กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 130.1
การพบกันโดยบังเอิญในธารน้ำแห่งชีวิต ต่างคนต่างหมุนวนอยู่ในวงของตน จากนั้นก็แยกย้ายกันไป
กลุ่มของผู้เฒ่าตาบอดที่มีฉายาว่าเสวียนกู่จื่อเดินกันไปเงียบๆ ตลอดทาง นี่ทำให้จิ่วเอ๋อร์แม่นางน้อยรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินนัก
แม้ว่าเด็กหนุ่มขาเป๋จะไม่เต็มใจมอบหินดีงูก้อนนั้นให้อีกฝ่าย แต่หลังจากคิดไม่ตกอยู่ชั่วครู่ก็ยังเป็นฝ่ายยื่นส่งให้กับอาจารย์ที่มีนิสัยเลวร้าย
ผู้เฒ่ารับก้อนหินเนื้อละเอียดมาลูบคลำอยู่กลางฝ่ามือครู่หนึ่ง แล้วคืนให้กับเด็กหนุ่มอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “เจ้าเก็บไว้เองเถอะ”
เด็กหนุ่มขาเป๋รับก้อนหินมาด้วยความมึนงง มองหน้าจิ่วเอ๋อร์น้อย ฝ่ายหลังก็ส่ายหน้าเงียบๆ บอกให้รู้ว่าตัวเองก็เดาใจอาจารย์ไม่ออกเหมือนกัน
ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเบา “เจ้าเป๋น้อย นี่คือโชควาสนาของเจ้า อาจารย์รับมาไม่ได้ หากรับมาจริงๆ กลับไม่ใช่เรื่องดี เจ้าคิดว่าทำไมเด็กหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้นจะต้องเขียนจดหมายส่งกลับไปที่อำเภอหลงเฉวียน ข้าคาดว่าหากไปถึงร้านไท่สุ่ย ร้านฉ่าวโถวอะไรนั่นแล้วเป็นอาจารย์ที่แสดงหินดีงูไม่ใช่เจ้า พวกเราที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นคงไม่มีวันสบาย อาจไม่ได้ถูกคนกลั่นแกล้งให้ลำบากใจเสมอไป แต่ก็อย่าได้คิดจะตั้งตัวอย่างมั่นคง ยิ่งไม่ต้องหวังว่าจะหาภูเขาสักลูกไว้ฝึกตนใต้ชายคาผู้อื่นเลย”
เด็กหนุ่มขาเป๋ร้องอ้อหนึ่งที เขาไม่ใช่คนที่ชอบทำอะไรวกไปวนมา ไม่ถนัดใคร่ครวญถึงปัญหาพวกนี้
ผู้เฒ่าตาบอดลูบศีรษะของแม่นางน้อย “พวกเจ้าสองคนช่างมีโชคจริงๆ”
จิ่วเอ๋อร์น้อยมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนยิ่งกว่าพี่ชายตัวเอง จึงถามว่า “อาจารย์ พวกกลุ่มของพี่หญิงน้อยคงมีชาติกำเนิดไม่ธรรมดาใช่หรือไม่?”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “อำเภอหลงเฉวียนแห่งนั้น เดิมทีคือถ้ำสวรรค์หลีจูที่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือราชวงศ์ต้าหลี หลังจากปริแตกก็ร่วงลงมาตั้งรกรากอยู่บนพื้นดิน ก่อนหน้านี้มีอริยะลัทธิขงจื๊อฉีจิ้งชุนเฝ้าพิทักษ์หกสิบปี ตอนนี้เด็กพวกนี้สะพายหีบหนังสือ แต่ละคนฉลาดไม่น้อยไปกว่ากัน บอกว่าจะเดินทางไปยังสำนักศึกษาที่ต้าสุย ถ้าอย่างนั้นเจ้าว่า พวกเขาจะเป็นศิษย์ของใคร?”
