กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 117.2
เดิมทีฮ่องเต้ต้าหลีหวังจะอาศัยเรื่องที่ถ้ำสวรรค์หลีจูร่วงลงมาแหวกกฎเลื่อนขั้นเขาพีอวิ๋นที่เปี่ยมล้นไปด้วยโชคชะตาให้กลายเป็นขุนเขาเหนือของราชวงศ์ต้าหลี!
แต่กลับเกิดสถานการณ์ที่ค่อนข้างกระอักกระอ่วนอย่างหนึ่งขึ้นเสียก่อน เพราะขุนเขาทั้งห้าลูกของต้าหลีในทุกวันนี้ตั้งอยู่ทิศเหนือของเขาพีอวิ๋น
แม้ว่าตอนนั้นจะไม่มีเทพภูเขาของขุนเขาใดเสนอความคิดเห็น แต่ตำแหน่งที่เทพภูเขาและเทพแม่น้ำเหล่านี้อยู่ในเวลานี้ก็เหมือน “กึ่งกลางภูเขา” ที่กั้นกลางระหว่างตระกูลเซียนกับแม่น้ำของต้าหลี เหมือนหน้าด่านสำคัญที่เป็นกันชนสำหรับประเทศหนึ่ง ภายในค่ำคืนเดียวก็เกิดคลื่นใต้น้ำไหลบ่า คนในสำนักมากมายแสร้งปลอมตัวเป็นชายหญิงผู้มีจิตศรัทธา เป็นผู้แสวงบุญทั่วไป หรือไม่ก็ปัญญาชนผู้สุภาพสง่างามที่พากันแวะมาเยี่ยมเยือนขุนเขาทั้งห้า ไม่พูดถึงเรื่องใหญ่อย่างการจุดธูปบูชา พูดเพียงเรื่องสายลมบุปผาเหมันต์จันทรา (เปรียบเปรยถึงเรื่องที่ฟังดูงดงามแต่ไม่มีแก่นสาระสำคัญ) และเทพภูเขาเทพแม่น้ำระดับต่ำกว่าที่อยู่รอบห้าขุนเขาก็พากันเงียบงันโดยไม่ได้นัดหมาย
สุดท้ายไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดฮ่องเต้ต้าหลี ชายผู้มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องสำคัญบางเรื่องเพียงลำพังกลับเปลี่ยนใจกะทันหัน ล้มเลิกการตัดสินใจเรื่องสำคัญใหญ่หลวงที่เกี่ยวกับโชคชะตาและอนาคตของบ้านเมืองเรื่องนี้
แต่เรื่องที่บังเอิญมากกลับเกิดขึ้น มีคนต่างถิ่นคนหนึ่งที่ใจกล้าถึงขนาดสังหารนักรบเดนตายระดับปรมาจารย์สองคนปรากฎตัวขึ้นในต้าหลี
ด้วยนิสัยเด็ดขาดรวดเร็วของฮ่องเต้ต้าหลีจึงมีการไล่ล่าล้อมสังหารครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้น เพราะเกี่ยวพันกับการกรีฑาทัพลงใต้ของต้าหลี จึงต้องตัดสินใจว่าในอนาคตที่ต้าหลีบุกลงใต้จะสามารถมีคนตายได้น้อยลงกี่คน หาไม่แล้วด้วยภาพลักษณ์ป่าเถื่อนของราชวงศ์ต้าหลีในสายตาคนทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีป กองทัพม้าเหล็กของพวกเขาที่บุกทะยานไหลหลั่งลงใต้ย่อมต้องมีบุคคลที่เป็นดั่งเสาเอกพากันปรากฎตัว และด้วยเหตุผลนานัปการ พวกเทพเซียนบนภูเขาที่สายตามองสูงไม่เห็นใครอยู่ในสายตาก็ต้องมาทดลองกับตัวเองว่าดาบของต้าหลีไวแค่ไหน กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีแข็งแกร่งเท่าไหร่ มีคุณสมบัติที่จะนั่งทัดเทียมกับพวกเขาได้จริงหรือไม่
แน่นอนว่าต้าหลีเองก็มีกองกำลังตระกูลเซียนเป็นของตัวเอง อีกทั้งผู้ที่พึ่งพาราชวงศ์สกุลซ่งอย่างเปิดเผยก็มีไม่น้อย และในทางลับๆ ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ แต่นี่ก็ยังคงไม่อาจขัดขวางพวกผู้ฝึกตนที่ทำตัวเป็นดั่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟได้ ที่น่ากลัวที่สุดก็คือผู้ฝึกลมปราณหนังหนาอีกทั้งร่องรอยยังลึกลับที่จงใจเลือกฆ่าทหารธรรมดาของต้าหลีอย่างพร่ำเพื่อ เดี๋ยวก็โผล่ทางนี้เดี๋ยวก็โผล่ทางโน้น ที่สำคัญคือพอฆ่าคนเสร็จแล้วยังเผ่นหนีอย่างว่องไว ราชสำนักต้าหลีควรจะทำอย่างไร?
