กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 117.1
หลวนจวี้จื่อและผู้เฒ่าสวมกวานสูงเดินเข้ามาในหอป๋ายอวี้จิงพร้อมกันแล้วเดินตรงขึ้นไปที่ชั้นที่สิบสอง บนพื้นวางเบาะสานทรงกลมไว้สองอัน เป็นวัตถุทั่วไปที่ชาวบ้านก็ใช้กัน ไม่ใช่สมบัติอาคมที่สามารถช่วยให้ผู้ฝึกลมปราณนั่งเข้าฌานได้อย่งมีสมาธิอะไร หลังจากคนทั้งสองนั่งลงตรงข้ามกันแล้ว ผู้เฒ่าแซ่ลู่ก็ถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าเคยไปขอคำแนะนำเกี่ยวกับการสร้างหอป๋ายอวี้จิงแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลวนจวี้จื่อส่ายหน้ายิ้ม “ไม่เคย หากข้าไม่พูดแบบนี้ สวรรค์เท่านั้นแหละที่จะรู้ว่าอาเหลียงนิสัยประหลาดผู้นั้นจะฟันพวกเราให้ตายทุกคนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงหรือไม่”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงอึ้งตะลึง แล้วกล่าวอย่างคลางแคลงใจ “คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกกระมัง?”
หลวนจวี้จื่อหัวเราะเสียงดังกังวาน “แน่นอนว่าข้าล้อเล่น อาเหลียงน่าจะไม่ใช่คนแบบนั้น แต่คำพูดหลังจากนั้นของข้าไม่ได้หลอกอาเหลียงจริงๆ แรงกายและสติปัญญาของฉีจิ้งชุนล้วนอยู่ที่ราชวงศ์ต้าหลีของพวกเราอย่างแท้จริง อีกทั้งยังฝากความหวังไว้ให้กับต้าหลีและแจกันสมบัติทวีปด้วย ข้อนี้ข้าเชื่อว่าในใจอาเหลียงย่อมรู้ดี หาไม่แล้วฉีจิ้งชุนก็คงไม่สร้างสำนักศึกษาซานหยาขึ้นที่นี่ ตัวอยู่ต้าหลี แต่กลับสอนสั่งบัณฑิตทุกคนของแจกันสมบัติทวีป พวกบัณฑิตที่เดินออกไปจากสำนักศึกษาซานหยา ส่วนใหญ่ล้วนแก่ตายกันไปหมดแล้ว คนบางส่วนที่ยังมีชีวิตอยู่ การถ่ายทอดความรู้และไขข้อข้องใจที่เมล็ดพันธ์ปัญญาชนทั้งหลายเหล่านี้มีต่อเมล็ดพันธ์ปัญญาชนรุ่นต่อไปล้วนถือเป็นการแบกรับความหวังของฉีจิ้งชุนเอาไว้”
หลวนจวี้จื่อหยุดชะงักไปชั่วครู่แล้วถามว่า “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าความตายของฉีจิ้งชุนจะไม่ทำให้บัณฑิตพวกนี้เคียดแค้นบ้างเลย?”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงเงียบงัน สุดท้ายถึงเอ่ยช้าๆ ว่า “ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ต้าหลีก็ได้แต่เปรียบเทียบอันตรายสองสิ่งแล้วเลือกสิ่งที่ส่งผลร้ายน้อยกว่า”
หลวนจวี้จื่อหัวเราะร่า สำหรับเรื่องนี้เขาเพียงแค่เอ่ยถึงผิวเผินเหมือนกบกระโดดผ่านผิวน้ำ แล้วจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อใหม่ทันที “ตามความเห็นของข้า มรสุมที่ทำให้ทั้งเจ้าและข้าบาดเจ็บสาหัสลึกถึงกระดูกครั้งนี้ แท้จริงแล้วต้นเหตุไม่ได้อยู่ที่การล้อมโจมตีอาเหลียงเพราะต้าหลีของเราคิดจะฉวยโอกาสนี้สำแดงบารมี ด้วยตบะและขอบเขตของอาเหลียง รวมไปถึงนิสัยใจคอจากการที่เขาท่องไปในแต่ละยุทธภพของแต่ละทวีป เขาไม่มีทางถือสา ‘เรื่องเล็กน้อย’ นี้แน่นอน”
