กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 126
หนึ่งกระบี่แหวกม่านฟ้าตกลงมาบนถนนใหญ่หน้าประตูจวน
ปราณกระบี่ที่เป็นดั่งแสงดาวตกยังคงทิ้งร่องรอยไว้นับตั้งแต่จุดที่แหวกอาคมขอบเขตจนมาถึงที่แห่งนี้ ไม่สลายไปเป็นนาน คล้ายแสงอาทิตย์แสบตาเส้นหนึ่งที่ลอดผ่านบานหน้าต่างสาดเข้ามาในห้องนอนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
ลาขาวเหมือนได้พบคนรู้จักการบ้านเกิด ขยับเท้าวิ่งเป็นวงกลม
ผีสาวชุดแดงอึ้งตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด ในฐานะที่เป็นเจ้าของแผ่นดินแถบนี้ นางสัมผัสได้ถึงอานุภาพของหนึ่งกระบี่นั้นได้ชัดเจนยิ่งกว่าใคร รากฐานภูเขาสั่นคลอน ผิวน้ำเดือดพล่าน หากไม่เป็นเพราะนางใช้ลมปราณอำพรางจวนที่อยู่ด้านหลังตัวเองเอาไว้ เกรงว่าตะเกียงเกือบพันดวงในจวนคงดับไปเกือบครึ่งในรวดเดียว
ผีสาวทั้งตะลึงทั้งโกรธเกรี้ยว ไม่ได้มองไปยังจุดที่กระบี่บินตกลงมา แต่จ้องเขม็งไปยังช่องโหว่บนม่านฟ้าดำมืดที่ไม่มีทางซ่อมแซมได้ ขณะเดียวกันพื้นผิวของชุดเจ้าสาวสีแดงสดของนางก็มีเม็ดเลือดซึมออกมา เหมือนหยดน้ำที่กลิ้งบนใบบัว สุดท้ายยิ่งนานก็ยิ่งมากจนติดต่อกันเป็นแถบๆ
ผีสาวสะบัดชายแขนเสื้อทั้งสองข้าง แหงนหน้าคำรามเดือดดาล “ใครที่บุกเข้ามาที่นี่ล้วนสมควรตาย! เซียนกระบี่จอมโอหัง ข้าจะเด็ดหัวเจ้ามาปลูกในสวนดอกไม้ ให้เจ้ามีชีวิตเหมือนอยู่ไม่สู้ตายไปสิบปีร้อยปี!”
มีเสียงหัวเราะร่าดังมาจากที่ไกลแสนไกล สุดท้ายเสียงนั้นก็มารวมกันอยู่บนกระบี่ที่ลอยอยู่เหนือพื้นดิน น้ำเสียงนั้นไม่เพียงแต่อบอุ่นอ่อนโยน ยังมีท่วงทำนองที่เป็นเอกลักษณ์ ประหนึ่งคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ที่พูดถึงความงามแห่งธรรมชาติ ให้ความรู้สึกเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ ทว่าถ้อยคำนั้นกลับไม่อาจปกปิดความหยิ่งทระนงเทียมฟ้าของตัวเองได้เลย “แม่นางโปรดรอสักครู่ เรือนกายที่มีเลือดเนื้อของข้าน้อยยังมารวมกันได้ไม่มั่นคงพอ เทียบกับความเร็วของกระบี่บินไม่ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทัศนียภาพในสวนดอกไม้ของแม่นางเป็นอย่างไร…”
“พื้นที่ไม่กว้าง ทัศนียภาพก็ไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่ก็มากพอให้ปลูกหัวคนหัวหนึ่ง!”
สีหน้าที่เดิมทีซีดขาวของผีสาวเปลี่ยนมาเป็นสีม่วงอมเขียวน่าสยดสยองยิ่งกว่าเดิม รอยยิ้มดุดัน ธารน้ำสีแดงสดสองเส้นพุ่งทะลักออกจากชายเขนเสื้อของนางพุ่งเข้าหาม่านฟ้าที่เกิดเป็นรูโหว่
มีคนเอ่ยเสียงดังกังวาน “กระบี่ถึงสิ่งโสมมถอย!”