ดังนั้นหอกระบี่ป๋ายอวี้จิงจึงถือกำเนิดขึ้นและค่อยๆ เปิดเผยสู่สายตาผู้คนทีละนิด ซึ่งพวกคนที่รู้ความลับใหญ่เทียมฟ้านี้ก่อนใครก็คือเทพภูเขาและเทพแม่น้ำทั้งสิบสองท่าน นี่คือกลุ่ม “คนกันเอง” ที่อยู่นอกเมืองหลวงของต้าหลี
หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้สกุลซ่งต้าหลีคิดจะยกเขาพีอวิ๋นให้เป็นขุนเขาเหนือแล้วถอดถอนตำแหน่งฐานะเดิมทั้งหมดของห้าขุนเขา ต่อให้ฮ่องเต้ต้าหลีจะพูดอะไรที่เป็นนัยแก่เทพภูเขาทั้งห้าอย่างลับๆ หรือให้คำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะที่แตกต่างกันออกไป ก็ยังต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะรื้อสะพานทิ้งหลังข้ามแม่น้ำอยู่ดี การที่เทพภูเขาทั้งห้าเงียบงันไม่เสนอความเห็นจึงค่อนข้างสมเหตุสมผลดีแล้ว เพราะอย่างไรซะนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับควันธูปร่างทองและรากฐานแห่งมหามรรคาของตน ใครเล่าจะยอมเชื่อถ้อยคำจากปากเปล่าหรืออักษรบนกระดาษง่ายๆ?
ดังนั้นการลงมือร่วมกันสังหารศัตรูจึงกลายมาเป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรม เดิมทีทั้งสิบสองท่านก็มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านอยู่กับโชคชะตาของต้าหลีอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่พวกเขาจะปฏิเสธได้เลย
อันที่จริงก่อนหน้าที่จะได้ประมือกับมือดาบต่างถิ่นผู้นั้นอย่างแท้จริง เรื่องทั้งหมดนี้ก็ไม่มีความผิดปกติตรงไหน
เกรงว่าแม้แต่ร่างจริงที่ทิ้งไว้ในภูเขาและแม่น้ำของเทพหกองค์ที่กายธรรมสูญเสียพลังต้นกำเนิดมหาศาลก็ยังไม่รู้สึกว่ามีปัญหาใดๆ เพราะตอนนั้นในพระราชโองการลับที่ฮ่องเต้ต้าหลีมอบให้พวกเขาก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ให้สังหารนักพรตขอบเขตสิบ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นขอบเขตสิบเอ็ด แค่นี้เท่านั้น
ต่อให้หลังจากได้ประมือกันแล้วก็ยังเป็นเช่นเดิม
แม้ว่าจุดจบสุดท้ายจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด ราชวงศ์ต้าหลีนับจากตัวฮ่องเต้เองไปจนถึงผู้สร้างหอป๋ายอวี้จิง มาจนถึงเทพภูเขาและเทพแม่น้ำทั้งหกท่านต่างก็เป็นเหมือนผู้พ่ายแพ้ทั้งหมด ทว่าก็เป็นเพราะเรื่องราวทั้งหมดนี้รวมฮ่องเต้ต้าหลีเข้าไว้ด้วย จึงไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าศัตรูผู้นี้จะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ถึงขั้นที่ว่ามาถึงท้ายที่สุด รอจนความจริงเปิดเผยแก่สายตาผู้คน เหตุการณ์ครั้งนี้ก็ยังทำให้รู้สึกเหมือนเห็นภาพลวงตาว่าถึงแม้ต้าหลีจะพ่ายแพ้ แต่ก็แพ้อย่างสมเกียรติ
