กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 112.2
อาเหลียงมายืนตรงพื้นที่ว่างนอกระเบียง ชายแขนเสื้อสะบัดพึ่บพั่บ มือสองข้างแยกกันกดลงบนดาบไม้ไผ่สีเขียวและดาบแคบยันต์มงคล สูดลมหายใจเฮือกใหญ่หนึ่งครั้ง ดูเหมือนว่าเมื่อไม่มีงอบคอยบดบังมติสวรรค์ ไม่มีการข่มกลั้นบางอย่างที่เกิดจากความตั้งใจ ในที่สุดชายผู้นี้ก็สามารถยืดเส้นยืดสาย ขยับมือไม้ได้เต็มทีโดยไม่มีพันธนาการใดๆ อีกต่อไปแล้ว
ดูเหมือนว่าอาเหลียงจะยังไม่ค่อยวางใจจึงมองไปยังมุมหนึ่ง แล้วเอ่ยสั่งความอีกว่า “แม้เจ้าจะเป็นเทพอินที่ฝึกตนประสบความสำเร็จองค์หนึ่ง แต่ต้าหลีตอนนี้เจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วัน เมืองใหญ่และหน้าด่านสำคัญทุกแห่งมักจะมีปราณหยางร้อนแรงดุเดือด ซึ่งมีพลังสามารถพิชิตวัตถุหยางประเภทภูตผีอย่างพวกเจ้าได้ตั้งแต่เกิด เจ้าสามารถให้หลินโส่วอีทดลองหลอมยันต์พลังหยางสองสามแผ่นที่อยู่ในยันต์ปึกนั้นเพื่อนำมาเป็นเอกสารผ่านด่านของเจ้าได้”
หลังจากที่เสียงของอาเหลียงดังขึ้น ห่างไปไม่ไกลบนระเบียงก็มีเงาดำกลุ่มหนึ่งปรากฏ คนผู้นี้เผยกายขึ้นอย่างเชื่องช้าภายใต้สายตาของเฉินผิงอันสี่คน ควันดำล้อมวนไปทั่วร่างของเขา นอกจากศีรษะที่มองเห็นเครื่องหน้าทั้งห้า ดวงตาทั้งคู่ที่มีตาดำเป็นสีขาวหิมะน่าพรั่นพรึงซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว เรือนกายสูงใหญ่กลับเลือนรางคล้ายเจียวหลงที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆหมอก เห็นเพียงหัวไม่เห็นหาง
เทพหยางที่อาเหลียงเรียกพยักหน้ารับ
อาเหลียงจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอมอบเด็กพวกนี้ให้พวกเจ้า อย่างน้อยต้องคุ้มครองพวกเขาให้ไปถึงด่านเหย่ฟูต้าหลี หลังจากนั้นก็ดูที่โชควาสนาของพวกเขาเองแล้วกัน จะเอาแต่เป็นแม่ไก่คอยปกป้องลูกเจี๊ยบทั้งฝูงอยู่แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง คำประจบยกยอของคนนับพัน ไม่สู้คำสัญญาจริงจังของคนคนเดียว ข้าเชื่อใจเจ้า”
เทพหยินตนนั้นเปิดปากถามเสียงแหบพร่าด้วยภาษาท้องถิ่นของเมือง “ผู้อาวุโส เหตุใดท่านถึงยอมเชื่อวัตถุหยินที่มีที่มาไม่แน่ชัดตนหนึ่ง?”
อาเหลียงหัวเราะขัน ตอบตามตรงว่า “ก็ดูจากหน้าตาเจ้าไง หน้าตาบอกบุญไม่รับแบบนี้ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกหน้าตาเย็นชาแต่มีจิตใจเร่าร้อนเป็นธรรม”
เทพหยินลังเลอยู่ชั่วครู่ “เพราะเหมือนท่านผู้อาวุโสอย่างนั้นหรือ?”