ม่านฟ้าหนาหนักสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
น้ำไหลสีเลือดสองขุมที่ลอยทวนขึ้นฟ้าไปรวมกันอยู่ตรงช่องโหว่พลันระเบิดกระจายซ่านเซ็นไปแปดทิศอยู่บนท้องฟ้าของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ ประหนึ่งมีฝนเลือดอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวตกลงมา ร่างของผีสาวสั่นเทิ้ม สะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ เม็ดฝนจำนวนนับไม่ถ้วนย้อนกลับเข้ามาในชายแขนเสื้อของนางอีกครั้ง
มีชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีขาวผู้หนึ่งพลิ้วกายลงมาจากท้องฟ้า ทั่วร่างล้อมวนไปด้วยปราณสีขาวขมุกขมัวชั้นหนึ่ง ประหนึ่งไอน้ำเหนือทะเลสาบ ประหนึ่งพายุลมกรดที่พัดอยู่บนยอดเขา ชายหนุ่มรวบผมเป็นมวยสวมกวานครอบแล้วปักปิ่น มือสองข้างประกบกันเป็นกระบี่ ทั่วร่างมีปราณกระบี่มหาศาลหนาใหญ่ดุจแขนของผู้ใหญ่เต็มตัว ส่องแสงสีหิมะพร่าตา เหมือนเจียวหลงสีขาวส่ายสะบัดร่างล้อมวนอยู่รอบกายอย่างรวดเร็ว หากกลิ่นอายของสิ่งชั่วร้ายโสมมและเลือดเหม็นคาวเหล่านั้นปะทะโดนปราณกระบี่ขุมนี้ก็จะแหลกสลายหายวับไปในชั่วพริบตา
มองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ยังไม่ถึงวัยตั้งตัว (อายุประมาณสามสิบปี) ที่พลิ้วกายมาอยู่ระหว่างพวกเฉินผิงอันกับผีสาวสวมชุดแต่งงาน กระบี่บินที่อยู่บนพื้นพุ่งสวบหนึ่งทีก็มาอยู่ข้างกายชายหนุ่ม ปลายกระบี่ชี้ไปยังกรอบป้าย “น้ำใสลมแรง” ของจวน
ชายหนุ่มเก็บนิ้วมือลง ปราณกระบี่เปี่ยมล้นที่เหมือนจะรวมตัวกันกลายมาเป็นของจริงหยุดชะงักเล็กน้อย ชายหนุ่มหันหน้าไปมองแล้วเห็นแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่สะพายหีบหนังสือใบเล็ก สายตาชายหนุ่มพลันเลื่อนลอย เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าของเก่าบางชิ้นที่อยู่คู่กายมานานหลายปีไม่ใช่ของตนอีกต่อไปแล้ว แล้วเขาก็คลี่ยิ้มสง่างาม กวักมือเรียกหนึ่งที หีบหนังสือไม้ไผ่สีเขียวมรกตของหลี่เป่าผิงเอียงเล็กน้อย น้ำเต้าสีเงินยวงใบเล็กที่อยู่ด้านในแกว่งไกวเบาๆ กระบี่บินเล่มหนึ่งที่ยาวไม่เกินสองชุ่น ตลอดทั้งเล่มเป็นสีหิมะเงินยวงบินออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ปราณกระบี่ผสานรวมเข้าไปในกระบี่บินอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ส่วนกระบี่บินก็รีบร้อนบินมายังหว่างคิ้วของชายหนุ่ม พริบตาเดียวก็หายวับไป
เซียนกระบี่หนุ่มนวดคลึงหว่างคิ้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน “วันหน้าพวกเรามีสี่สมุทรเป็นบ้าน เจ้าเองก็ไม่ใช่สตรีในห้องหอที่ต้องอยู่ติดบ้านไม่อาจย่างเท้าออกจากเรือนเสียหน่อย”
