กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 118.1
ก่อนหน้านี้ตรงจุดที่ธารน้ำหลงซวีและลำคลองเถี่ยฝูตัดสลับกันก็คือน้ำตกสายใหญ่เส้นนั้น
เพียงแต่ว่าตอนนี้ควรจะเรียกลำธารหลงซวีว่าลำคลองหลงซวีถึงจะถูก ส่วนลำคลองเถี่ยฝู่ก็ต้องกลายมาเป็นแม่น้ำเถี่ยฝู
ท่ามกลางม่านราตรีมีสตรีที่อุ้มกระบี่ยาวพู่สีทองไว้ในอ้อมอกคนหนึ่งยืนอยู่บนก้อนหินสีเขียวที่เป็นจุดตัดระหว่างลำธารและลำคลอง เรือนกายของหญิงสาวผู้นี้งดงามมาก ช่วงหน้าอกของนางนูนเด่นดันอาภรณ์ขึ้นสูง พูดได้ว่าก้มหน้าก็มองไม่เห็นปลายเท้าอย่างแท้จริง เป็นเหตุให้พู่กระบี่จากเส้นด้ายสีทองที่มัดรวมกันเป็นกลุ่มขดตัวอยู่เหนือเนินอกอย่างพอดิบพอดี
นางก็คือสาวใช้ประจำตัวของเหนียงเนียงผู้นั้น แม้หน้าตาจะงามพิลาส แต่กลับมีนามบ้านๆ ดุจสตรีบ้านป่าว่า หยางฮวา
สตรีโยนกระบี่ที่มีนามว่าอาญาสิทธิ์ซึ่งเป็นอาวุธสำคัญของบุรพแจกันสมบัติทวีปลงไปในแม่น้ำก่อน
จากนั้นนางก็สูดลมหายใจเข้าลึก เริ่มเปลื้องเสื้อผ้าทีละชิ้น แล้วโยนพวกมันให้ไหลไปตามกระแสน้ำของแม่น้ำเถี่ยฝู
สุดท้ายเผยให้เห็นเรือนกายอรชร ขาวนวลไร้ตำหนิสมบูรณ์แบบของนางที่อาบไล้อยู่ท่ามกลางแสงจันทร์และไอหมอก ขับดันให้ทั้งร่างของนางแผ่กลิ่นอายของความเป็นเซียน
จากนั้นนางก็ก้าวออกมาหนึ่งก้าว ทิ้งร่างสูงเพรียวดิ่งลงสู่เบื้องล่าง
นางต้องการลงน้ำเพื่อกลายเป็นเทพ
หยางฮวาสตรีที่ได้รับคำสั่งจากราชสำนักต้าหลี คืนนี้ต้องกลายมาเป็นเทพแม่น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูสายนี้
อำเภอของต้าหลีแบ่งออกเป็นเล็ก กลาง ใหญ่สามระดับ น้ำก็เช่นกัน ลำธารคือตอนล่างสุด จะมีสิ่งศักดิ์ทางน้ำในลำดับล่างสุด ต่อให้ราชสำนักจะแต่งตั้งเทพให้มาพิทักษ์เส้นทางน้ำก็ยังประทานนามให้เป็นแค่แม่ย่าลำธาร ห้ามล้ำเส้นแต่งตั้งเป็นเทพ ส่วนน้ำตอนบนจะแบ่งออกเป็นบน กลาง ล่างอีกสามลำดับ ตอนนี้ลำธารหลงซวีเลื่อนขั้นขึ้นมาอีกสองลำดับ เปลี่ยนจากลำธารมาเป็นลำคลองในระดับกลาง ส่วนน้ำที่อยู่บนสุดคือแม่น้ำ ไม่มีการแบ่งระดับสูงต่ำ และตอนนี้ลำคลองเถี่ยฝูก็กระโดดกลายมาเป็นแม่น้ำสายใหญ่แล้ว
เพียงแต่ว่าแม่น้ำลำคลองสองเส้นที่ตัดกันอย่างแม่น้ำเถี่ยฝูกับลำคลองหลงซวีในตอนนี้ยังไม่มีการสร้างศาลเทพแม่น้ำ ไม่มีการสร้างเทวรูปทองคำชั่วคราว
ทุกอย่างเอาความเรียบง่ายเป็นหลัก
เทพลำคลองและแม่น้ำสองท่านที่เพิ่งเลื่อนขั้นใหม่ล้วนไม่ใช่ชื่อที่คุ้นเคยกันในอำเภอหลงเฉวียน เทพแม่น้ำเถี่ยฝูหนึ่งในนั้นมีชื่อว่าหยางฮวา