“อาเหลียงคิดอย่างไร ข้าไม่ค่อยแน่ใจนัก”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงถอนหายใจ “แต่ว่า คำพูดในใจที่เจ้าไม่ได้เอ่ยออกมาเมื่อครู่นี้ ข้าจะเป็นคนพูดแทนให้เองก็แล้วกัน สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ปมในใจของคนผู้นั้นก็คือฉีจิ้งชุน ในครานั้นที่ต้าหลีต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสี่ด้านแปดทิศ ไม่ได้เลือกหยัดยืนออกมาพูดทวงความยุติธรรมให้แก่ฉีจิ้งชุน บวกกับที่พอฉีจิ้งชุนจากไป สำนักศึกษาซานหยาก็ล้มเลิกกิจการ คนจากลาชาเย็นชืดเร็วเกินไป อีกทั้งยังกลายเป็นผู้ต้องสงสัยว่าฉวยโอกาสปล้นสะดมตอนไฟไหม้ แต่เจ้าและข้าล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ ลำพังแค่สำหรับฮ่องเต้ต้าหลีแล้ว นี่ต่างหากถึงจะเป็นการกระทำที่ฉลาดที่สุด หากเปลี่ยนมาเป็นกษัตริย์คนอื่น ข้าคาดว่าแม้แต่ใจแห่งความละอายก็คงไม่มี มีแต่จะนึกว่านี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินแล้ว”
“จะว่าไปแล้วหากลองคิดในมุมกลับกัน พวกเราสองคนและต้าหลีที่เป็นฝ่ายระดมกำลังมากมายมาหาเรื่องเขาในครั้งนี้ ในสายตาของอาเหลียงจะเหมือนเห็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างที่ยืนโอ้อวดตนอยู่ตรงนั้น เต้นเหยงๆ ว่าจะขอสู้ให้ตายกันไปข้างหรือไม่? อีกอย่างเจ้าเด็กน้อยนี่ยังทำท่ามั่นอกมั่นใจว่าตัวเองจะต้องชนะเสียด้วย”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงยกมือขยับชายแขนเสื้อ เปลี่ยนท่านั่งเล็กน้อย ยิ้มฝืดเฝื่อน “พอได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองทำตัวน่าขันนักนะ”
หลวนจวี้จื่อหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “หากวันหนึ่งมีใครที่เหมือนกับพวกเรา อืม ก็คือคนนอกเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจะมีฐานะ หากพวกเขาพูดถึงเรื่องบางอย่างที่พวกเราสองคนเคยทำ แล้วรู้สึกอึ้งทึ่ง เต็มใจที่จะเอ่ยสรรเสริญ แค่นั้นก็ดีแล้ว”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงทอดถอนใจ “หากก่อนหน้านี้สามารถสร้างหอป๋ายอวี้จิงได้ถึงสิบสามชั้นก็อาจจะยังพอมีความหวังอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กลับยากแล้ว”
หลวนจวี้จื่อเองก็ปลงอนิจจัง “ไม่รู้ว่าในบรรดาเด็กรุ่นนี้ของต้าหลี ในอนาคตใครที่จะประสบความสำเร็จได้โดดเด่นที่สุด”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงยิ้มบางๆ “ข้าลงเดิมพันกับซ่งมู่ เจ้าล่ะ?”