ลาขาวกระทืบกีบเท้าเบาๆ วิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายชายหนุ่มอย่างลิงโลด แล้วใช้ศีรษะถูไถไหล่ของเขาด้วยความใกล้ชิดสนิทสนม
บุรุษยิ้มบางๆ ยื่นมือมาลูบศีรษะของลาขาว “เจ้าเพื่อนยาก ไม่ได้พบกันนาน คิดถึงเจ้าจริงๆ”
เมื่อบุรุษฝืนบุกเข้ามา รูโหว่บนม่านฟ้าก็ค่อยๆ ปิดประสานเข้าด้วยกัน แต่เพราะเหตุนี้จึงต้องสูญเสียปราณวิญญาณของพื้นที่แถบนี้ไปไม่น้อย เวลาเพียงสั้นๆ สมบัติที่เก็บสะสมไว้อย่างน้อยห้าสิบปีล้วนหายไปสิ้น ทั้งหมดล้วนกลายมาเป็นปราณขุ่นมัวที่ไร้ประโยชน์
ผีสาวชุดแต่งงานกลับคืนมาเป็นปกติ นางหัวเราะเสียงเย็นชา “พกกระบี่ ปราณกระบี่ที่ปลดปล่อยไว้ด้านนอก กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต แต่ละอย่างร้ายกาจไม่แพ้กัน ช่างเป็นเซียนกระบี่พสุธาที่องอาจผ่าเผยยิ่งนัก เจ้าคงไม่ใช่คนของต้าหลีกระมัง?”
เซียนกระบี่หนุ่มที่โผล่มาจากฟากฟ้ายิ้มอ่อน “ก็แค่จอกแหนไร้รากเท่านั้น ชื่อแซ่ยิ่งไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
หลังกล่าวประโยคนี้จบ บุรุษไม่ใช่แค่หันหน้า แต่หันกลับไปทั้งตัวโดยตรง เผยแผ่นหลังให้กับผีสาวที่สวมชุดเจ้าสาวผู้นั้น เซียนกระบี่พสุธาที่เพิ่งจะออกจากการปิดด่านผู้นี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าถือเป็นเพื่อนของอาเหลียงครึ่งตัว อืม แค่ครึ่งตัวเท่านั้น อีกครึ่งหนึ่งถือว่าเป็นลูกศิษย์ของเขา น่าเสียดายที่อาเหลียงไม่ยอมรับ บอกว่านิสัยข้าคร่ำครึเกินไป กระทำการใดๆ ก็นุ่มนวลเกินไป ดังนั้นจึงออกกระบี่ได้ไม่เร็วพอ หากรับข้าเป็นศิษย์ เขาไม่หน้าหนามากพอให้ขายหน้าคนอื่น ครั้งนี้ข้าเดินทางมาไกลนับพันลี้ก็เพราะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเจ้าเพื่อนยากกับกระบี่บินในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ขอละลาบละล้วงสักคำ อาเหลียงล่ะ แล้วพวกเจ้าคือ?”
เฉินผิงอันอธิบาย “พวกเราก็เป็นเพื่อนของอาเหลียงเหมือนกัน น้ำเต้าลูกนี้อาเหลียงเป็นคนมอบให้หลี่เป่าผิง ส่วนลาก็ให้หลี่ไหวช่วยดูแล ส่วนอาเหลียงไปที่ไหน เชื่อว่าหลังจากนี้เจ้าน่าจะได้ข่าวเอง”
เมื่อเทียบกับผีสาวชุดแต่งงานตนนั้นแล้ว หลี่ไหวที่ในสมองมีแต่ความคิดประหลาดอยู่ตลอดเวลากลับไม่รู้สึกห่างเหินกับเซียนกระบี่พสุธาที่เป็นเพื่อนอาเหลียงคนนี้แม้แต่น้อย ในสายตาของเด็กชาย เพื่อนของอาเหลียงก็ไม่ใช่เพื่อนของเขาหลี่ไหวด้วยหรือ? ส่วนเจ้าจะใช่เทพเซียนหรือไม่ เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนงั้นหรือ?