เมื่อเทียบกับการแต่งตั้งเทพแม่น้ำที่ฟังแต่ชื่อแล้วมีพลังแต่ความจริงกลับไร้ความสามารถแล้ว ราชสำนักต้าหลีถือโอกาสแต่งตั้งเทพภูเขาที่แท้จริงรวดเดียวถึงสามองค์ แบ่งออกเป็นภูเขาพีอวิ๋น ภูเขาเตี่ยนเซียง และภูเขาลั่วพั่ว
พิธีการแต่งตั้งเทพยิ่งใหญ่และสำคัญ พระราชโองการที่ฮ่องเต้ต้าหลีทรงเขียนด้วยตัวเอง การช่วยป่าวประกาศเผยแพร่ของอริยะอาจารย์หร่วน เนื้อหาที่ต้องอ่านประกาศซึ่งซือหลางกรมพิธีการเป็นผู้ร่าง พิธี “ฝังทองซ่อนหยก” ของท่านชิงอูแห่งสำนักโหราศาสตร์ การเปิดฉากสร้างเทวรูปร่างทองสององค์โดยขุนนางพ่อแม่ของท้องถิ่น นายอำเภอหลงเฉวียนอู๋ยวน ฯลฯ ขั้นตอนจุกจิกยิบย่อยเหล่านี้ล้วนพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
เทพภูเขาของบุรพแจกันสมบัติทวีปแบ่งออกเป็นเทพห้าขุนเขา เทพภูเขา เทพแห่งผืนดินโดยทั่วไปแบ่งออกเป็นสามระดับ เทพเจ้าที่ที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกขานกันจะคล้ายคลึงกับตัวสำรองของวงการขุนนาง
โดยทั่วไปแล้วต่อให้ผ่านไปร้อยปีพันปี เทือกเขายอดเขาก็มักจะมีขนาดคงที่ ดังนั้นจึงยากที่เทพภูเขา เทพแห่งผืนดินจะถูกย้ายออกไปจากที่เดิม แต่ก็ไม่ได้ตายตัวเสมอไป หากบนโลกมีผู้ยอดฝีมือตบะสูงปรากฏขึ้นมา สุดท้ายได้รับความสำคัญจากทางราชสำนัก กลายมาเป็นราชครู เจินจวินที่มีฐานะสูงส่งก็มีความเป็นไปได้ว่าคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเขาอาจได้เลื่อนฐานะตามไปด้วย เพราะอย่างไรซะภูเขาไม่จำเป็นต้องสูง ขอแค่มีเซียนอาศัยก็กลายเป็นมีชื่อเสียงได้
ภูเขาลั่วพั่วหนึ่งในนั้นมีเทพภูเขาองค์หนึ่งที่ค่อนข้างจะประหลาด รู้แค่ว่าแซ่ซ่ง เมื่อเทียบกับรูปปั้นดินเหนียวที่ตลอดร่างทาด้วยสีทองของเทวรูปอีกสององค์แล้ว รูปปั้นของเทพภูเขาองค์นี้กลับมีเฉพาะศีรษะที่เป็นสีทอง อาภรณ์และเครื่องประดับทาสีสันอื่น แต่ไม่ใช่สีทอง ว่ากันว่านี่เป็นคำสั่งลับๆ ที่มาจากทางราชสำนัก
ท่ามกลางกระแสน้ำขุ่นมัว เหนือศีรษะขึ้นไปก็คือม่านน้ำตกที่เทกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรง
ปลายเท้าข้างหนึ่งของสตรีเหยียบลงบนด้ามกระบี่อาญาสิทธิ์ที่ล้ำค่าของลัทธิเต๋าเล่มนั้น พู่กระบี่สีทองเป็นดั่งเถาวัลย์ที่ไม่รู้ว่าเริ่มรัดพันข้อเท้าของนางตั้งแต่เมื่อไหร่
ผิดที่ครอบครองหยก (มาจากสำนวนเดิมว่าราษฎรเดิมไม่มีความผิด แต่ผิดที่ครอบครองหยก เปรียบเปรยว่าทรัพย์สมบัตินำภัยมาสู่ผู้ครอบครอง)
ขนตาของสตรีที่หลับตาสองข้างแน่นกระพือน้อยๆ น้ำตาไหลลงมาจากกรอบดวงตาของนางช้าๆ เพราะร่างอยู่ใต้แม่น้ำ น้ำตาเพียงเท่านั้นจึงหายวับไปในทันที