หลวนจวี้จื่อยิ้มตาหยี พูดกึ่งเล่นกึ่งจริง “ข้าเดิมพันแม่หนูหวังจูนั่น เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ผู้เฒ่าที่มาจากสกุลหลูสำนักหยินหยางส่ายหน้ายิ้ม “หนึ่งต้นสามารถงดงามได้อย่างเป็นเอกลักษณ์ แต่ยากนักจะกลายเป็นผืนป่า”
หลวนจวี้จื่อเองก็ส่ายหน้า ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยถาม “ตอนที่ฉีจิ้งชุนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูไม่ได้ยังรับศิษย์ไว้อีกบางส่วนหรือ? ยกตัวอย่างเช่นจ้าวเหยาผู้นั้น? นอกจากนี้ก็ดูเหมือนว่าสำนักการทหารของแจกันสมบัติทวีปจะเคยแย่งตัวเด็กคนหนึ่งที่แซ่หม่าไปด้วย”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงน้ำเสียงเรียบเฉย “คอยดูกันไปเถอะ หวังเพียงว่าตาแก่อย่าเราสองคนจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงวันที่กลียุคปิดฉากลง”
……
สาวใช้จื้อกุยอยู่ในชั้นที่สิบของหอป๋ายอวี้จิงตลอดเวลา ไม่เคยเดินออกไปจากที่นี่
นางฉวยโอกาสที่ไม่มีใครสนใจปีนขึ้นไปบนขอบหน้าต่าง ขดตัวเอนพิงกรอบหน้าต่าง หันหน้ามองไปทางทิศใต้ มองท้องฟ้าที แล้วก็มองไปทางทิศใต้ทีนึง ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เจ้าชอบจะพูดหลักการอันเต็มไปด้วยเหตุผลกับมดตัวน้อยๆ นัก แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังชอบที่จะพูดหลักการยิ่งใหญ่ของเจ้า มีชีวิตน่าเบื่อยิ่งกว่าใคร ตายไปก็อนาถยิ่งกว่าผู้ใด เจ้าคนที่ดูเหมือนว่าจะสนิทกับเจ้ามากผู้นี้ดูไม่ค่อยเหมือนเจ้าสักเท่าไหร่ เขาไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลย ช่างสง่างามยิ่งนัก แต่ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าเจ้าดีกว่าเขานะ?
แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่า ดีก็ส่วนดี ขอแค่ในใจรู้ว่าต้องทำอะไรก็พอ ส่วนเวลาที่ต้องคบค้าสมาคมกับคนอื่นจริงๆ ควรจะทำตัวให้เหมือนคนประหลาดผู้นั้นจะดีกว่า
สุดท้ายเด็กสาวหรี่ดวงตาที่มีดวงตาดำสีทองสองชั้นคู่นั้นลง เอ่ยกลั้วหัวเราะ “เอ๊ะ ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ใช่คนนี่นา?”
เหม่อลอยอยู่เป็นนาน สุดท้ายเด็กสาวใช้ปลายนิ้วข้างหนึ่งปาดคราบน้ำตาที่ไหลลงมาข้างซีกแก้ม
……
เหนือกำแพงเมืองหลวง บรรยากาศระหว่างคนสองคนที่เคยเป็นพันธมิตรกันมานานตึงเครียดอึมครึม
สตรีแต่งงานแล้วสวมชุดชาววังแผดเสียงแหลม “ชุยฉานเจ้ารู้จักคนผู้นั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว ใช่หรือไม่? ดังนั้นเพื่อเอาใจเขา เจ้าถึงได้จงใจเปิดประตูเมือง ปล่อยให้เขาบุกสังหารมาจนถึงหอป๋ายอวี้จิง?! สิ่งที่เจ้าทำคือโทษประหาร! ตายแค่ครั้งเดียวก็ยังไม่พอ! เจ้าคิดว่าหากข้าต้องลงหลุม แล้วตัวเจ้าจะดีกว่ากันไปสักเท่าไหร่? สมองเจ้าพังไปแล้วหรือไง?”