เพียงแต่ว่ามรสุมเมื่อครั้งที่เดินทางข้ามผ่านแม่น้ำซิ่วฮวาทำให้หลี่ไหวเหมือนคนที่ถูกงูกัดครั้งหนึ่งกลัวเชือกไปสิบปี ไม่กล้าพูดจาส่งเดชอีก จึงเอาแต่ขยิบตาให้ลาขาวตลอดเวลา
เซียนกระบี่หนุ่มรับฟังถ้อยคำของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะอย่างตั้งใจ จากนั้นจึงพยักหน้ารับ “ข้าพอจะเข้าใจแล้ว”
แทบจะทุกคนล้วนสัมผัสได้ว่าพื้นแผ่นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อยเหมือนปลาหัวมังกรพลิกตัว คล้ายสัญญาณบอกว่าแนวเทือกเขาจะพังถล่ม ผีสาวสวมชุดแต่งงานหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง กำลังจะเผ่นหนีแต่กลับค้นพบว่าตัวเองถูกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นจับจ้องทิศทางการโคจรลมปราณของนางเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่รู้ว่ากระบี่บินสีขาวหิมะเล่มนั้นมาลอยอยู่เหนือศีรษะของนางไปสามฉื่อตั้งแต่เมื่อไหร่
ไฟโทสะสุมแน่นอยู่เต็มอกของผีสาวสวมชุดแต่งงานจึงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “หันหลางจง เทพแม่น้ำซิ่วฮวา พวกเจ้าจะไม่สนใจบ้างเลยรึ?! หากถูกเทพหยินตนนั้นตัดขาดรากฐานของภูเขาลูกนี้ ตลอดทางขึ้นเหนือไม่เพียงแต่สามแม่น้ำใหญ่ที่รวมแม่น้ำซิ่วฮวาไว้ด้วย ยังมีภูเขาฉีตุน แม่น้ำเถี่ยฝู ลำคลองหลงซวี จะมีที่ใดบ้างที่โชคดีหลุดพ้นหายนะ ไม่ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย?!”
มีผู้เฒ่าถือโคมใหญ่สีแดงคนหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศนอกม่านฟ้า หัวเราะเสียงเย็นชา “บารมีของฉู่ฮูหยินก่อนหน้านี้หายไปไหนหมดแล้วล่ะ”
ผีสาวสีหน้ามืดทะมึน
ข้างกายผู้เฒ่ามีเทพขุนพลฝ่ายบู๊ที่สวมเสื้อเกราะ ตรงแขนมีงูสีดำรัดพันคนหนึ่งเดินออกมาไกล่เกลี่ยสถานการณ์ หลีกเลี่ยงไม่ให้หลางจงกรมพิธีการผู้นี้แตกหักกับฉู่ฮูหยินจริงๆ จนทำลายโชคชะตาของต้าหลี จึงเอ่ยเสียงทุ้มว่า “ฉู่ฮูหยิน ข้ากับหันหลางจงสามารถขัดขวางไม่ให้เทพหยินทำลายรากฐานของภูเขาลูกนี้ แต่พวกเราก็หวังว่าหลังจากนี้ไปการกระทำและคำพูดของฉู่ฮูหยินจะไม่เกินขอบเขตอีก”
ผีสาวที่สวมชุดแต่งงานยิ้มหวาน “หากเชี่ยเซินอยากจะประลองเวทกระบี่กับใต้เท้าเซียนกระบี่ผู้นี้เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ จะถือว่าเป็นการกระทำที่เกินขอบเขตอีกหรือไม่?”
หันหลางจงโกรธจัดจนกลายเป็นขำ “ฉู่ฮูหยินผู้มีจิตใจดั่งพระโพธิสัตว์ตัวดี! วันนี้ข้าผู้แซ่หันนับว่าได้รับคำชี้แนะแล้ว ดีๆๆ! วันหน้ากรมพิธีการของต้าหลีเราจะต้องตอบแทนคืนให้สาสมแน่!”