ต่อให้นางเกิดมามีเรือนกายที่ยอดเยี่ยมเหนือกว่าคนทั่วไป มีความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับน้ำและแม่น้ำมาตั้งแต่เล็ก ตอนนางยังเด็กเคยมีนักพรตเต๋าที่เดินทางไปทั่วมาที่บ้านนาง แล้วทำนายชะตาชีวิตให้กับนาง บอกว่าเป็นเรื่องง่ายที่นางจะดึงดูดเอาสิ่งสกปรกดำมืดทั้งหมดในน้ำมา ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคืออย่าอยู่ใกล้ต้นกำเนิดน้ำเพียงลำพัง โดยเฉพาะสถานที่ที่เป็นจุดบรรจบกันชั่วคราวของน้ำไร้ต้นกำเนิด เด็กสาวแซ่หยางนามฮวาค่อยๆ เติบใหญ่ขึ้นทีละน้อย เพียงไม่นานก็ถูกท่านชิงอูของต้าหลีหมายตา แล้วพานางมาอยู่ข้างกายเหนียงเนียงผู้นั้นเพื่อฝึกคาถาน้ำชั้นสูง ฝึกฝนวันเดียวก็เท่ากับเดินทางพันลี้ เพียงแค่ฝึกตนเรื่อยเปื่อยสามปีก็เทียบเท่ากับความยากลำบากสามสิบปีหรืออาจจะนานยิ่งกว่านั้นสำหรับคนอื่น
แต่สาเหตุแท้จริงที่บีบให้นางต้องเดินไปบน “เส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับ” เส้นนี้
ต้องรู้ว่าการกลายเป็นพ่อปู่ลำคลองแม่ย่าลำคลอง กลายเป็นองค์เทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแม่น้ำ มักจะถูกผู้ฝึกตนที่แท้จริงมองเป็น “ทางหัวขาด” ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องซึ่งจะนำไปสู่ความเป็นอมตะได้เลย
ลองจินตนาการดูว่าตัวเองรู้ดีอยู่แก่ใจว่าสะพานแห่งความเป็นอมตะขาดลงครึ่งหนึ่ง ไม่อาจส่งคนเดินให้ถึงฝั่งได้ แล้วนั่นจะเรียกว่าสะพานแห่งความเป็นอมตะได้อย่างไร?
นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่า นี่เรียกว่าผิดที่ครอบครองหยก
เพราะนางสามารถควบคุมยันต์อาญาสิทธิ์ได้สำเร็จ ได้รับการยอมรับจากกระบี่อาญาสิทธิ์ของเมืองหลวงเล่มนั้นก่อนหน้าที่หลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่แห่งสวมลมฟ้าจะลงมือ
หลังจากได้รับโชควาสนาเทียมฟ้าในครั้งนี้ ตบะของนาง็ยิ่งทะยานพรวดพราดไปตลอดทาง ในขณะเดียวกันกับที่นางรู้สึกว่าห้าขอบเขตบนเป็นเพียงเรื่องของการนับวันรออย่างเดียวเท่านั้น ฝันร้ายที่ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องก็มาเยือนอย่างเงียบเชียบ เรื่องแรกคือเหนียงเนียงต้องการให้นางเอากระบี่อาญาสิทธิ์ออกมามอบให้กับหร่วนฉงที่พิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีเพื่อฟันแท่นสังหารมังกรสองครั้ง จากนั้นกระบี่อาญาสิทธิ์ที่กลับเข้ามาอยู่ในมือนางอีกครั้งก็อยู่ในสภาพปริร้าวใกล้แตกสลายเต็มที นางจะยังทำอะไรได้อีก? คนหนึ่งคือเหนียงเนียงผู้มีพระคุณในการปลูกฝังอบรม อีกคนคืออริยะสำนักการทหารที่ถูกต้าหลีมองเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ นางก็ได้แต่กัดฝันยอมรับผลลัพธ์นี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็คาดไม่ถึงว่า กระดาษคำสั่งแผ่นหนึ่งที่มาจากฮ่องเต้จะแต่งตั้งให้นางกลายเป็นเทพแห่งวารีของแม่น้ำเถี่ยฝู
