กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 115.2
เมืองหลวงต้าหลี หอป๋ายอวี้จิงบนแท่นบูชาสูงที่สูญเสียการอำพรางจากค่ายกล เมื่อพ้นวิกฤตมาอย่างหวิดหวิดก็ยังคงยืนตระหง่านไม่ล้มลง
ทว่าขณะเดียวกันกับที่แสงรุ้งสีขาวแหวกปราการของท้องฟ้าออกไป ค่ายกลเมืองหลวงที่เดิมทีตราผนึกถูกคลายออกชั่วขณะพลันกลับคืนมาเป็นปกติ ส่วนหลวนจวี้จื่อและผู้เฒ่าแซ่ลู่ก็ร่วมกันอำพรางภาพของหอป๋ายอวี้จิงแทบจะในเวลาเดียวกัน ทิ้งไว้เพียงความตื่นตะลึงในชั่วเสี้ยววินาทีให้แก่พวกสายลับของแคว้นอื่นที่แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวง
หลวนจวี้จื่อนั่งแปะลงบนบันไดของแท่นบูชาสูงอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยความจนใจ
ผู้เฒ่าแซ่ลู่อยากจะกระทืบเท่าด่าคน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กล้าทำ เพียงแต่ความสามารถในการบ่มเพาะความสุขุมหนักแน่นทั้งหมดกลับหายไปไม่มีเหลือ กลับคืนมาเป็นคนเดิม พึมพำเบาๆ ด้วยความแค้นเคือง “หายนะหล่นลงมาจากท้องฟ้า หรือว่ามหามรรคาจะไม่จีรังจริงๆ? ไม่มีเหตุผลเลยนี่นา โชคชะตาของต้าหลีถูกกำหนดมาว่าต้องเป็นผู้พิชิตหนึ่งเดียวของแจกันสมบัติทวีป ในเมื่อศาสตร์การศึกษาของตระกูลลู่ข้าครอบครองวิชาครึ่งหนึ่งของสำนักหยินหยาง แม้ข้าจะไม่กล้าพูดว่าเรียนรู้แตกฉานแปดถึงเก้าในสิบส่วน แต่มรสุมครั้งใหญ่ขนาดนี้ ทำไมข้าถึงคำนวณไม่แม่น คำนวณไม่ถึง?!”
หลวนจวี้จื่อถอนหายใจ กล่าวด้วยความเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุด “เพราะอาเหลียงผู้นั้นมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากเจตนารมณ์ฟ้าและวิถีสวรรค์มากที่สุด อีกทั้งก่อนหน้านี้เขายังจงใจใช้วัตถุภายนอกมาบดบังภาพปรากฎการณ์ อย่าว่าแต่เจ้าเลย เกรงว่าต่อให้เป็นบุรพาจารย์ตระกูลลู่ของพวกเจ้าที่รู้เรื่องล่วงหน้าก็ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจจนหมดสิ้นเสียก่อนถึงจะพอมีหวังสืบเจอเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้าง ดังนั้นเรื่องในวันนี้ไม่ใช่ความผิดของใคร เจ้าและข้าต่างไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองมากเกินไปนัก”
ซ่งจ่างจิ้งคุกเข่าข้างเดียว ก้มหน้ามองหุ่นเชิดอักขระยันต์ของลัทธิเต๋าที่ถูกตัดแบ่งออกเป็นสองท่อน ชายผู้มีจิตใจแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้ากลับเผยความเศร้าอาลัยออกมาเสี้ยวหนึ่ง เขาปักดาบแคบที่มีชื่อว่ายันต์มงคลเล่มนั้นไว้บนพื้นดินข้างเท้าตัวเอง กอบประคอง “ฝอยน้ำ” ขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วรวบเก็บเข้าใส่ชายแขนเสื้อของเสื้อคลุมที่มีชื่อว่าน้ำไหลตัวนั้น