ผีสาวหลุดหัวเราะพรืด “แค่หลางจงตัวเล็กกลับพูดจาโอหังนัก คิดว่าขู่เด็กน้อยอยู่หรือไง? รอให้เจ้าเป็นเสนาบดีของกรมพิธีการเมื่อไหร่ถึงจะมีสิทธิ์มาชี้ไม้ชี้มือกับเชี่ยเซิน!”
งูดำบนแขนของเทพแม่น้ำท่านนั้นแลบลิ้นรัวเร็วพ่นควันขาวออกมาเป็นระลอก เห็นได้ชัดว่าเขาคุ้นเคยกับวงการขุนนางต้าหลีและทิศทางของสถานการณ์ในอนาคตมากกว่าผีสาวสวมชุดเจ้าสาวที่ตัดขาดจากโลกภายนอก จึงกล่าวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ฉู่ฮูหยิน!”
ผีสาวสวมชุดแต่งงานยกมือข้างหนึ่งปิดปากหัวเราะคิกคัก มืออีกข้างยกชายกระโปรง เบี่ยงกายยอบตัวคำนับ “เซี่ยเซินขอโทษใต้เท้าหันก็ได้”
ผู้เฒ่าถือโคมไฟโกรธจนปากเป็นสีเขียว แต่กระนั้นก็ยังกลั้นไว้ไม่พูดอะไร ทุกอย่างล้วนพิจารณาถึงความมั่นคงและสถานการณ์โดยรวมของบ้านเมืองเป็นหลัก
หากไม่เป็นเพราะสาเหตุนี้ มีหรือที่กรมพิธีการต้าหลีจะเลือกหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งกับพฤติกรรมสังหารบัณฑิตที่ผ่านทางอย่างกำเริบเสิบสานของฉู่ฮูหยินตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา?
แต่จะว่าไปแล้ว ผู้เฒ่ากลับไม่รู้สึกว่าราชสำนักต้าหลีทำผิด
ปกครองแผ่นดิน สืบทอดนานนับหมื่นรุ่น
คนตายแค่ไม่กี่คนจะนับเป็นอะไรได้? จะใช่คนบริสุทธิ์ คนโชคร้ายหรือไม่ จะนับเป็นอะไรได้?
เขาไม่ใช่ขุนนางของต้าหลี ไม่ใช่หลางจงกรมพิธีการที่ต้องรับผิดชอบเรื่องการติดต่อเรียกหาตัวผู้ฝึกลมปราณ ด้วยนิสัยของเขา และในฐานะที่เป็นคนของลัทธิขงจื๊อย่อมต้องลงมืออย่างเด็ดเดี่ยว ต่อให้ต้องพินาศกันทั้งสองฝ่ายก็ไม่เสียดาย ทว่าผู้เฒ่าเดินทีละก้าวจนมาถึงตำแหน่งสูงส่งอย่างในวันนี้ เคยผ่านสมรภูมิรบที่คนบาดเจ็บและล้มตายหลายหมื่นหลายแสน เคยเห็นหอสูงจวนใหญ่ของเมืองหลวงต้าหลีเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนาม เคยเห็นการลอบฆ่านักรบเดนตายของแคว้นอื่นที่ทำตัวเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟหลายครั้งหลายครา เคยเห็นโศกนาฎกรรมอันน่าอนาถที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านนับไม่ถ้วนเพราะการเข่นฆ่าสังหารระหว่างเทพเซียนสองท่านบนภูเขาเพียงครั้งเดียว