ท่ามกลางกระแสน้ำของแม่น้ำ สตรีที่เหยียบอยู่บนกระบี่ลอยตัวอยู่นิ่งๆ คล้ายเทวรูปที่ตั้งอยู่บนแท่นบูชา
นางตัดขาดความคิดวุ่นวายทั้งหมดทิ้งไป แล้วเริ่มสงบสติรวบรวมสมาธิ มือทั้งคู่ทำมุทรา ไม่ขยับเขยื้อนดุจขุนเขา
ผมสีดำแต่ละเส้นของนางหลุดออกเป็นอันดับแรก กระจายไปตามผิวน้ำ แล้วไหลหายไปกับกระแสธารา
ตามมาด้วยเลือดเนื้อบนเรือนกายที่ค่อยๆ หลอมละลายไปทีละน้อย
ความเจ็บปวดรวดร้าวรุนแรงไม่ได้มาจากเรือนกายเท่านั้น ที่มากกว่านั้นกลับเป็นเสียงร่ำไห้ที่มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ ทำให้ท่ามกลางเลือดเนื้อที่สลายหายไป สตรีที่ใช้เวทลับตัดขาดความรู้สึกของต้าหลีก็ยังคงตัวสั่นสะท้านไม่หยุด
เรือนกายผ่ายผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก!
มาถึงท้ายที่สุดสตรีก็กลายมาเป็นโครงกระดูกที่แท้จริง
ผิวน้ำเดือดพล่าน ควันร้อนลอยสูง
กระบี่อาญาสิทธิ์ที่พังไปครึ่งหนึ่งเล่มนั้นนอนนิ่งอยู่ตรงก้นแม่น้ำ แต่ยังพอจะเห็นได้ว่าโครงกระดูกอันน่าหวาดกลัวของหญิงสาวเริ่มส่ายไหวคล้ายพืชน้ำในกระแสธาร อ่อนแอเปราะบางอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าอาจจะถูกกระแสน้ำพัดพาไปได้ทุกเมื่อ
ทว่าในชั่วเวลาแห่งความคับขัน ด้ายสีทองแต่ละเส้นจากพู่กระบี่สีทอง “อักขระยันต์” ของกระบี่อาญาสิทธิ์ลัทธิเต๋ากลับเริ่มแผ่ประกายแสงสีทองออกมา ไม่เพียงแต่รัดรึงข้อเท้าของหญิงสาวให้แน่นขึ้น ยังไต่ขึ้นด้านบนอย่างต่อเนื่องเชื่องช้า สุดท้ายจึงหยุดนิ่งกลางกระหม่อมของหัวกะโหลก
นั่นถึงทำให้โครงกระดูกขาวอยู่นิ่ง ช่วยให้นางไม่ถูกความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่ในวารีทอดทิ้งจนกลายเป็นเพียงผีพรายภูตน้ำลำดับที่ต่ำที่สุด
รวบรวมสติจิตวิญญาณ สร้างร่างทองขึ้นมาใหม่ กายเนื้อกลายเป็นอริยะจำลอง
เห็นเพียงว่าบนหัวกะโหลกกระดูกขาวเริ่มมีผมเส้นแรกงอกขึ้นมา
ไม่ใช่ผมยาวสีกาน้ำเหมือน “หญิงชรา” แม่ย่าลำธารของธารน้ำหลงซวีก่อนหน้านี้ แต่เป็นเส้นผมสีทองอ่อน ผมแต่ละเส้นปรากฏอยู่บนกระดูกขาว ยิ่งนานก็ยิ่งดกหนา สุดท้ายรวมตัวกันกลายเป็นผมยาวสีทองที่ยาวหลายจั้ง ส่องประกายพร่างพราวอย่างถึงที่สุด
นี่ถือเป็นปรากฎการณ์ของ “พิรุณเทพ” ที่ร้อยปีจะพานพบสักครั้ง!