หุ่นเชิดขุนศึกสองตนที่อยู่นอกวังหลวงคือของขวัญเปิดประเทศที่ปรมาจารย์ท่านหนึ่งของลัทธิเต๋ามอบให้เมื่อครั้งสกุลซ่งแห่งต้าหลีตั้งตนเป็นจักรพรรดิ ทั้งสติปัญญาและจิตใจจึงเฉลียวฉลาดไม่ต่างจากมนุษย์คนหนึ่ง
ทั้งสองตนต่างก็เป็น “เทพทวารบาล” ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมนุษย์ของบุรพแจกันสมบัติทวีป พวกเขาต่างทำหน้าที่ปกป้องวังหลวงมาทุกยุคทุกสมัย หากใครในเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งของแต่ละรุ่นได้รับความโปรดปรานจากพวกเขา เทพทวารบาลก็จะยินดีปกป้องคุ้มครองคนผู้นั้นไปทั้งชีวิต ในรุ่นของซ่งจ่างจิ้งนี้ก็คือเขากับพี่ชายซ่งเจิ้งฉุนที่มีวาสนานี้ และช่วงแรกเหตุการณ์นี้ก็ถูกมองว่าเป็นลางมงคลที่ต้าหลีจะเจริญรุ่งโรจน์ในอนาคต เพราะก่อนหน้านี้ขุนศึกสวมเกราะดำทั้งสองท่านไม่เคยเลือกปกป้องใครมาสองร้อยปีแล้ว
ซ่งจี๋ซินสีหน้าซีดขาวราวหิมะ พลันคำรามขึ้นมาอย่างเดือดดาล “กระบี่ล่ะ กระบี่ของข้าล่ะ! ยังเหลือกระบี่บินอีกหกเล่มไม่ใช่หรือ!? ทำไมข้าถึงสัมผัสถึงพวกมันไม่ได้แม้แต่นิดเดียว?”
สีหน้าของฮ่องเต้เป็นปกติ เพียงแต่ว่าแววเจ็บปวดในดวงตาเข้มข้นอย่างถึงที่สุดจนเห็นได้อย่างชัดเจน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “โชคชะตาของต้าหลีเราอย่างน้อยสุดยี่สิบปีล้วนแหลกสลายสิ้นในวันนี้ เดินทางหนึ่งร้อยลี้ เดินได้เก้าสิบลี้ถึงเรียกว่าเดินได้ครึ่งทาง (เปรียบเปรยว่าไม่ว่าจะทำอะไร ในขณะที่ใกล้จะทำสำเร็จจะยิ่งพบเจอกับความยากลำบาจึงยิ่งต้องจริงจังตั้งใจ) คนโบราณพูดไว้ไม่ผิดจริงๆ หลงเหลือแค่หอป๋ายอวี้จิงที่ว่างเปล่าหลังเดียว ไม่มี่กระบี่บินสิบสองเล่มเฝ้าบัญชาการณ์ ในระยะเวลาสั้นๆ นี้จะมีประโยชน์อะไร? จากนั้นก็เหลือไว้ให้ข้าเพียง…”
บุรุษผู้สวมชุดคลุมมังกรที่มีปณิธานอยากจะฮุบกลืนทวีปแห่งหนึ่งหยุดพูด ไม่เอ่ยเอื้อนอะไรอีกต่อไป เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองไปยังท้องฟ้าที่กลับคืนมาเป็นปกติไร้ปรากฎการณ์ใดๆ “ไม่สู้เจ้าฟันหัวข้าให้ขาดในดาบเดียวจะยังดีเสียกว่า”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที แล้วจึงหันหน้ามาออกคำสั่ง “จ่างจิ้ง เจ้าไปเฝ้าพิทักษ์หัวเมืองด้วยตัวเอง ดูสิว่ามีพวกหนูสกปรกคิดจะฉวยโอกาสก่อความวุ่นวายหรือไม่ หากพบตัวก็ฆ่าทิ้งให้หมด นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้ามีอำนาจในการควบคุมตรวจตราประเทศ”
ซ่งจ่างจิ้งถาม “แล้วถ้าเป็นคนตระกูลซ่งเองล่ะ จะทำอย่างไร?”
ฮ่องเต้ต้าหลียิ้มขื่น “ก่อนหน้านี้เลี้ยงดูพวกเศษสวะไว้ได้ ในฐานะที่ข้าซ่งเจิ้งฉุนคือนายเหนือหัวแห่งต้าหลี ทรัพย์สมบัติและความใจกว้างเพียงเท่านี้ยังพอมี เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว พวกเขารนหาที่ตายเองก็ปล่อยให้พวกเขาตายไปซะเถอะ”
ซ่งจ่างจิ้งถามอีก “แล้วนาง?”