อยู่ในตำแหน่งไหน พึงคิดถึงเรื่องของตำแหน่งนั้น
เขาผู้แซ่หันไม่ใช่บัณฑิตยากจนที่มุ่งมั่นศึกษาตำราปราชญ์ รู้จักแต่หลักการในหน้าหนังสือเหมือนในปีนั้นอีกแล้ว
เพื่อกฎหมายของต้าหลีแล้ว เขายังเคยสังหารจอมยุทธ์ชาวบู๊ที่ผดุงความเป็นธรรม บุกขึ้นภูเขาไปแก้แค้นเทพเซียนบนภูเขาเพื่อชาวบ้านผู้บริสุทธิ์กับมือของเขาเอง
คนผู้นั้นบาดเจ็บสาหัส ก่อนตายยังผรุสวาทอย่างเจ็บแค้น บอกว่าต้าหลีที่เป็นอย่างนี้ช่างน่าขำยิ่งนัก ด่าว่าเขาคือสุนัขรับใช้ของเทพเซียนบนภูเขา
เขาบอกกับคนผู้นั้นด้วยจิตใจที่สงบว่า บางทีอีกสามสิบปี ห้าสิบปีให้หลัง สรุปคือต้องมีสักวันหนึ่งที่ต้าหลีจะไม่มีคนที่ต้องตายอย่างอยุติธรรมเช่นเจ้าอีกแล้ว ชาวบู๊ที่จิตใจเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมผู้นั้นจึงกระอักเลือดถ่มใส่หน้าเขาก่อนตาย
ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีเรื่องง่ายดายเพียงนั้น?
ผู้เฒ่าถือโคมที่อารมณ์ซับซ้อนมองไปทางทิศเหนือ ไม่รู้ว่าทำไม ใต้เท้าผู้นั้นของตนถึงได้ไม่รีบร้อนเผยตัวลงมือ
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มไม่ได้สนใจฉู่ฮูหยินหรือหลางจงของต้าหลีอะไรทั้งนั้น ส่วนเทพแม่น้ำ เทพหยิน เขาก็ยิ่งคร้านจะถือสาหาความ เขาแค่หมุนตัวกลับมาอีกครั้ง เผชิญหน้ากับผีสาวชุดแต่งงานที่ถูกกระบี่บินของตนข่มขวัญ เอ่ยถามยิ้มๆ “เจ้าอยากจะประลองเวทกระบี่กับข้า?”
ผีสาวชุดแต่งงานยิ้มตาหยี “หากเป็นเพียงแค่ผิวเผิน เชี่ยเซินก็ยินดี เพราะอย่างไรซะเซียนกระบี่พสุธาที่อายุยังน้อยอย่างคุณชาย เชี่ยเซินก็พบเห็นมาน้อยครั้งในชีวิต”
เซียนกระบี่หนุ่มโบกมือ ลาขาวก็รีบวิ่งกลับไปหาหลี่ไหว ชายหนุ่มชี้นิ้วไปยังกระบี่ที่ลอยอยู่ข้างกาย พยักหน้ารับ “ได้สิ”
ผีสาวชุดแต่งงานหรี่ตาลง “อ้อ? คุณชายเอาจริงรึ?”