เทพแม่น้ำในใต้หล้า ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ล้วนพึ่งพาอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดิน ไหลไปตามกระแส ทว่าพิรุณเทพที่แทบจะสาบสูญไปจากบุรพแจกันสมบัติทวีปกลับสามารถนับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนชั้นฟ้า แม้ว่าระดับขั้นของพิรุณเทพจะเหนือกว่าเทพแม่น้ำไม่มาก แต่ก็ยังมีความแตกต่าง ก็เหมือนการเปรียบเทียบระหว่างผู้ฝึกลมปราณทั่วไปกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเดียวกันที่แท้จริงแล้วพลังการต่อสู้ของเขาจะพิเศษกว่ามาก คล้ายกับขุนนางหลางจงที่เป็นผู้เฒ่าถือโคมคนนั้นที่มีน้ำหนักความสำคัญเหนือกว่าขุนนางต้าหลีคนอื่นๆ ที่อยู่ในระดับขั้นเท่ากัน
ต้าหลัวจิน (ทอง) เซียนที่ลัทธิเต๋าศรัทธาเลื่อมใส อรหันต์ร่างทองผู้ปกป้องพุทธศาสนา รูปปั้นดินเหนียวร่างทองขององค์เทพทั้งหลายในโลกมนุษย์ กุมารทองกุมารีหยกของราชวงศ์ล้วนมีคำว่าทองอยู่ทั้งสิ้น
และในความเป็นจริงแล้วกายธรรมร่างทองขององค์เทพเป็นเพียงแค่การอ้างถึงอย่างเลื่อนลอยเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าองค์เทพจะมีร่างทั้งร่างเป็นสีทองอย่างแท้จริง ร่างทองของแม่ย่าลำธารของลำธารหลงซวี แท้จริงแล้วก็มีแค่ดวงตาที่ส่องประกายแสงสีทองเท่านั้น ทว่าสตรีผู้นี้กลับมีผมสีทองเต็มศีรษะอันเป็นคุณลักษณะพิเศษของพิรุณเทพ คือความแตกต่างราวฟ้ากับเหว
สตรีเริ่มกลับคืนสู่โฉมหน้าดั้งเดิม
เลือดเนื้อผุดจากกระดูกขาว
สุดท้ายเมื่อนางลืมตา ความงามยามนี้ก็เหนือกว่าเก่าก่อนมากโข
ผลึกน้ำของแม่น้ำทั้งสายมารวมตัวกันกลายเป็นชุดกระโปรงสีดำห่อหุ้มเรือนกายที่น่าหลงใหลอย่างถึงขีดสุดของนางเอาไว้
นางเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าคล้ายเดินบนพื้นราบเรียบ ลมหายใจนิ่งสงบเป็นธรรมชาติ ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายสบายตัวเสียยิ่งกว่ายามฝึกตนในถ้ำสถิตย์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณเสียอีก
สตรียกมือขึ้นกวักหนึ่งครั้ง กระบี่อาญาสิทธิ์ที่ไม่เคยออกจากฝักก็พุ่งทะยานมาหานาง ครั้นจึงถูกนางกุมไว้ในมือ วางขวางไว้เบื้องหน้า นางดึงมันออกจากฝักเบาๆ จ้องมองรอยปริร้าวอันน่าพรั่นพรึงที่เหมือนแผลเป็นหลายแผลบนดวงหน้าของสาวงามซึ่งทำให้คนรู้สึกเสียดายอย่างถึงที่สุด
หยางฮวาที่กลายมาเป็นเทพแม่น้ำของต้าหลีแล้วขยับข้อมือหนึ่งครั้ง พลิกคมกระบี่อาญาสิทธิ์ขึ้นตั้ง ก้มหน้าลงจ้องมองมันที่เหลือเพียงความคมกริบเท่านั้นที่ยังไม่แปรเปลี่ยนแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “สุดท้ายแล้วก็มีแต่เจ้าที่ไม่ทอดทิ้งข้าไปไหน”
กระบี่อาญาสิทธิ์สั่นสะท้านเบาๆ ปราณวิญญาณของมันแห้งขอดเหมือนคนแก่ผ่ายผอมนอนป่วยติดเตียง ปณิธานหมดสิ้น
“ข้าไม่มีทางรังเกียจเจ้า แม้หนทางเบื้องหน้าจะขาดสะบั้น แต่พวกเราจะเดินไปด้วยกันจนสุดปลายทาง”
หยางฮวาก้มหน้าลง ผินซีกแก้มไปด้านข้างเล็กน้อย แล้วจึงใช้คมกระบี่กรีดลงไปบนใบหน้าของตนรอยแล้วรอยเล่า โลหิตหลั่งริน บาดลึกถึงกระดูก
น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูไหลเชี่ยวกรากซัดสาด ยิ่งนานก็ยิ่งโหมครืนครั่นรุนแรง ปรานสังหารท่วมท้นเดือดพล่าน ไร้ซึ่งความเจ็บปวดและเศร้าโศก
เรื่องราวบนโลกมนุษย์ มีความผิดที่ครอบครองหยก
คนบนโลกมนุษย์ เมื่อครอบครองศาสตราวุธทรงพลัง จิตสังหารย่อมบังเกิด!
