้าสามารถทำลายสะพานชีวิตของจูเหอได้ง่ายๆ อืม หรือจะเป็นของจูลู่ก็ได้”
เด็กหนุ่มไม่มองจูเหอ มองแต่จูลู่ “ข้าเคยบอกว่า เจ้าต้องตาย”
จูเหอพลันเงยหน้าขึ้น คำรามเดือดดาล “เฉินผิงอัน จูลู่เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง!”
เด็กหนุ่มที่อารมณ์สงบนิ่งมาโดยตลอด พอได้ยินประโยคนี้จู่ๆ กลับโมโหจนหน้าเขียว
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะก้าวเร็วๆ ขึ้นหน้าหลายก้าว เตรียมจะออกหมัดต่อยหน้าอกของจูลู่ให้แหลก ลมปราณของนางในเวลานี้สับสนยุ่งเหยิง ไม่ได้ดีไปกว่าเด็กสาวทั่วไปที่ร่างกายและจิตวิญญาณอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม พอปล่อยหมัดออกไป เขากลับเปลี่ยนมันให้กลายเป็นฝ่ามืออย่างไม่อาจควบคุมตัวเอง และทิศทางก็เอนขึ้นด้านบน ตบลงบนซีกแก้มจูลู่อย่างแรง
อาเหลียงกดไหล่ของเด็กหนุ่มอีกครั้ง “พอได้แล้ว”
อาเหลียงหัวเราะเสียงเบา “การลงโทษบางอย่างโหดร้ายยิ่งกว่าตายมากนัก”
เฉินผิงอันนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาว ออกอาการเหม่อลอย หลังจากนั้นอาเหลียงจัดการกับสองพ่อลูกอย่างไร พวกเขาไปจากจุดพักม้าเจิ่นโถวอย่างไร หลังจากนี้จะไปทำอะไรที่ไหน เด็กหนุ่มไม่รู้เลยสักเรื่องเดียว
เด็กหนุ่มพลันเงยหน้าถาม “อาเหลียง มีเหล้าไหม?”
อาเหลียงหัวเราะ “เหล้าน่ะมี น้ำเต้าใบเล็กของข้าสามารถบรรจุเหล้านักนับพันจิน แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้า คนคนหนึ่งเวลาที่เสียใจ ห้ามดื่มเหล้าเด็ดขาด เพราะจะกลายมาเป็นผีขี้เหล้าได้ง่าย แต่เวลาที่อารมณ์ดี สามารถดื่มเหล้าได้ ไม่แน่ว่าดื่มไปดื่มมา อาจจะกลายเป็นเซียนสุราก็ได้”
……
นอกประตูใหญ่ของจุดพักม้าเจิ่นโถว
หลินโส่วอียืนอยู่บนถนนเพียงลำพัง เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมอาเหลียงถึงทิ้งตนไว้ข้างนอก อีกฝ่ายบอกแค่ว่าให้เขารอคนคนหนึ่งปรากฏตัว แล้วให้เขาเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะก้าวข้ามธรณีประตูของจุดพักม้ามาหรือไม่
แม้จะน่าเบื่อหน่ายแค่ไหน แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงยืนหลังตรงอกตั้งดุจต้นสนตระหง่านเดียวดายบนยอดเขา
อาศัยโคมไฟสีแดงใบใหญ่ที่แขวนไว้หน้าประตูจุดพักม้าเจิ่นโถว เด็กหนุ่มหยิบตำรา ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ของลัทธิเต๋าเล่มนั้นออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอก เริ่มไล่อ่านตัวอักษรเข้าใจยากที่เหมือนคำว่าลมตาบอดฝนขมฝาด ติดขัดไม่ลื่นไหลอย่างแท้จริง