หลังจากกุมด้ามกระบี่ไว้ในมือ เซียนกระบี่หนุ่มก็เอ่ยเบาๆ ว่า “กระบี่มีนามว่าเทียนสล้าง”
กล่าวจบก็ฟันฉับลงมาหนึ่งที
ทว่ากลับทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี เป็นเหตุให้โลกใบเล็กที่บรรยากาศอึมครึมมืดสลัวสว่างจ้าทันใด
เพียงชั่วพริบตาปราณกระบี่ก็ฟันเข้าแสกหน้าผีสาว
ผีสาวสวมชุดแต่งงานที่ไม่ทันตั้งตัวได้แต่ยกสองมือขึ้นบังใบหน้า ชายแขนเสื้อกว้างสองฝั่งช่วยบดบังทั่วทั้งกาย
ผีสาวถูกฟันขาดสองท่อนคาที่
เสียงร้องโหยหวนของฉู่ฮูหยินท่านนี้ดังลั่นไปทั่วทั้งถนนใหญ่และจวนโอ่อ่าที่อยู่ด้านหลังผู้คน
เหล่าข้ารับใช้ทั้งหลายที่ยืนทึ่มทื่ออยู่กับที่เริ่มมีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด บางส่วนนอนพังพาบไปกับพื้นแล้วกลายเป็นน้ำหนองข้นหนืดกองหนึ่ง
ด้านในจวน สตรีบางคนที่เรียนรู้งานบ้านงานเรือนแทงเข็มลงไปบนเนื้อตัวเองเข็มแล้วเข็มเล่ากลับไม่รู้ตัว บ่าวรับใช้ชายบางคนที่กำลังเรียนวรยุทธ์ยืนอยู่ที่เดิม แต่กลับออกหมัดต่อยศีรษะของฝ่ายตรงข้าม แม้ศีรษะจะแหลกเละไปเกินครึ่งก็ยังไม่ยอมหยุดมือ
ผีสาวรีบพุ่งเข้าไปในประตูใหญ่ของจวน ระหว่างเรือนกายที่ถูกผ่าออกเป็นสองท่อนเริ่มมีเส้นใยสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนเหมือนสายใยก้านบัวที่หักท่อนซึ่งเริ่มประสานกันอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว
เซียนกระบี่หนุ่มกล่าวเรียบๆ “เอาอีก”
หนึ่งกระบี่วาดออกไปในแนวนอน
แสงกระบี่เส้นหนึ่งปูแผ่ออกไปกลางอากาศคล้ายริ้วแสงที่กระเพื่อมไปบนผิวน้ำ
ผีสาวสวมชุดแต่งงานเหมือน “สาวงามโผล่พ้นน้ำ” ที่ถูกผิวน้ำนี้บั่นเอวขาดท่อน
ชุดเจ้าสาวชุดนั้นร่วงผล็อยลงบนบันไดขั้นบนสุด
ผีสาวกลายร่างเป็นควันดำที่กลิ้งหลุนๆ หายเข้าไปในกรอบป้ายตัวอักษรสีทอง หยดเลือดร่วงลงมาบนพื้นอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าของสตรีที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดปูดนูนออกมาจากในกรอบป้ายเป็นระยะ ส่งเสียงร้องวิงวอนไม่หยุด “ท่านเซียนกระบี่โปรดไว้ชีวิต!”
เซียนกระบี่หนุ่มลงมือสองครั้ง หนึ่งกระบี่ฟาดลงในแนวตั้ง หนึ่งกระบี่เหวี่ยงไปในแนวขวางเท่านั้น ทว่าแค่นี้ก็ทำให้จิตจิตวิญญาณของผีสาวชุดแต่งงานที่โอหังอย่างถึงที่สุดถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน จำเป็นต้องกลับเข้าไปในกรอบป้ายที่เป็นดั่ง “รากภูเขาต้นแม่น้ำ” ของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ถึงจะเอาชีวิตรอดมาได้อย่างถูไถ บนโลกมีคำพังเพยว่า “พึ่งพิงอยู่ใต้ชายคา” อันที่จริงนั่นเป็นการเปิดเผยความลับสวรรค์ส่วนหนึ่งแล้ว ภายใต้ชายคาของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นคานบ้านหรือกรอบป้าย อันที่จริงแล้วมักจะซุกซ่อนความลี้ลับที่ยิ่งใหญ่เอาไว้
จิตใจของหลินโส่วอีหวั่นไหว มิน่าเล่าอาเหลียงถึงบอกว่าผู้ฝึกลมปราณบนโลก จิตใจของผู้ฝึกกระบี่สง่างามที่สุด พลังสังหารรุนแรงที่สุด ไม่มีเหตุผลมากที่สุด น่าเสียดายก็แต่หลินโส่วอีมีคุณสมบัติในการฝึกตนที่ดีมาก แต่กลับไม่เหมาะให้ฝึกกระบี่
หลินโส่วอีรู้สึกเสียดายเล็กน้อยแต่เพียงไม่นานก็ยึดมั่นใจในการฝึกตนของตัวเองไว้ได้ วันหน้าหากตนสามารถอาศัยเวทคาถายิ่งใหญ่ค้ำฟ้า เอาชนะเซียนกระบี่พสุธาที่มีเวทกระบี่ร้ายกาจเช่นนี้ได้จะไม่ยิ่งดีกว่าหรอกหรือ?