ประโยคนี้ทำให้อาเหลียงสะอึก แทบพูดไม่ออก “เจ้าตะพาบคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงนี่…พูดจาตลกดีนะ”
วัตถุหยินยิ้มกว้าง ไม่เอ่ยอะไรอีก
หลี่ไหวไปหลบอยู่ด้านหลังหลี่เป่าผิงนานแล้ว ตอนนี้กำลังกระตุกชายแขนเสื้อของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดง กล่าวอย่างหวาดผวา “เป่าผิง เป่าผิง ผี ผีจริงๆ ด้วย”
สีหน้าหลินโส่วอีเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ แต่พยายามระงับความอยากรู้อยากเห็นไว้เต็มกำลัง หลีกเลี่ยงไม่ให้สายตาที่ซอกแซกเกินไปของตนไปทำให้เทพหยินตนนั้นขุ่นเคือง ใน ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ได้อธิบายคร่าวๆ ว่าการที่วัตถุหยินกลายเป็นเทพนั้นมีวิธีการหลากหลาย หนึ่งคือต้องอาศัยความเต็มใจในการจุดธูปบูชาของผู้มีจิตศรัทธา สองคือฝากชีวิตไว้ในจิตวิญญาณของสำนักการทหาร สามคือฝึกตนเหมือนกับผู้ฝึกตน เส้นทางสายนี้เดินได้ยากลำบากมากที่สุด แต่หากทำสำเร็จ จิตวิญญาณของเทพหยินก็จะมั่นคงมากที่สุด ต่อให้เป็นแสงอาทิตย์ร้อนแรง พายุลมกรดพัดใส่หรืออาบไล้อยู่ท่ามกลางเสียงสวดภาษาสันสกฤต ก็ล้วนสามารถใช้มาเป็นทางลัดในการขัดเกลาตบะของตัวเองได้
เทพหยินตนนั้นมองเฉินผิงอันแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็มองไปยังหลี่ไหวจอมขี้ขลาดที่หลบอยู่ด้านหลังสุด
หลี่ไหวหน้าบู้เหมือนจะร้องไห้ “เจ้าอย่าเอาแต่มองข้าสิ มองหลินโส่วอี มองเฉินผิงอัน หรือไม่มองอาเหลียงก็ได้”
เทพหยินประหลาดที่ติดตามมาตลอดทาง แต่กลับวางตัวอย่างรู้อะไรควรไม่ควรค่อยๆ สลายร่างไป ระเบียงทาเดินที่อึมครึมจึงกลับคืนมาเป็นปกติดังเดิม
อาเหลียงทอดสายตามองไกลไปทางทิศเหนือ ไม่ได้รีบร้อนจากไป เขาหัวเราะหึหึ “มีเรื่องไม่คาดฝันนิดหน่อย ดังนั้นพวกเราจึงยังมีเวลาพูดคุยกัน ทุกคนมีอะไรอยากจะพูดก็จงรีบพูด ประจบสอพลอ ยกยอปอปั้น สรรเสริญเอาใจ พูดให้เต็มที่ วันหน้ากว่าจะพบกันใหม่ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน”
หลี่เป่าผิงเปิดปากเป็นคนแรก “อาเหลียง หากดาบเล่มนั้นพังแล้วก็ไม่ต้องคืนให้ข้า เพราะข้ากับเจ้าเป็นเพื่อนกัน!”
อาเหลียงหัวเราะเปี่ยมสุข ชูนิ้วโป้งให้แม่นางน้อย “คำพูดอบอุ่นหัวใจเช่นนี้ ข้าชอบ! แต่ยังไงก็ต้องคืนยันต์มงคลเล่มนั้นให้เจ้าในสภาพเดิม วางใจได้เลย”
หลินโส่วอีถามอย่างจริงจัง “อาเหลียง วันหน้าการหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณของข้าต้องให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ที่ฝึกวรยุทธ์อย่างเดียว หรือนักพรตสำนักการทหารที่เป็นผู้ฝึกลมปราณหรือไม่?”