ทว่าชุยฉานที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองในเวลานี้กลับยังรู้สึกหวาดผวาไม่คลาย
เพราะท่ามกลางการเสียเปรียบ ฮ่องเต้ต้าหลีผู้นั้นได้บรรลุเป้าหมายที่เขาต้องการแล้วส่วนหนึ่ง
ในบรรดาองค์เทพทั้งห้าของห้าขุนเขา มีเพียงองค์เทพแห่งขุนเขากลางที่แต่ไหนแต่ไรมาซื่อสัตย์ยอมตายเพื่อสกุลซ่งต้าหลี และเทพขุนเขาเหนือที่ก่อนหน้านี้ตกอยู่ในสภาวะยากลำบากถึงที่สุดเท่านั้นที่ทั้งกายธรรมและร่างจริงต่างก็ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบ อีกสามท่านที่เหลือต่างก็พ่ายแพ้หมดท่า ตบะลดฮวบจนแทบจะกลายมาเป็นเพียงเทพภูเขาทั่วไป ได้แต่มีชีวิตรอดอยู่ไปวันๆ สูญเสียความมั่นใจและพลังใจในการงัดข้อกับฮ่องเต้ต้าหลีเรื่องที่จะเปลี่ยนชื่อและสมญานามของขุนเขา
จุดที่ลุ่มลึกและน่าหวาดกลัวอย่างแท้จริงยังไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นเรื่องที่ว่าในอดีตมีครั้งหนึ่งที่ชุยฉานเล่นหมากล้อมพลางพูดคุยกับฮ่องเต้ต้าหลีอย่างผ่อนคลาย หลังจากถูกถามคำถาม ราชครูต้าหลีที่พูดจาได้อย่างมีอิสระมาโดยตลอดจึงพูดถึงข้อพึงปฏิบัติบางอย่างออกมา หนึ่งในนั้นเขากล่าวถึงการที่กษัตริย์ใช้ขุนนาง บางครั้งไม่สู้ลองใช้งานคนที่เคยทำผิดพลาดมาก่อน คนที่เคยถูกลงโทษมาก่อน ซ้ำยังถึงขั้นให้ความสำคัญได้ เพราะคนที่เคยได้รับความเจ็บปวดมาก่อนย่อมมีความจำดี จึงเชื่อฟังมากเป็นพิเศษ
ดังนั้นในบรรดาห้าขุนเขา นอกจากเทพของขุนเขากลางที่ไม่พูดถึงแล้ว ขุนเขาอื่นๆ อีกสี่ขุนเขาอย่างออกตกเหนือใต้ ขอแค่มีวันใดที่พวกเขาขบความนัยที่ซ่อนอยู่ในโศกนาฎกรรมครั้งนี้ได้แตก ถ้าเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้มากว่าพวกเขาเริ่มเคียดแค้นในตัวฮ่องเต้ต้าหลี มีเพียงอดีตเทพขุนเขาเหนือที่ช่วงแรกเริ่มสุดเคยทำพลาดยืนอยู่ผิดฝ่ายเท่านั้นที่มีแต่จะเกิดความหวาดกลัวยิ่งกว่าใคร
หากเป็นก่อนหน้าวันนี้ ชุยฉานอาจจะยังยินดีอธิบายรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ให้นางฟัง แต่มาถึงตอนนี้ เขาไม่คิดจะเผชิญหายนะไปพร้อมกับนางแล้ว