แต่หลินโส่วอีก็รู้ชัดเจนดีว่า คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้น่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนในตำนาน หากจะบอกว่าผู้ที่ฝึกยุทธ์อย่างเดียวมีฐานะต่ำกว่าผู้ฝึกลมปราณระดับหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นผู้ฝึกกระบี่ก็คือหนึ่งในผู้ฝึกลมปราณที่มีฐานะเหนือกว่าผู้ฝึกลมปราณทั่วไประดับหนึ่งเสมอ
เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะใครต่างก็ไม่ยินดีจะประมือกับผู้ฝึกกระบี่
เล่าลือกันว่าเคยมีคนคิดคำนวณ ในบรรดาผู้ฝึกลมปราณที่ทำลายสะพานแห่งความอมตะของคู่ต่อสู้มากที่สุด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ฝึกกระบี่ยึดครองตำแหน่งหนึ่งในสาม อีกทั้งยังชนะนักพรตสำนักการทหารที่ลงมือสังหารอย่างเด็ดขาดไม่สนผลบุญและกรรม ต้องรู้ว่าเส้นทางแห่งการฝึกตนมีนับพันนับหมื่น ทุกเส้นทางล้วนมีโชควาสนา เมธีร้อยสำนัก สำนักหลัก สำนักรอง ฯลฯ ผู้ฝึกกระบี่ก็เป็นแค่หนึ่งในนั้นเท่านั้น
ความคิดของเฉินผิงอันไม่ได้ซับซ้อนอย่างหลิวโส่วอี เขาแค่กำลังพิจารณาเรื่องหนึ่ง ที่แท้กระบี่ก็เอามาใช้แบบนี้ได้ด้วย
เซียนกระบี่หนุ่มมือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งถือกระบี่ยาว เอ่ยยิ้มๆ “เรื่องเดียวไม่ควรทำเกินสามครั้ง ฉู่ฮูหยินรับกระบี่จากข้าอีกสักครั้งดีกว่ากระมัง?”
เรือนกายหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่เบื้องใต้กรอบป้ายอย่างเงียบเชียบ คือชายหนุ่มที่อายุน้อยเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าหน้าตาไม่โดดเด่น พาดกระบี่ไว้หลังเอวในแนวขวาง เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ พอได้แล้ว”
เซียนกระบี่ชุดขาวเอ่ยยิ้มๆ “ต้องเรียกว่าเว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนถึงจะถูก”
ไม่พูดอะไรให้มากความ เซียนกระบี่พสุธาที่บอกว่าขอบเขตของตัวเองยังไม่มั่นคงปล่อยกระบี่ออกไปอีกครั้ง
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามสีหน้าไร้อารมณ์ ยื่นมือออกไปกุมด้ามกระบี่แล้วชักออกมาช้าๆ จนกระทั่งได้ชุ่นกว่าก็ไม่ชักออกมาอีก
ทว่าทันใดนั้นตรงกลางระหว่างผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองกลับมีเทือกเขาขนาดเล็กกะทัดรัดโผล่ออกมา แนวเทือกเขาทอดยาวคดเคี้ยวลอยค้างอยู่กลางอากาศ
กระบี่ของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเว่ยจิ้นฟันเทือกเขาเส้นนั้นจนขาด แต่ปณิธานในกระบี่นี้ก็ไม่เหลืออยู่อีก เขาจึงไม่ออกกระบี่อย่างไม่เลิกราต่อ
ห่างออกไปไม่รู้กี่พันลี้ เทือกเขาเส้นหนึ่งที่ยาวนับร้อยลี้ ยอดเขาที่สูงที่สุดปริแตกเกิดเป็นหุบเขาขนาดใหญ่ประหนึ่งถูกเซียนใช้กระบี่ฟันเบะ