……
ตรงหินหลังควายริมลำคลองหลงซวี ผู้เฒ่านั่งยองสูบยาอยู่บนก้อนหิน ริมขอบหินก้อนใหญ่มี “หญิงสาวที่แต่งงานแล้ว” คนหนึ่งนั่งอยู่ด้วยท่าทางสำรวมระมัดระวัง เส้นผมยาวเหยียดของนางทิ้งตัวทอดขยายไปยังน้ำในลำคลอง ตอนนี้เมื่อได้รับการเลื่อนขั้นและการยอมรับจากราชสำนักต้าหลีให้เป็นเทพลำคลองแท้จริง นางก็สามารถอาศัยตำแหน่งนี้ขึ้นมาอยู่บนฝั่งได้ในเวลาสั้นๆ อย่าได้ดูถูกก้าวเล็กๆ ก้าวนี้ เพราะหากยังเป็นแค่แม่ย่าลำคลองพ่อปู่ลำคลอง ต่อให้เจ้าฝึกตนนานร้อยปีพันปีก็ยังยากจะทำได้
สตรีแต่งงานแล้วที่ผมยาวทิ้งตัวลงสู่ผิวน้ำเบื้องล่างก้อนหินกล่าวอย่างขลาดๆ “ท่านเซียน เพราะอะไรข้าหม่าหลันฮวาถึงไม่อาจมีศาลเทพลำคลอง? ต่อให้จะเป็นแค่ศาลเล็กๆ ทรุดโทรมก็ยังดี”
ผู้เฒ่าที่กำลังพ่นควันขโมงหลุดหัวเราะพรืด “ด้วยชื่อเสียงที่ฉาวโฉ่ไปทั่วหัวถนนของเจ้าก็ยังอยากได้รับควันธูปอย่างไม่ขาดสายเหมือนกันหรือ? เกรงว่าจะมีแต่น้ำลายที่คนถ่มออกมาหลายถังใหญ่เสียมากกว่า อีกอย่างเจ้าคิดหรือว่าเมื่อได้รับควันธูปจากคนที่มาบูชากราบไหว้แล้วตัวเองมีแต่จะได้รับผลประโยชน์ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์แบบใดน่ะ? แถมยังคิดจะนอนเสวยสุขอย่างเดียวโดยที่ไม่ทำห่าอะไรสักอย่าง?”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มประจบ “ท่านเซียน ท่านเองก็รู้ว่าข้าคือหญิงบ้านป่าที่ผมยาวแต่ความรู้สั้น ท่านผู้อาวุโสช่วยอธิบายให้ข้าฟังหน่อยเถอะ ข้าจะได้ไม่ทำเรื่องต้องห้ามที่ไปสร้างความขุ่นเคืองให้กับผู้เป็นใหญ่คนใด ข้าไม่กลัวหากจะโดนทุบตี แต่หากเป็นการเพิ่มปัญหาให้ท่านเซียน ในใจข้าคงยากจะยอมรับได้”
ตอนที่พูดว่าผมยาวแต่ความรู้สั้น หางตาของสตรีแต่งงานแล้วเหลือบไปมองยังเส้นผมสีดำสนิทของตัวเองด้วยความลำพองใจเล็กน้อย
ผมยาวที่นางพูดถึงคือผมที่ยาวจริงๆ หญิงแก่แม่หม้ายหรือสตรีแต่งงานแล้วในเมืองเล็กที่มีอายุขัยสั้นเหล่านั้น บางคนอายุแค่สี่สิบกว่าปี เส้นผมก็เริ่มเป็นสีขาวโพลนแล้ว จะเทียบกับตนได้อย่างไร? หากพูดถึงฐานะ พูดถึงชาติตระกูล พวกนางจะเอาอะไรมาเปรียบเทียบกับเทพลำคลองที่ยิ่งใหญ่อย่างตนได้?