แต่ทุกครั้งที่อ่านไปถึงจุดที่ตรงใจ หรือบรรลุความหมายที่แท้จริงของประโยคเหล่านั้น เขากลับรู้สึกเหมือนท้องฟ้าสดใสหลังฝนตก ดั่งฟ้าครามยามที่เมฆหมอกเคลื่อนคล้อยหายไป ทำให้เด็กหนุ่มชื่นชอบปลาบปลื้มอย่างถึงที่สุด เด็กชายผู้ที่ชาติกำเนิดเต็มไปด้วยอุปสรรคจึงสร้างนิสัยเย็นชาไม่ยินดีแบ่งปันความปิติยินดีจากใจจริงเช่นนี้กับผู้ใด
เด็กหนุ่มไม่กลัวที่จะใช้ความคิดที่เลวร้ายที่สุดไปประเมินคนและเรื่องราวบนโลกใบนี้
ห่างออกไปไกลมีสตรีแต่งงานแล้วหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งเดินมา เมื่อเห็นเด็กสาว ดวงตาของสตรีแต่งงานแล้วเผยแววตกตะลึง กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ช่างสมกับเป็นตัวอ่อนที่ดีในการฝึกตนจริงๆ”
สตรีแต่งงานแล้วเดินมาหยุดอยู่ห่างจากเด็กหนุ่มไปประมาณเจ็ดแปดก้าว นางคลี่ยิ้มบางเบาพลางกล่าวว่า “สวัสดีหลินโส่วอี ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ริมน้ำพวกเราได้พบกันแล้วครั้งหนึ่ง ข้าอยู่บนเรือ เจ้าอยู่บนฝั่ง สถานะที่แท้จริงของข้าคือไท่ซ่างจ่างเหล่า (คำเรียกผู้อาวุโสที่คุมอำนาจการปกครองอยู่เบื้องหลัง) แห่งตำหนักฉางชุนต้าหลี ไม่ได้ชมตัวเอง แต่ข้าก็คือเทพเซียนบนภูเขาในสายตาของชาวบ้านร้านตลาดตัวจริงเสียงจริง เพียงแค่สะบัดปลายแขนเสื้อก็สามารถเรียกลมเรียกฝน เพียงกระทืบเท้าแผ่นดินและภูเขาก็สั่นคลอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเชี่ยวชาญคาถาหนึ่งฟ้ามือห้าอสนี เพียงพลิกฝ่ามือก็สามารถสยบมารปราบปีศาจ…”
กล่าวมาถึงสุดท้าย สตรีแต่งงานแล้วก็หัวเราะคิกคักกับตัวเอง โบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ได้ๆ คำพูดแบบนี้พูดแล้วให้กระดากปากยิ่งนัก คราวหน้าคงต้องให้คนเปลี่ยนเป็นคำพูดเรียบๆ กว่านี้สักหน่อย”
ทว่าเด็กหนุ่มกลับพยักหน้า “ข้าเชื่อเจ้า”
สตรีแต่งงานแล้วกล่าวยิ้มๆ “แม้จะไม่รู้ว่าบิดาของเจ้าเขียนบอกกับเจ้าในจดหมายฉบับนั้นอย่างไร ยิ่งไม่รู้ความคิดของอาเหลียงผู้นั้น แต่ในเมื่อเขารู้ว่าข้าติดตามพวกเจ้ามา ทั้งยังทิ้งเจ้าไว้ข้างนอกจุดพักม้า ข้าจึงรู้สึกว่าสามารถลองพูดเกลี้ยกล่อมเจ้าดูได้ ดูสิว่าจะทำให้เจ้าตามข้ากลับเมืองหลวงต้าหลี หลังจากบอกลากับบิดามารดาของเจ้าแล้วค่อยคิดตามขาไปฝึกวิชาที่ตำหนักฉางชุนได้หรือไม่”
สีหน้าหลินโส่วอีเฉยชา “พ่อข้าบอกให้ข้ารออยู่ที่เมืองหงจู๋แต่โดยดี จากนั้นจะมีผู้สูงศักดิ์มารับข้าไปที่เมืองหลวงต้าหลี หาไม่แล้วหากอยู่ดีไม่ว่าดีข้าพาตัวเองไปตายอยู่ข้างนอก ข้าก็ไม่มีทางตามเก็บศพให้ข้า เพราะคนตายคนหนึ่งไม่มีค่าพอต่อค่าเดินทางเหล่านั้น พ่อข้ายังบอกประโยคหนึ่งว่า ตอนนี้ราคาสินค้าในเมืองหลวงต้าหลีแพงมาก ในบ้านมีค่าใช้จ่ายสูงมากพอแล้ว”
สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจ “บิดาเจ้าพูดจาไม่น่าฟังไปบ้าง แต่นี่ไม่ใช่ความจริงหรอกหรือ?”