เรื่องโสมมบางอย่างที่สตรีผู้นี้ทำลงไป เขาชุยฉานยอมรับได้ เพราะอย่างไรซะเรื่องนั้นก็ไม่เกี่ยวกับตน ยิ่งพันธมิตรเป็นพวกจิตใจอำมหิตมากเท่าไหร่ ศัตรูของตนก็ยิ่งยากลำบากมากเท่านั้น ชุยฉานยังไม่โง่ถึงขั้นจะโน้มน้าวพันธมิตรคนนี้ว่าเจ้าต้องมีใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์ ชุยฉานสามารถเดินมาได้จนถึงทุกวันนี้ย่อมไม่ได้มีใจเมตตากรุณาเป็นแน่ ทว่าสำหรับฮ่องเต้องค์นั้น สมมติว่าการล้อมไล่ล่าครั้งนี้ประสบความสำเร็จ บางทีเขาก็อาจจะแค่เคาะตีเพื่อเป็นการตักเตือนเท่านั้น แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว
เหนียงเนียงที่ไม่ใช่สตรีใจอ่อนแม้แต่น้อยผู้นี้ให้แม่ทัพสกุลหลูที่ยอมศิโรราบต่อนางเด็ดหัวของซ่งอวี้จาง อีกทั้งยังแอบเก็บเอาไว้ในกล่องไม้เตรียมไว้ใช้ในเวลาจำเป็น
ใช้เล่นงานใคร? แน่นอนว่าต้องเป็นซ่งมู่บุตรชายของนาง หรือจะเรียกอีกอย่างก็คือซ่งจี๋ซินที่เติบโตขึ้นมาในตรอกหนีผิง
ซ่งอวี้จางสมควรตายอย่างแท้จริง การสร้างสะพานแบบคานของเขาเกี่ยวพันไปถึงเรื่องน่าอายอย่างใหญ่หลวงของเชื้อพระวงศ์สกุลซ่ง หากจะบอกว่าทำความดีลบล้างความผิด สำหรับเรื่องนี้ย่อมฟังไม่ขึ้น หลังจากซ่งอวี้จางกลับไปถึงเมืองหลวงแล้วก็ได้ดำรงตำแหน่งขุนนางกรมพิธีการอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก้นยังนั่งบนเก้าอี้ไม่ทันร้อนก็ถูกฮ่องเต้สั่งให้ไปที่ถ้ำสวรรค์หลีจูอีกครั้ง ภายนอกบอกว่าที่ให้เขาไปเพราะคุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมของท้องถิ่นดีกว่าคนอื่นๆ จึงสะดวกต่อการแต่งตั้งเทพภูเขาและเทพแม่น้ำ แต่ในความเป็นจริงแล้วซ่งอวี้จางรู้ดีอยู่แก่ใจว่านี่คือการมอบวิธีตายที่ค่อนข้างให้เกียรติแก่เขา ไม่ได้ปล่อยให้ตายอย่างเฉียบพลันอยู่ในจวนที่ว่าการของเมืองหลวง ยิ่งไม่ให้โยนโทษประหารให้อย่างส่งเดช
และซ่งอวี้จางก็ยังคงเดินเข้าหาความตายอย่างเด็ดเดี่ยว
ต่อให้เป็นชุยฉานที่อยู่ในฐานะราชครูของต้าหลี ต่อให้รู้สึกว่าซ่งอวี้จางคือคนโง่เต็มร้อยแบบไม่มีหักไม่มีลบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาค่อนข้างจะนับถือมาดขุนนางผู้เที่ยงธรรมของหนอนหนังสือผู้นี้อยู่มาก
โดยส่วนตัวชุยฉานคิดว่าการอยู่ในราชสำนักของราชวงศ์หนึ่งจำเป็นต้องมีของสองอย่าง หินรองเท้าที่ไม่สะดุดตา และเสาคานที่ค้ำยันตำหนักใหญ่ จะขาดสิ่งใดไปไม่ได้
ซ่งอวี้จางถือเป็นข้อแรก
เขาราชครูชุยฉาน ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้น และพวกขุนนางหลักของหกกรมล้วนถือเป็นฝ่ายหลัง