อาเหลียงส่ายหน้าเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ไม่ต้อง คนบางคนเหมาะที่จะทำเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นข้า แต่บางคนก็ไม่เหมาะ ยกตัวอย่างเช่นเจ้า เส้นทางการฝึกตนของเจ้าหลินโส่วอีต้องทุ่มเทอยู่กับคำว่าลึกซึ้งเท่านั้น อย่าไปสิ้นเปลืองแรงกายใจอยู่กับการฝึกหลายอย่างปะปนกัน”
ชายฉกรรจ์ที่ไม่มีงอบสวมอยู่บนหัวแล้วพูดประโยคนี้อย่างจริงจังเป็นการเป็นงาน
เด็กหนุ่มเย็นชาผู้มีปณิธานยาวไกลพยักหน้ารับเบาๆ แสดงว่าตนเข้าใจแล้ว
หลี่ไหวพึมพำว่าอาเหลียงเจ้าไม่โม้สักวันคงรู้สึกไม่สบายตัวสินะ เด็กชายเตรียมจะก้าวออกมาหนึ่งก้าว คิดจะขยับเข้าไปพูดใกล้ๆ อาเหลียง แต่กลับถูกวัตถุหยินที่ปรากฏตัวอย่างลับๆ ล่อๆ ตนนั้นใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งกดลงบนไหล่หนักๆ “อย่าเดินไปไหนมั่วซั่ว ผู้อาวุโสอาเหลียงเขา…แข็งแกร่งเกินไปแล้ว หากท่านผู้อาวุโสไม่ได้จงใจเว้นพื้นที่ไว้ให้กับพวกเรา ลำพังเพียงแค่พลังอำนาจจากทั้งร่างที่เขารวบรวมขึ้นมาก็สามารถทำให้วัตถุหยินอย่างข้าที่อยู่ห่างไปไม่กี่จั้งร่างแหลกวิญญาณม้วยได้แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ศึกใหญ่กำลังจะระเบิดขึ้น จิตของผู้อาวุโสอาเหลียงอยู่ห่างไปทางทิศเหนือไกลนับล้านลี้ ไม่อาจแบ่งสมาธิมาดูแลพวกเราได้”
หลี่ไหวอึ้งงัน คงจะเป็นเพราะคำพูดประโยคนี้เขย่าขวัญเกินจริงไปมาก เป็นเหตุให้เด็กชายไม่รู้สึกหวาดกลัววัตถุหยินที่อยู่ข้างกายสักเท่าไหร่แล้ว “เจ้าล้อข้าเล่นอยู่หรือไง เขาคืออาเหลียงนะ? ขนาดข้ายังไล่ทุบตีเขาได้ คงไม่ใช่ว่าเจ้าติดเงินอาเหลียงอยู่หลายตังค์หรอกนะ?”