ฮ่องเต้ต้าหลีเอ่ยเรียบๆ “ข้าจะจัดการนางเอง”
ซ่งจ่างจิ้งพยักหน้ารับ แล้วก้าวยาวๆ จากไปพร้อมปราณสังหารท่วมท้น
ในเมืองหลวงต้าหลี พวกคนที่ฝึกตนไม่ได้รับอนุญาตให้บินทะยานกลางอากาศ ส่วนในวังหลวงก็ยิ่งให้เดินเท้าได้เพียงอย่างเดียว
แม้ว่าซ่งจ่างจิ้งจะได้รับอนุญาตให้แหกกฎเหมือนกับราชครูชุยฉาน แต่จะอย่างไรแล้วอ๋องเจ้าแคว้นผู้นี้ก็เติบโตจากที่นี่มาตั้งแต่เด็กจึงไม่ยินดีที่จะทำลายกฎเกณฑ์ซึ่งหลงเหลืออยู่อีกไม่มาก
ฮ่องเต้ต้าหลีหมุนตัวเดินไปทางขั้นบันไดแล้วนั่งลงข้างกายหลวนฉางเหย่จวี้จื่อแห่งสำนักโม่ที่มีความสามารถสมตำแหน่ง ผู้เฒ่าสวมกวานสูงคนนั้นก็นั่งลงด้วยความห่อเหี่ยวเช่นเดียวกัน
ผู้เฒ่าทั้งสองทำสีหน้าอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูดแทบจะเวลาเดียวกัน
บุรุษสวมชุดคลุมเอ่ยยิ้มๆ “ข้ารู้ เรื่องการต่ออายุขัยให้ยืนยาวนี้เป็นเรื่องเพ้อฝันเกินตัวไปแล้ว จะอย่างไรซะนี่ก็คือฝีมือของอาเหลียง เว้นเสียแต่ว่าผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสองของสำนักการเกษตรจะลงมือช่วยรักษา ถึงจะต่ออายุขัยให้ข้าได้ ไม่เหมือนตอนนี้ที่ต้องคอยนับนิ้วตัวเองว่าจะยังมีชีวิตเหลืออยู่อีกกี่วัน”
ผู้เฒ่าทั้งสองคนพยักหน้ารับพร้อมกันเหมือนนัดหมายกันมาแล้ว
บุรุษเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “เหลืออีกแค่สิบปีเท่านั้นแล้ว อย่างมากสุดก็คงแค่สิบห้าปี แต่ไหนแต่ไรมาเรื่องโชควาสนาของบ้านเมืองก็อิงตามกฎที่สิ่งหนึ่งดับสิ่งหนึ่งเข้ามาแทนที่เสมอ หากเป็นเช่นนี้ ให้ข้ายกทัพโจมตีต้าสุยที่แข็งแกร่งรุ่งโรจน์ขึ้นในทุกๆ วันอย่างยากลำบาก เวลาก็คงหมดพอดี หลังจากนั้นล่ะ? หลังจากนั้นดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าอีกแล้ว การบุกลงใต้ของต้าหลี เสียงฝีเท้าม้าเหล็กของต้าหลีที่ย่ำลงบนแผ่นดินทางใต้ของสำนักศึกษากวานหู ธงของต้าหลีที่จะถูกชักขึ้นสูงแล้วโบกสะบัดเสียงดังฟึ่บฟั่บอยู่เหนือน่านทะเลทักษิณของนครมังกรเฒ่าในอนาคต ข้าก็ไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแล้ว”
บุรุษหลังตาลง มือทั้งคู่ที่กำเป็นหมัดทุบลงบนหัวเข่า กัดฟันยิ้ม “ปัญหาอยู่ที่เจ้าคนที่ตัดสินให้ข้ามีอายุสั้นดันบินไปที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะคอยมองโลกมนุษย์ของพวกเราอยู่ ถึงขั้นมีความเป็นไปได้ว่าจะกลับมาอีกครั้ง เขายังไม่ตาย เขาไม่ได้ตายไปแล้ว!”