แต่สตรีผู้นี้ถึงขั้น “เก็บ” ศีรษะของคนผู้นั้นเอาไว้ เป็นการกระทำที่ล้ำเส้นของฮ่องเต้เป็นครั้งแรก
ดังนั้นจึงมีเรื่องที่แม่ทัพใหญ่ผู้รู้ใจนามว่าหยางฮวาถูกบีบให้ดำรงตำแหน่งเทพแม่น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูเกิดขึ้น อันที่จริงถึงแม้ว่านางกำนัลผู้นั้นจะมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง แต่หากเป็นสถานการณ์ปกติย่อมไม่มีทางขึ้นดำรงตำแหน่งอย่างฉุกละหุกแบบนี้แน่นอน และด้วยความปรีชาสามารถและความประหยัดมัธยัสถ์ของฮ่องเต้ต้าหลีก็ย่อมต้องใช้ประโยชน์จากพลังแฝงของนางให้ได้ดียิ่งกว่านี้
เหนียงเนียงผู้นี้ยังคงแข็งใจใช้อุบายทั้งหมดที่มีผลักให้ซ่งจี๋ซินกลายเป็นเจ้าของหอป๋ายอวี้จิง ได้รับการยอมรับจากกระบี่บินทั้งสิบสองเล่มโดยการค่อยๆ เดินผ่านไปทีละชั้น ทีละชั้น
มองดูเหมือนเป็นการชดเชยที่มารดามีต่อบุตรชายแท้ๆ ที่พลัดพรากจากกันไปหลายปี แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ซ่งเหอต่างหากถึงจะเป็นคนที่นางมองว่าเป็นก้อนเนื้อที่มาจากความหวังของตัวเอง เป็นคนที่นางฝากความหวังไว้ให้อย่างแท้จริง เพราะอย่างไรซะพวกเขาก็อยู่ด้วยกันมา มองเห็นบุตรคนนี้เติบโตทีละน้อย ไม่ว่าเรื่องใดเขาก็ทำได้ถูกใจสมปรารถนาของนางไปเสียหมด กับบุตรอีกคนหนึ่งที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูอันห่างไกล ล้มลุกคลุมคลานอยู่ในตรอกเก่าโทรมที่เต็มไปด้วยขี้หมาขี้ไก่ ในอดีตเมื่อนานมาแล้วนางเคยพยายามแอบอ่านเอกสารลับฉบับนั้นของฮ่องเต้มาก่อน แต่กลับถูกลงโทษอย่างรุนแรง คาดว่านับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาใจเจ็บปวดที่นางมีต่อบุตรชายคนโตจึงกลายมาเป็นใจที่ด้านชา บวกกับที่ในทำเนียบตระกูลของต้าหลีเขียนไว้ชัดเจนแล้วว่าซ่งมู่ตายไปตั้งแต่ยังเด็ก ชื่อของเขาถูกชาดสีแดงกาทิ้ง มองดูแล้วบาดตาน่าพรั่นพรึง
ส่วนลึกๆ ในใจนางจะมีความเจ็บปวด ทรมานหรือไม่นั้น ชุยฉานไม่อาจรู้ได้ และใครก็ไม่อาจล่วงรู้
รวมไปถึงเรื่องที่ว่าทำไมนางถึงเอาซ่งมู่บุตรชายคนโตมาเป็นหินรองเท้าให้น้องชายซ่งเหอเหยียบย่ำ รายละเอียดที่เต็มไปด้วยคาวเลือดและประสบการณ์ทางใจที่ไม่มีใครรู้ของนาง ชุยฉานก็ไม่มีความสนใจ
สตรีแต่งงานแล้วสวมชุดชาววังเอ่ยยิ้มๆ “ข้ารู้แล้วว่าตัวเองทำผิดที่ตรงไหน แล้วเจ้าล่ะชุยฉาน รู้หรือไม่?”
ชุยฉานเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งตบลงบนกำแพงปีกกาเบาๆ พลางเอ่ยเนิบช้า “รู้สิ ข้าเปิดค่ายกลใหญ่ของเมืองหลวง เปิดประตูรับศัตรู แม้จะมาจากเจตนาที่ดี ทำให้อาเหลียงได้เห็นถึงความจริงใจและการยอมถอยให้ของต้าหลีเรา แต่ตัวข้าเองกลับต้องตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
สตรีแต่งงานแล้วมองราชครูด้วยสายตาเวทนา เอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ชีวิตของฝ่าบาทก็คือชีวิตของเจ้าเหนือหัว ควรหรือที่เจ้าจะเอาไปวางบนโต๊ะเดิมพันโดยพลการ?”
ชุยฉานพยักหน้ารับ “ถูกต้องแล้ว”
สตรีแต่งงานแล้วกล่าวด้วย “ความหวังดี” “เป็นถึงราชครูต้าหลีผู้ยิ่งใหญ่ เคยเป็นลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง หากในเวลานี้ร้องไห้ด้วยความเสียใจ ไม่แน่ว่าฮ่องเต้ของเราอาจจะยอมเมตตาเจ้าก็ได้นะ”
ชุยฉานกล่าวยิ้มๆ “ข้าคือคนน่าสงสารที่เคยล้มลุกคลุกคลานมาหลายครั้ง ทนรับความเจ็บปวดได้ไหว แล้วก็ทนต่อความเงียบเหงาเดียวดายได้ดี แต่เหนียงเนียงกลับไม่เหมือนกัน เกิดมาในตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์ ใช้ชีวิตดั่งเทพเซียนที่สวมอาภรณ์ผ้าแพรกินอาหารรสเลิศมาตั้งแต่เด็ก เกรงว่าคงจะลำบากไม่น้อย”
สีหน้าของหญิงแต่งงานแล้วดำทะมึน ในที่สุดก็ถามตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้าอีก “พวกเราสองคนจะแตกหักกันแล้วใช่ไหม?”
ชุยฉานกล่าวตรงไปตรงมา “การคบหากันของคนถ่อยล้วนมีแต่ผลประโยชน์แอบแฝง วันใดหมดผลประโยชน์ย่อมต้องแยกย้าย เป็นเรื่องแปลกนักหรือ? ทำไม เหนียงเนียงคงไม่คิดว่าพวกเราคบหากันดั่งสัตบุรุษที่มีแต่ความจริงใจต่อกันหรอกกระมัง?”
สตรีแต่งงานแล้วเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ดีๆๆ เจ้าช่างร้ายกาจนัก ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงต้องภาวนาขอให้ฮ่องเต้ตีข้าให้ตายด้วยไม้เดียว ไม่อย่างนั้น…”
ชุยฉานโบกมือ “อย่าเอาคำพูดมาข่มขู่ข้าเลย ข้าชุยฉานนิสัยเป็นอย่างไร เหนียงเนียงรู้ดียิ่งนัก ภูเขาสูงแม่น้ำยาว เรื่องราวในอนาคตใครก็บอกไม่ได้ ขอแค่เหนียงเนียงผ่านด่านนี้ไปได้ ชุยฉานย่อมยินดีเป็นพันธมิตรกับท่าน หากผ่านไปไม่ได้ เหนียงเนียงก็วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางเปิดโปงท่านแน่ ความคิดของฝ่าบาท ข้ายังพอจะเข้าใจอยู่บ้าง ซึ่งข้าไม่มีทางทำเรื่องที่เป็นอันตรายต่อตัวเองแน่นอน”
สตรีสวมชุดชาววังเอ่ยคำพูดจากใจจริงอย่างที่หาได้ยากยิ่ง “ชุยฉาน เจ้าเป็นคนน่ากลัวมาก”