รอยยิ้มของวัตถุหยินที่เกือบจะสร้างร่างทองขึ้นมาได้แข็งค้างอยู่บนหน้า ส่งยิ้มไม่จริงจังให้กับเจ้าเต่าน้อยที่ปากไม่มีหูรูด “เจ้าโตมาได้ขนาดนี้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
อาเหลียงเก็บกระแสจิตบางส่วนกลับมาอย่างเชื่องช้า แล้วหันหน้ามามองเฉินผิงอัน หลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี พลันรู้สึกว่าต่อให้การพบเจอที่เรียกไม่ได้ว่าท่องยุทธภพ เป็นเพียงการรวมตัวกันในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ไร้ซึ่งแก่นสารใดๆ ครั้งนี้ให้ความรู้สึกที่ไม่เลวเลยทีเดียว ชายที่พยายามระงับพลังอำนาจที่ไหลพรูสู่ภายนอกไว้สุดกำลังกล่าวยิ้มๆ ว่า “เอาล่ะ พอสมควรแล้ว”
พลังอำนาจของเขาเพิ่มพรวดไพศาล ประดุจน้ำตกที่พุ่งตรงสู่เบื้องล่าง จนเขาไม่อาจปกปิดอำพรางมันได้ ก่อนหน้านี้ที่ตั้งใจหาคนมาทำงอบไม้ไผ่สานให้โดยเฉพาะก็เพื่อให้มันสามารถระงับพลังอำนาจที่ไหลเชี่ยวกรากพุ่งทะลักทลายขุมนี้เอาไว้ได้
ผู้ฝึกลมปราณบนโลก มีแต่จะเจ็บใจที่ตัวเองมีอาวุธหรือสมบัติอาคมซึ่งจะช่วยเพิ่มตบะไม่มากพอ
แต่อาเหลียงกลับไม่ได้เป็นเช่นนี้
ตอนที่อยู่กำแพงเมืองยาวเหยียดแห่งนั้น เขาไม่มีสิ่งใดให้ทุกข์ใจหรือเป็นกังวล ที่นั่นมีปณิธานปราณกระบี่ที่สั่งสมตกตะกอนมานานนับหมื่นปี ช่วยระงับจิงชี่เสินที่ดุร้ายเหี้ยมหาญอย่างถึงที่สุดบนร่างของเขาลงไป
หลังจากสังหารปีศาจใหญ่ตนนั้นได้แล้ว ก็สลักอักษรตัวหนึ่งลงไปบนกำแพงเมือง จากนั้นก็มาเยือนใต้หล้าแห่งนี้โดยผ่านภูเขาห้อยหัว อาเหลียงจำเป็นต้องสวมงอบ “ทำตัวสำรวม” หลีกเลี่ยงไม่ให้สะดุดตาเกินไปจนถูกคนเหนือคน ฟ้าเหนือฟ้าที่ก้มหน้าลงมองมายังทางช้างเผือกสายนี้จับความเคลื่อนไหวของตนได้เพียงมองปราดเดียว อาเหลียงไม่กลัวว่าจะต้องต่อยตีกับคนอื่น แต่รำคาญความยุ่งยาก
ชีวิตนี้อาเหลียงไม่เคยกลัวอะไรมาก่อน
ยามอยู่ในใต้หล้าป่าเถื่อนกันดารเกินหาสิ่งใดเปรียบ มีปีศาจใหญ่แห่งยุคบรรพกาลสิบแปดท่านครอบครองพื้นที่แถบหนึ่ง เรื่องที่อาเหลียงชอบทำมากที่สุดก็คือพกกระบี่เดินทางไกลเพียงลำพัง บุกเข้าไปยังพื้นที่ต้องห้าม เผชิญหน้าเข่นฆ่าสังหารกับปีศาจสิบเอ็ดตน การต่อสู้ครั้งที่ยาวนานที่สุดใช้เวลาถึงสองเดือนเต็ม ตะลุยทั่วตะวันออกและตะวันตกกินอาณาบริเวณนับพันนับหมื่นลี้ สู้กันจนสุดท้ายทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่จำเป็นต้องส่งเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่สี่ท่านให้มาร่วมมือกับอาเหลียงรับมือกับมหาปีศาจหกตน
อาเหลียงหัวเราะอย่างห้าวเหิม “พวกเจ้าสี่คนจงจำไว้ว่า อิสระเสรีของผู้แข็งแกร่งทุกคนควรจะต้องใช้ความอิสระของผู้อ่อนแอเป็นขอบเขต! คู่ต่อสู้ของผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงคือกฎเกณฑ์ไร้รูปลักษณ์ของฟ้าดิน แรงเฉื่อยที่แข็งแกร่งของพลังแห่งโลก ก็คือกฎเหล็กที่ทุกคนล้วนต้องเกิดแก่เจ็บตาย สิ่งเหล่านี้มีตัวตนโดยที่ไม่อาจมองเห็น ไม่เคยมีผู้แข็งแกร่งคนไหนที่ยิ่งใหญ่ได้เพราะเหยียบย่ำผู้ที่อ่อนแอกว่า มีแต่เจอคนแกร่งแล้วยิ่งแกร่ง ยิ่งพบอุปสรรคก็ยิ่งกล้าหาญ”
อาเหลียงยื่นนิ้วโป้งชี้มาที่ตัวเอง “ยกตัวอย่างเช่นข้าอาเหลียง หลังจากจัดการกับคนกลุ่มนี้ของต้าหลีเสร็จก็จะไปที่อื่น เพื่อต่อสู้กับเหล่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดทั่วหล้าให้ครบทุกคน”
หลี่เป่าผิงชูหมัด เอ่ยอย่างมีชีวิตชีวา “อาเหลียง ยอดเยี่ยม!”