มุมปากเด็กหนุ่มยกยิ้มเย้ยหยัน
สตรีแต่งงานแล้วลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ยื่นฝ่ามือออกไปหาเด็กหนุ่ม สีหน้าจริงจัง “แม้เจ้าอาจจะรู้สึกว่าทำเหมือนเด็กเล่นมากเกินไป ไม่ลี้ลับมากพอ ขาดโชควาสนาและการทดสอบที่เป็นอุปสรรคมากมาย แต่ข้าก็ยังอยากบอกกับเจ้าว่า หลินโส่วอี เดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ก็ถือว่าเจ้าเดินบนสะพานของความเป็นอมตะแล้ว”
เด็กหนุ่มเก็บหนังสือเล่มนั้นกลับไปไว้ในสาบเสื้อ ส่ายหน้าพูดว่า “ขอบพระคุณในความหวังดีของท่านเซียน เกิดในตระกูลใด ใช้แซ่อะไร ข้าล้วนเลือกไม่ได้ แต่ควรเดินไปบนเส้นทางไหน ในใจข้ามีคำตอบอยู่แล้ว”
“น่าเสียดายนัก”
สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจหนึ่งครั้ง ไม่ได้บังคับฝืนใจ “หลินโส่วอี ถ้าอย่างนั้นคงได้พบกันเมื่อมีโอกาส หวังว่าพอถึงเวลานั้นเจ้าจะไม่เสียใจทีหลัง”
เด็กหนุ่มกุมมือคารวะอย่างจริงจัง “หลินโส่วอีน้อมส่งท่านเซียน”
ร่างของสตรีวัยกลางคนจึงวูบหายไป
……
บนระเบียงโรงเตี๊ยมจุดพักม้า
เวลานี้เฉินผิงอันและอาเหลียงนั่งบนเก้าอี้ยาวฝั่งตรงข้ามกัน
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “อาเหลียง เจ้าจะไปแล้วใช่ไหม?”
อาเหลียงพยักหน้ารับ
ยกน้ำเต้าใบเล็กขึ้นดื่มเหล้าหนึ่งอึก
แค่มองก็รู้ว่าคิดถึงเรื่องบางอย่างที่ทำให้เสียใจ ประโยคก่อนหน้านี้ที่บอกว่าเวลาเสียใจไม่ควรดื่มเหล้าล้วนเป็นเพียงแค่ถ้อยคำปฏิเสธอย่างเกรงใจของชายฉกรรจ์สวมงอบเท่านั้น
อาเหลียงเหม่อมองเด็กหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มองดวงตาใสสะอาดคู่นั้นของเด็กหนุ่มเฉินผิงอันก็เหมือนกำลังมองดวงตาคู่นั้นของเมื่อหลายปีก่อนซึ่งผ่านมาเนิ่นนานเหลือเกิน