ผู้เฒ่าเอ่ยเนิบช้า “เมื่อศาลเจ้าถูกก่อตั้ง เมื่อแท่นบูชาเทพถูกยกบูชา เมื่อกระถางธูปถูกจัดวาง หลังจากธูปดอกแรกเผาไหม้หมดสิ้นก็เท่ากับว่าเจ้ามีชะตาชีวิตเชื่อมโยงอยู่กับพื้นที่แถบนี้อย่างแท้จริงแล้ว ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้เมืองหงจู๋เกิดแผ่นดินไหวสองครั้ง อำเภอหลงเฉวียนของพวกเราก็แผ่นดินสั่นภูเขาโยกคลอน แม่น้ำกระเพื่อมไหวตามไปด้วย หากเจ้ามีศาลเจ้าและรูปปั้นดินร่างท้องอยู่ในท้องที่ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ต้องแบกรับการโจมตีที่มาจากแผ่นดินไหวในครั้งนี้ด้วย”
แม้ว่าสตรีแต่งงานแล้วจะแสร้งพยักหน้าคล้อยตาม ทว่าในใจกลับไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่
ผู้เฒ่าสีหน้าไร้อารมณ์ มือหนึ่งถือกระบอกยาสูบ อีกมือหนึ่งที่ว่างอยู่เคาะลงบนก้อนหินเบาๆ หนึ่งที
เพียงชั่วพริบตาเลือดเนื้อทั่วร่างของสตรีแต่งงานแล้วก็ปริแตกทีละชุ่น เจ็บปวดทรมานจนร่างกลิ้งตกลงไปในน้ำลำคลอง ร่างดิ้นสะบัดพลิกไปพลิกมาอย่างบ้าคลั่ง พยายามร้องวิงวอนอยู่ใต้น้ำสุดชีวิต
ผู้เฒ่าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เอ่ยเนิบช้าต่อไปว่า “เหตุใดเทพภูเขาและเทพแม่น้ำถึงได้เลือกจะติดตามกษัตริย์ล่างภูเขา ช่วยพวกเขาควบคุมคนบนภูเขาอย่างสุดจิตสุดใจ? นอกจากเรื่องของต้นกำเนิดควันธูปแล้ว การตีกันของเทพเซียนบนภูเขาในแต่ละครั้งยังส่งผลกระทบต่อความรุ่งโรจน์และเสื่อมถอยของโชคชะตาในพื้นที่หนึ่งก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ใครเล่าจะยอมให้ตัวเองตกอยู่ในสภาวะล่อแหลมอันตราย ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ร่างทองอาจเสียหายอย่างรุนแรง และวันมะรืนก็อาจจะหายไปจากโลกใบนี้?”
“นอกจากนี้ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงและรากฐานทางการทหารอีกมากมายก็ล้วนสามารถส่งผลกระทบต่อเส้นทางการฝึกตนของพวกเจ้า บ้างก็เป็นการสับเปลี่ยนแทนที่อย่างเงียบๆ บ้างก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในฉับพลัน ทั้งหมดนี้ล้วนไม่ได้ถ่ายโอนโดยเจตนารมณ์ขององค์เทพ ฝ่ายแรกคือการหั่นเนื้อด้วยมีดทื่อ ฝ่ายหลังคือหายนะที่หล่นลงมาจากฟ้า เจ้าน่ะจงรู้จักถนอมความสุขสบายที่ได้รับในตอนนี้ไว้เถอะ นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าผ่อนคลายสบายอารมณ์ดุจเทพเซียนอย่างแท้จริง”
สตรีแต่งงานแล้วไม่กล้าขึ้นมาบนฝั่งอีก ศีรษะที่มีสีหน้าซีดขาวราวหิมะค่อยๆ ลอยพ้นผิวน้ำ เอ่ยขอร้อง “ท่านเซียนใหญ่ บ่าวรู้ถึงความหนักเบาและผลดีผลเสียแล้ว”
ผู้เฒ่าโบกมือ “ไสหัวไปไกลๆ”
สตรีแต่งงานแล้วจึงดำลงไปใต้น้ำ สะบัดเอวหนึ่งครั้งร่างก็พลันลอดทะลุสะพานหินแบบโค้งหนีห่างไปไกลสองสามลี้ในชั่วพริบตา