ชุยฉานเพียงยิ้มไม่เอ่ยตอบ
ทว่าจู่ๆ เขากลับนึกถึงเงาร่างที่คุ้นเคยของคนผู้นั้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ชุยฉานในอดีตที่ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มเคยขอกราบไหว้ขอเป็นศิษย์ของตาเฒ่าผู้นั้น จึงเคยเห็นภาพที่จอมยุทธ์พเนจรพกกระบี่ผู้นั้นอยู่ข้างกายผู้เฒ่าบ่อยๆ คนหนึ่งพูดหลักการของนักปราชญ์ราชบัณฑิต อีกคนหนึ่งเล่าเรื่องน่าสนใจในยุทธภพ คนทั้งสองไม่ต่างจากไก่คุยกับเป็ดที่พูดกันคนละภาษาอย่างสิ้นเชิง หลายปีให้หลัง ชุยฉานแยกตัวออกมาเพียงลำพัง ไม่รับอาจารย์ผู้มีพระคุณที่เคยสอนสั่ง ทรยศต่อสำนัก หลังจากนั้นก็ยิ่งกระทำเรื่องหลอกลวงลบล้างบรรพจารย์ เข่นฆ่าสังหารศิษย์พี่ศิษย์น้อง ชุยฉานไม่เคยเสียใจ ทุกอย่างที่กระทำลงไปล้วนเพียงเพื่อมหามรรคา!
แต่พอสูญเสียมิตรภาพจากคนผู้นั้น คนที่เย็นชาไร้ปราณีอย่างชุยฉานก็ยังอดรู้สึกเสียดาย เสียดายจนเริ่มเสียใจภายหลังไม่ได้
แต่หากให้โอกาสชุยฉานได้เลือกใหม่อีกครั้ง เขาก็ยังคงทำเช่นนี้ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
บนมหามรรคา เมื่อเดินก้าวแรกออกมาแล้วก็มักจะไม่เหลือหนทางให้ถอยอีกแม้แต่ครึ่งก้าว
บนกำแพงเมืองในเวลานี้ ประโยคของชุยฉานยังไม่ทันขาดคำดี เหยี่ยวสีทองตัวหนึ่งก็บินแหวกอากาศมาถึง
มันพลันหยุดอยู่บนกำแพงปีกกา
ชุยฉานถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก้มหน้าลงเล็กน้อย สตรีสวมชุดชาววังก็รีบเบี่ยงตัวยอบเข่าคารวะด้วยท่วงท่างดงาม
มันจ้องสตรีแต่งงานแล้วเขม็ง
ก่อนที่น้ำเสียงใสกังวานของเด็กน้อยจะดังขึ้น “ซ่งเจิ้งฉุนบอกแล้วว่า ให้เจ้าไปฝึกตนอยู่ที่ตำหนักฉางชุน เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนได้เมื่อไหร่ถึงจะสามารถออกจากตำหนักฉางชุนกลับมาที่เมืองหลวง แต่ระหว่างนี้ห้ามเจ้าพบปะใครเด็ดขาด ขณะเดียวกันเจ้าต้องมอบเอกสารทั้งหมดของหอศาลาใบไผ่ให้แก่ราชครูชุย ตัวเจ้าแค่ตั้งใจฝึกบำเพ็ญตนไปก็พอ”
ชุยฉานโค้งตัวกุมมือคารวะ “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
มันจึงหันหน้ากลับมามองราชครูของต้าหลีท่านนี้ “ซ่งเจิ้งฉุนบอกว่าจะยกเว้นให้เจ้าครั้งนี้ครั้งเดียว ปีนั้นเจ้าเคยพูดเองว่าเรื่องเดียวไม่ทำผิดซ้ำสามครั้ง เจ้าจงถนอมโอกาสให้ดี”
ชุยฉานพยักหน้ารับ แล้วจึงไม่พูดอะไรให้มากความอีก
สตรีสวมชุดชาววังถามเพียงคำถามเดียว “สามารถให้มู่เอ๋อร์ เหอเอ๋อร์ไปเยี่ยมข้าที่ตำหนักฉางชุนบ้างได้หรือไม่?”