ชุยฉานที่แต่งกายบอกให้รู้ว่าเป็นคนลัทธิขงจื่อตอบเรียบเฉย “หากข้าไม่สลายค่ายกลใหญ่ของเมืองหลวงออก เจ้าเชื่อหรือไม่ว่านอกจากข้าจะมีจุดจบที่อนาถยิ่งกว่าเดิมแล้ว เบื้องหน้าหอป๋ายอวี้จิงจะต้องมีคนตายแน่นอน? ไม่เหมือนตอนนี้ที่อย่างน้อยก็ยังไม่มีใครตาย”
ชุยฉานแค่นเสียงเย็น “ข้ารู้ว่าตอนนี้ซ่งจี๋ซินไม่เหลือความหมายในการดำรงอยู่อีกแล้ว เพราะเขาสูญเสียคุณค่าในการใช้งาน จะอย่างไรซะก็ไม่ต้องให้บุตรชายอีกคนหนึ่งของเจ้า อืม ซึ่งก็คือศิษย์คนดีของข้าให้ต้องไปเป็นเจ้านายของหอป๋ายอวี้จิงที่อาจจะมลายสิ้นทั้งตัวคนและกระบี่ ดังนั้นคาดว่าเจ้าคงอยากจะให้เจ้าเด็กนั่นรีบตายแล้วรีบไปเกิดใหม่สินะ”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มหวาน สีหน้าผ่อนคลาย “เหตุใดท่านราชครูถึงพูดจาเหลวไหลได้หน้าตาเฉยเลยเล่า”
ชุยฉานไม่คิดจะถกเถียงเรื่องนี้กับนางอีกจึงกล่าวว่า “กระบี่อาญาสิทธิ์ที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วทวีปเล่มนั้น ‘ยันต์อาญาสิทธิ์’ ที่ใครก็ดึงไม่ออก เดิมทีตามคำแนะนำของอาจารย์ลู่ควรนำมาใช้เป็นกระบี่บินที่เฝ้าพิทักษ์ชั้นสิบสามของหอป๋ายอวี้จิง แต่ข้อแรกเป็นหลวนจวี้จื่อที่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ในฐานะกระบี่รั้งท้ายของชั้นสิบสาม มันยังมีน้ำหนักไม่มากพอ สองก็เพราะการผ่าแท่นสังหารมังกรก้อนใหญ่ยักษ์ของอำเภอหลงเฉวียนในถ้ำสวรรค์หลีจูจำเป็นต้องเผาผลาญอาวุธเทพสองชิ้นเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการเปิดภูเขา คลังของเชื้อพระวงศ์ฝืดเคืองเต็มทีแล้ว และพอดีกับที่ ‘ยันต์อาญาสิทธิ์’ ถูกขนานนามว่าเป็นกระบี่ที่แข็งแกร่งทนทานอันดับหนึ่ง หากโชคดีก็น่าจะสามารถทนรับการลงมือสามครั้งของเซียนกระบี่ได้”
สตรีแต่งงานแล้วขมวดคิ้ว “ชุยฉาน เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่?”
ชุยฉานยังคงพูดกับตัวเองต่อไป “คาดไม่ถึงว่าแท่นสังหารมังกรใหญ่เกินไป ใช้กระบี่ฟันลงไปสองครั้ง ตัวกระบี่ก็เกิดรอยร้าวเหมือนเครื่องเคลือบในเตามังกรของเมืองเล็ก พลังกระบี่ที่อยู่ด้านในแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี ไม่เหลือความเป็นไปได้ที่จะกลับคืนมาเป็นสภาพเดิมอีกครั้ง ฝ่าบาทของเราเสียดายก็ส่วนเสียดาย แต่กลับไม่เคยตำหนิหรือกล่าวโทษใคร ภายหลังคล้ายเกิดความคิดขึ้นกะทันหันจึงมอบมันให้กับสตรีที่ชื่อว่าหยางฮวา ซึ่งก็คือสาวใช้ข้างกายเหนียงเนียง แต่ขณะเดียวกันก็ออกคำสั่งให้สตรีผู้นั้นกลายเป็นเทพแม่น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝู ดังนั้นเหนียงเนียงจึงขาดแขนซ้ายแขนขวาไปข้างหนึ่ง ถูกไหม?”
สตรีสวมชุดชาววังเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าคิดจะบอกว่าฮ่องเต้กำลังตักเตือนข้า?”
ชุยฉานเอ่ยเย้ยหยัน “เหนียงเนียงสมกับเป็นสตรีที่งามภายนอกฉลาดภายในจริงๆ”
สตรีสวมชุดชาววังหัวเราะเสียงเย็นติดต่อกัน
ชุยฉานจุ๊ปากพูด “ไม่สู้ลองนึกถึงจุดจบของพวกเทพห้าขุนเขาดูล่ะ?”
ดวงหน้าที่เดิมทีขาวอมชมพูดของนางเปลี่ยนมาเป็นซีดเผือดทันควัน
สตรีแต่งงานแล้วจมสู่ภวังค์ของการครุ่นคิด ประหนึ่งนักเล่นหมากล้อมที่เริ่มเปิดกระดานเล่นใหม่อีกครั้ง
ชุยฉานเองก็ไม่รบกวนการคิดของนาง