อาเหลียง ข้าคิดได้แล้ว เรียนหนังสือไม่มีประโยชน์ น่าเบื่อยิ่งนัก! ข้าฉีจิ้งชุนจะไปบุกยุทธภพร่วมกับเจ้า มีแค้นชำระแค้น มีบุญคุณตอบแทนบุญคุณ ข้าจะดื่มเหล้ารสแรงที่สุด ใช้กระบี่ที่เร็วที่สุด ขี่ม้าที่ดีที่สุด อืม ข้าเตรียมเงินไว้เรียบร้อยแล้ว ตั้งสิบกว่าตำลึงเงินแน่ะ! หากไม่พอข้ายังสามารถกลับไปขอยืมจากท่านอาจารย์มาเพิ่มอีกได้ ท่านอาจารย์เป็นคนมีเหตุผลยิ่งนัก เขาบอกกับข้าว่าหากไม่อยากเรียนหนังสือจริงๆ ก็สามารถเดินออกไปดูโลกภายนอก ภูเขาลำธารล้านลี้ล้วนเป็นความรู้ทั้งสิ้น
ดวงตาของบัณฑิตชุดเขียวที่ถูกคนซ้อมจนหน้าบวมจมูกเขียวใสกระจ่างและยืนหยัดหนักแน่น
ตรงหน้าประตูใหญ่ของสำนักศึกษามีซิ่วไฉเฒ่าผู้หนึ่งหลบๆ ซ่อนๆ ไม่กล้าให้คนเห็น เพียงแค่โผล่ศีรษะออกมาขยิบตาให้อาเหลียง เห็นว่าอาเหลียงไม่สนใจตนก็เลยเดินออกมาสองสามก้าว หยุดอยู่ตรงธรณีประตู ม้วนชายแขนเสื้อขึ้น วางท่าว่าหากเจ้ากล้าหลอกเอาตัวศิษย์ของข้าไป ข้าก็พร้อมเอาสังขารแก่ๆ ของข้ามาสู้ตายกับเจ้า
ไปๆๆ ขนยังขึ้นไม่ทันครบกลับยกคำพูดใหญ่โตมาพูดเสียจนหมด รอวันใดขนขึ้นครบแล้ว ข้าค่อยมาพาเจ้าออกไปเปิดหูเปิดตาดูโลกกว้างภายนอก
อาเหลียง สัญญาแล้วนะ ข้าจะรอเจ้า
สุดท้ายอาเหลียงหันหลังให้เด็กหนุ่ม มือหนึ่งกุมด้ามกระบี่ยกขึ้นตีไหล่ตัวเองอย่างเอ้อระเหย อีกมือหนึ่งชูขึ้นกำเป็นหมัดแน่น บอกลาเด็กหนุ่มคนนั้น
จอมยุทธ์พเนจรอาเหลียงโบกมือบอกลาเด็กหนุ่มผู้ใฝ่ฝันถึงชีวิตในยุทธภพ
จากลาครั้งนี้ ไม่มีโอกาสได้พบกันอีก
สุดท้ายเมื่อชายหนุ่มหันหน้ากลับไปมองก็เห็นว่าผู้เฒ่าคนนั้นเดินมาจูงมือเด็กหนุ่มไปแล้ว คนทั้งสองเดินกลับสำนักศึกษาด้วยกัน
หนึ่งแก่หนึ่งเด็ก เดินพลางพูดไปพลาง
จิ้งชุน ก่อนหน้านี้ลืมถามไป ใครเป็นคนตีเจ้ากันแน่?
คนผู้นั้นแซ่จั่ว
หา? เขาหรือ ลงมือไม่รู้จักหนักเบาบ้างเลย เดี๋ยวข้ากลับไปต้องตำหนิเขาสักหน่อย วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ แต่ว่าทำไมถึงทะเลาะกันล่ะ เขาหาเหตุผลมาเถียงสู้เจ้าไม่ได้เลยอับอายจนพานเป็นโกรธ?
ไม่ใช่
หืม?