มันพยักหน้ารับ “แน่นอน ซ่งเจิ้งฉุนยังบอกด้วยว่า ซ่งเหอต้องอยู่เรียนหนังสือต่อที่ห้องฝึกจิต หากเจ้ารู้สึกว่าอยู่บนเขาคนเดียวเงียบเหงา สามารถพาซ่งมู่ไปฝึกวิชาสายฟ้าที่ตำหนักฉางชุนด้วยกันได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า”
สายตาของสตรีแต่งงานแล้วเลื่อนลอยเคว้งคว้าง
ส่วนมันก็เริ่มหงุดหงิด “สุดท้ายซ่งเจิ้งฉุนบอกให้ข้าบอกเจ้าว่า ต้าหลีสูญเสียพละกำลังเพราะคนผู้นั้น เรื่องนี้เขาเป็นคนตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าไม่ต้องคิดมาก”
สตรีสวมชุดชาววังน้ำตาคลอเจียนหยด เงยหน้ามองไปยังทิศทางของวังหลวง ความรู้สึกในเวลานี้คือความรักความอาลัยที่แท้จริง นางเอ่ยเสียงอ่อนโยนสั่นสะท้าน “ฝ่าบาท…”
มันพลันแผดเสียงแหลมดัง “นังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์สตรีใจทราม ยังไม่รีบไสหัวออกไปจากเมืองหลวงอีก ข้าผู้อาวุโสทนเจ้ามานานแล้ว!”
สตรีสวมชุดชาววังถามยิ้มๆ “ประโยคนี้ฝ่าบาทก็เป็นคนตรัสหรือ?”
มันแค่นเสียงในลำคอหนึ่งที สยายปีกบินขึ้นสูง พริบตาเดียวก็หายวับไป
รอจนเหยี่ยวขนทองตัวนี้จากไปแล้ว สตรีสวมชุดชาววังก็พลันเซถอยหลัง มือสองข้างค้ำยันบนหัวกำแพง สีหน้าซีดขาว
ศาลาใบไผ่คือองค์สายลับที่นางทุ่มเทแรงกายใจสร้างขึ้นมา คือเสาคานที่เป็นดั่งเงาของราชวงศ์ต้าหลี แทบจะเป็นบุตรชายคนที่สามของนาง
ชุยฉานรู้สึกเหมือนกระต่ายสิ้นใจจิ้งจอกร่ำไห้ (เปรียบเปรยว่าร่วมโศกเศร้า เป็นทุกข์ร้อนกับผู้ร่วมชะตาเดียวกัน)
ฆ่าคนแค่ให้หัวแตะพื้น ไยต้องให้ทรมานใจนับหมื่นปี (เปรียบเปรยว่าเวลาทำอะไรต้องเหลือที่ว่างไว้บ้าง อย่าให้เกินเหตุไปนัก หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้บริสุทธิ์หรือผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องต้องเจ็บปวดเดือดร้อนไปด้วย เพราะทำเช่นนั้นไม่ได้ส่งผลดีต่อตนเองเช่นกัน)
ต่อให้ตอนนี้ชุยฉานจะกุมอำนาจใหญ่ของศาลาใบไผ่ที่สามารถตัดสินเป็นตายไว้ในมือ แต่เขากลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด
เพราะร่างกายของเด็กหนุ่มที่เดิมทีเชื่อมโยงจิตใจกับเขาได้เหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้การเชื่อมโยงนั้นกลับเหมือนขาดหายไปอย่างสิ้นเชิงอีกครั้ง
แม้แต่หยางเหล่าโถวผู้นั้นก็ยังแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ถึงขั้นไม่ยอมส่งข่าวกลับมายังเมืองหลวงต้าหลีแม้แต่ข่าวเดียว