หลี่ไหวร้องไห้จ้าน้ำหูน้ำตานองเต็มใบหน้า
หลินโส่วอีใบหน้าแดงปลั่ง ในที่สุดชีวิตของเด็กหนุ่มก็มีเป้าหมายและทิศทางให้ไล่ตามแล้ว
เฉินผิงอันมองอาเหลียง กำลังจะจากกันแท้ๆ แต่เขากลับพูดอะไรไม่ออก
สุดท้ายอาเหลียงหันไปขยิบตาให้กับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่มวยผมปักปิ่นหยก “อายุน้อยๆ ก็คิดมากขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่เรื่องดี เฉินผิงอัน เจ้าคือเด็กหนุ่มวัยสดใสนะ มา ยิ้มให้นายท่านอาเหลียงสักครั้งสิ”
เฉินผิงอันจึงเค้นรอยยิ้มออกมา
“จะตีกันต้องตีให้ยิ่งใหญ่ ปลาเล็กกุ้งน้อยไม่มีความหมาย ไปล่ะ!”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะดังกังวาน ร่างของอาเหลียงพลันทะยานขึ้นฟ้า กลางนภากาศเกิดเสียงอสนีบาตระเบิดครืนครั่นดังติดกันหลายระลอก
ทุกครั้งที่เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น กลางอากาศสูงก็จะมีเมฆก้อนมหึมาปรากฏขึ้นก้อนหนึ่ง
ทั้งเมืองหงจู๋พลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ฝุ่นตลบคละคลุ้งมืดฟ้ามัวดิน
สายตาของเทพหยินตนนั้นเลื่อนลอย ยืนอยู่ยอดบนสุดของระเบียงทางเดิน เงยหน้ามองภาพปรากฎการณ์อัศจรรย์เหล่านั้นพลางพึมพำเสียงเบา “แข็งแกร่งเกินไปแล้ว แข็งแกร่งอย่างไร้เหตุผล…”
……
เมืองหลวงต้าหลี
ภายใต้การนำทางของอย่างมีสมาธิของสองขันทีใหญ่ตำแหน่งผู้ตรวจฎีกา ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมมังกรสีเหลืองสดก็มาถึงหอสูงแห่งหนึ่งที่ใช้บวงสรวงแผ่นดิน ในสายตาของราชวงศ์ทั่วบุรพแจกันสมบัติทวีป ต้าหลีถือเป็นชนป่าเถื่อนทิศเหนือที่อารยธรรมยังไม่เจริญรุ่งเรือง สำหรับเรื่องพิธีการก็ยิ่งหยาบกระด้าง และนี่ก็ไม่ถือว่าเป็นการใส่ร้ายสกุลซ่งต้าหลี
ด้านล่างหอสูงมีชายสวมชุดคลุมสีขาวเรือนกายสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาก็คือเทพแห่งกองทัพต้าหลีที่เพิ่งเดินทางจากถ้ำสวรรค์หลีจูกลับมายังเมืองหลวง อ๋องเจ้าแคว้นซ่งจ่างจิ้ง
ช่วงคิ้วตาของซ่งจ่างจิ้งกับชายสวมชุดคลุมมังกรที่เดินมามีความคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน
แม้จะเป็นคนหัวแข็งมั่นใจในตัวเองอย่างซ่งจ่างจิ้งก็ยังต้องก้มหน้าลงเล็กน้อย กุมมือคารวะเอ่ยว่า “ฝ่าบาท”
หลังจากชายวัยกลางคนเห็นซ่งจ่างจิ้งก็คลี่ยิ้ม ยื่นมือออกมาตบบ่าอีกฝ่ายสองที กล่าวอย่างปลาบปลื้มว่า “ขอบเขตที่สิบแล้วหรือ ไม่เลวๆ ไม่เสียแรงที่เป็นน้องชายข้า เมื่อไหร่จะถึงขอบเขตที่สิบเอ็ดล่ะ? ถึงเวลานั้นข้าจะจุดประทัดเฉลิมฉลองให้เจ้าด้วยตัวเอง หากเจ้ายังรู้สึกว่ายิ่งใหญ่ไม่พอ ข้ายังสามารถออกราชโองการให้คนทั่วทั้งราชสำนักร่วมกันจุดประทัด อืม ถ้าเป็นอย่างนี้ข้าควรแอบเก็บตุนวัสดุทำประทัดเอาไว้ก่อน…”
ซ่งจ่างจิ้งมองฮ่องเต้ต้าหลีที่จิตล่องลอยไปไกลหมื่นลี้ตรงหน้าก็ให้ระอาใจเล็กน้อย จึงเปลี่ยนคำเรียกขานเสียใหม่ “เสด็จพี่ เรามาเข้าเรื่องเป็นการเป็นงานกันเลยดีไหม? ทำธุระจริงจังเสร็จ แล้วพวกเราค่อยมาคุยเล่นกัน?”
ชายวัยกลางคนพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม “อ้อใช่ ธุระตอนนี้สำคัญกว่า เรื่องหาเงินค่อยว่ากันทีหลัง”
เขาทิ้งอ๋องเจ้าแคว้นซ่งจ่างจิ้งเอาไว้ เดินขึ้นไปบนหอสูงเพียงลำพัง ขณะที่เดินขึ้นบันได้ก็พลันหันมาถามยิ้มๆ “ไปด้วยกันไหม?”
ซ่งจ่างจิ้งตอบเสียงขุ่น “รำคาญที่จะต้องไปอยู่กับตาแก่นิสัยประหลาดสองคนนั้น กลัวว่าพูดไม่เข้าหูแล้วเดี๋ยวจะตีกันขึ้นมา”
ชายวัยกลางคนหัวเราะร่าเสียงดังแล้วเดินขึ้นที่สูงต่อไป ขณะเดียวกันก็หันกลับมาพูดอย่างสนุกสนาน “บอกไว้ก่อนนะ หากตีกันแค่พอหอมปากหอมคอ ข้าย่อมช่วยเจ้าแน่ แต่หากจะทุ่มชีวิตกับพวกเขาจริงๆ ข้าไม่ช่วยเจ้าหรอก”
ซ่งจ่างจิ้งหุบยิ้ม ถามจริงจัง “เสด็จพี่ ครั้งนี้ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้เชียวหรือ? หากข้ารู้เร็วกว่านี้สักนิดว่าคนผู้นั้นไม่ใช่เว่ยจิ้นของศาลลมหิมะอะไรนั่น แต่เป็นบุคคลอันตรายที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะอยู่ในชั้นที่สิบเอ็ด หรืออาจเป็นชั้นที่สิบสอง ข้าจะต้องขัดขวางไม่ให้ท่านจัดวางค่ายกลศึกใหญ่โตขนาดนี้แน่”
ชายผู้นั้นหันตัวกลับไปแล้ว กล่าวตอบเสียงเรียบเฉย “ต้าหลีของข้าต้องการบอกคนทั่วทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีปว่า ขอบเขตสิบสามลงไป เราล้วนฆ่าได้หมด”