ดังนั้นต้าหลีจึงไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะแก้แค้น
นี่ก็คือจุดที่ทำให้ฮ่องเต้ต้าหลีรู้สึกอัดอั้นตันใจมากที่สุด
เขาถึงได้พูดว่า ทำไมถึงไม่ตัดหัวเขาให้ขาดในดาบเดียวไปเลย ให้ทุกอย่างจบสิ้น ไม่ต้องคอยทนรับความรู้สึกอัปยศอยู่แบบนี้
……
หัวเมืองของเมืองหลวงต้าหลี ผู้เฒ่าชุดเขียวเรือนกายผอมบางเงยหน้ามองท้องฟ้าจุดที่ชายผู้นั้นหายตัวไปอยู่ตลอดเวลา
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ข้างกายผู้เฒ่าถึงมีสตรีแต่งงานแล้วสวมชุดชาววังที่แม้จะร่างเล็กเตี้ยแต่กลับอวบอิ่มปรากฏขึ้นมา พอมาถึงนางก็ถามตามตรงว่า “ราชครูชุย ข้าจะทำยังไงกับหายนะที่มาเยือนอย่างคาดไม่ถึงนี้ดี?”
ผู้เฒ่าถึงขนาดไม่ยอมถอนสายตากลับมามองนาง เพียงกล่าวตอบอย่างไม่ใส่ใจ “รอตาย”
ในใจสตรีแต่งงานแล้วพลันหวาดหวั่น ตวาดกร้าวดุดัน “ราชครู! เจ้าพูดเหลวไหลอะไร?!”
ชุยฉานอีกคนหนึ่งที่แตกต่างจากเด็กหนุ่มซึ่งอยู่ในเมืองเล็กกระตุกยิ้มมุมปาก “หากโชคดีก็อาจรอตายแค่ครึ่งเดียว”
สตรีแต่งงานแล้วไม่เห็นแก่หน้าของอีกฝ่าย ยกนิ้วชี้หน้าด่าราชครูต้าหลีผู้มีคุณความชอบยิ่งใหญ่อย่างเกรี้ยวกราด “แล้วเจ้าชุยฉานจะดีกว่าข้าได้สักเท่าไหร่?!”
ในที่สุดผู้เฒ่าก็หันมามองเหนียงเนียงต้าหลีผู้สูงศักดิ์อย่างเต็มตา เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ขอโทษที ข้าคือคนที่ตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว”
……
นอกจากบุคคลที่มีน้อยเพียงหยิบมือก็ไม่มีใครรู้อีกว่า มีใครคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนท้องฟ้ามองลงมายังโลกมนุษย์
ใต้หล้าสองแห่ง สำหรับชายผู้นี้แล้วก็มีแค่เส้นกั้นขวางบางๆ เส้นเดียวเท่านั้น
ก้มหน้ามองไป จุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนรวมอยู่ด้วยกันแน่นขนัด ใต้ฝ่าเท้าเหมือนมีทางช้างเผือกพร่างพราวเส้นหนึ่งไหลรินเอื่อยเฉื่อย ทันใดนั้นแสงดาวหนึ่งในนั้นก็พลันระเบิดแล้วหายวับไป บ้างก็ยิ่งส่องแสงสุกสกาว บ้างก็ค่อยๆ หม่นแสงลงทีละน้อย บ้างก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายอบอวล บ้างก็เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตเหลือล้น และยิ่งมีบางส่วนที่เป็นกลุ่มแสงขนาดใหญ่สะดุดตามากที่สุดซึ่งเลือกจะหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เหมือนเต่าเฒ่าบางตัว
ชายผู้นั้นลุกขึ้นยืนเตรียมจะจากไปแล้วจริงๆ พูดกลั้วเสียงหัวเราะ “ตาเฒ่า เจ้าพูดไว้ไม่ผิดจริงๆ นี่ก็คือโลกมนุษย์ ช่างน่าดูชมซะจริง!”
ประโยคสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ให้กับโลกมนุษย์ในใจตัวเองยิ่งน่าสนใจ
ไอ้หนู เจ้าต้องตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดีล่ะ วันหน้าต้องแกร่งกร้าวเฉกเช่นข้าอาเหลียง หากดุดันกล้าหาญได้มากกว่า…ฮ่าๆ ช่างเถิด นั่นมันยากเกินไป!