หลังจากที่เขาโต้คารมแพ้ก็ยอมแพ้แต่โดยดี แต่เขาจงใจพูดว่าต่อให้ข้าอ่านหนังสือมากเท่าไหร่ ชีวิตนี้ก็ไม่มีหวังที่จะมีความรู้เหนือท่านอาจารย์ได้ ข้าคิดว่าจะเป็นไปได้อย่างไร แม้ท่านอาจารย์จะมีความรู้มาก แต่ตอนนี้แค่เปิดหนังสือก็ง่วงนอน อ่านไปอ่านมาก็มักจะงีบหลับเป็นประจำ ข้าอายุยังน้อย ต้องมีสักวันหนึ่งที่อ่านหนังสือได้มากกว่าท่านอาจารย์…แต่เขาก็ยังพูดอยู่นั่นแหละว่า ถ้าเก่งจริงพรุ่งนี้ก็มีความรู้เหนืออาจารย์ให้ได้สิ ข้าโมโหก็เลยลงมือก่อน ตีสู้เขาไม่ได้ ข้าก็ยอมรับ ก่อนหน้านี้ตอนที่ไปพบท่านอาจารย์ ข้าก็ไม่ได้ฟ้องท่าน ถูกไหม เป็นถึงบัณฑิต อย่างไรก็ควรต้องมีความองอาจนี้ แต่ถ้าเปลี่ยนมาเป็นท่านอาจารย์บ้าง ท่านกลับไม่มีความองอาจผ่าเผยเอาเสียเลย หากท่านเถียงชนะต่อยตีแพ้ ท่านก็เอาแต่พูดว่าความรู้ของตัวเองสูงส่งค้ำฟ้า บอกว่าการโต้วาทีครั้งนั้นในอดีตไม่เคยมีปรากฎมาก่อน ในอนาคตก็จะไม่มีใครทำได้อย่างไร แต่หากท่านเถียงกับคนอื่นแพ้ ตีกับคนอื่นชนะ ก็จะต้องพูดว่าศึกครั้งนั้นสะท้านฟ้าดินจนเทพและผีร้องไห้อย่างไร…”
ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ท่านบิดหูข้าทำไม? โอ้ยๆๆ …วิญญูชนขยับปากแต่ต้องไม่ขยับมือสิ
วิญญูชนอะไรกัน! อาจารย์อย่างข้าคืออริยะ!
ชายหนุ่มที่มองเห็นภาพนี้ ในที่สุดก็หมุนกายจากไปอย่างสง่างาม
ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน มีบางครั้งชายหนุ่มจะนั่งอยู่บนกำแพงเมืองทอดยาว ดื่มเหล้าเพียงลำพังคำแล้วคำเล่า ได้ยินข่าวคราวเล็กๆ น้อยที่ส่งไกลมาจากภูเขาห้อยหัว ไม่มีข่าวใดที่เป็นข่าวดี ล้วนแต่เป็นข่าวร้ายเลวระยำ ชายหนุ่มก็จะรู้สึกเสียใจภายหลังที่ปีนั้นไม่ได้พาเด็กหนุ่มมาด้วย จะต้องตำหนิตาเฒ่าคนนั้นที่แม้แต่ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของตนก็ยังดูแลได้ไม่ดี
เวลานี้มองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม อาเหลียงพลันหัวเราะ “ในอดีตข้าเคยพูดประโยคหนึ่งกับเด็กหนุ่มที่อายุพอๆ กับเจ้า ข้าบอกกับเขาว่า ‘เชื่อข้าเถอะ เจ้าเรียนหนังสือได้ดีกว่าฝึกกระบี่’ ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าควรจะพูดประโยคหนึ่งกับเจ้าเหมือนกัน ‘เชื่อข้าเถอะ เจ้าฝึกกระบี่ได้ดีกว่าฝึกหมัด’”
ภายใต้งอบสาน ใบหน้านั้นของอาเหลียง คิ้วตาล้วนบีบเข้าหากัน รอยยิ้มฉีกกว้างสดใส ดุจฤดูหนาวที่มีแสงแดดอบอุ่น
แต่เฉินผิงอันกลับไม่เคยเห็นอาเหลียงเสียใจขนาดนี้มาก่อน