แม่นางน้อยรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย “ลูกศิษย์ของอริยะลัทธิขงจื๊อ ร้ายกาจจริงๆ”
ผู้เฒ่าตาบอดหลุดหัวเราะพรืด “หาไม่แล้วเรื่องแรกที่เว่ยจิ้นเซียนกระบี่ศาลลมหิมะทำจะเป็นการเดินทางมาช่วยพวกเขาหรือ? อีกอย่างข้างกายของเด็กเหล่านี้ยังมีเทพหยินตนหนึ่งคอยให้การปกป้อง ถึงขนาดสามารถเป็นภัยคุกคามต่อรากฐานภูเขาและต้นกำเนิดแม่น้ำของผีสาวที่ดุร้ายตนนี้ได้ เด็กพวกนี้ไม่มีใครที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมันเลยสักคน”
ผู้เฒ่าทอดถอนใจ “อนาคตกว้างไกลไร้ขีดจำกัด อนาคตกว้างไกลไร้ขีดจำกัดจริงๆ”
แม่นางน้อยรู้สึกตัวช้าไปสักเล็กน้อย จึงถามอย่างใคร่รู้ “ในเมื่ออาจารย์รู้ว่าพวกเขามียอดฝีมือคอยปกป้อง ทำไมจะต้องทำในสิ่งที่เกินความจำเป็น บอกให้พวกเขารู้เรื่องผีร้ายบนภูเขาซานจือด้วยล่ะ พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเลย”
ผู้เฒ่ายื่นมือออกมาหยิกแก้มแม่นางน้อยด้วยความเคยชิน เอ่ยยิ้มๆ “เด็กโง่ นี่แรกว่ามอบผลประโยชน์ให้คนอื่นโดยที่ตัวเองไม่เสียหาย ไม่ต้องจ่ายเงินสักแดงเดียว แต่ได้เป็นคนดี ทำไมถึงจะไม่ทำล่ะ?”
แม่นางน้อยกล่าวอย่างขลาดๆ “แต่หากเขามองความคิดของอาจารย์ออก ก็ไม่กลายเป็นว่าอาจารย์วาดงูเติมขา (หมายถึงการกระทำที่เกินความจำเป็น) หรือ?”
ผู้เฒ่าหัวเราะขำ ส่ายหน้าถอนหายใจ สุดท้ายตบศีรษะของแม่นางน้อยเบาๆ “วันหน้าอาจารย์จะดีกับพวกเจ้าสองคนให้มากหน่อย หลายปีมานี้อาจารย์เอาแต่คิดว่าวันไหนจะโชคดีเก็บลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำมาได้จากข้างทาง มักจะรังเกียจที่พวกเจ้าสองคนชาติกำเนิดไม่ดี ที่มาไม่ถูกต้อง คิดไม่ถึงว่าเมื่อย้อนกลับมาดูแล้ว กลับเป็นอาจารย์ที่มองไม่เห็นเงาใต้โคมไฟ”
แม่นางน้อยรู้สึกกลัวเล็กน้อย ผู้เฒ่าที่เป็นแบบนี้เหมือนคนแปลกหน้ายิ่งนัก สีหน้าของนางซีดขาว “อาจารย์ ท่านถูกผีสิงหรือเปล่า จิ่วเอ๋อร์ไม่รู้จักท่านแล้ว”
ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเสียงดัง แล้วพลันกดเสียงลงต่ำ “จิ่วเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้อาจารย์รับปากเจ้าว่าจะไม่รับยันต์น้ำพุภายในเวลาหนึ่งปี ตอนนี้ขอปรึกษากับเจ้าหน่อย เปลี่ยนจากหนึ่งปีเป็นครึ่งปี ได้ไหม? เจ้าคิดดูนะ รอบนี้อาจารย์ปราบปีศาจกำจัดมาร ตบะของอาจารย์สูงแค่หนึ่งฉื่อ แต่มารสูงตั้งหนึ่งจั้ง ถูกผีสาวเล่นงานเสียอ่วม ไม่เพียงแต่อักษรบนธงหายไปสี่ตัว ยังต้องมอบ ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่สืบทอดมาจากอาจารย์ให้คนอื่นไปด้วย พวกเจ้าเป็นลูกศิษย์จะไม่สงสารอาจารย์ ไม่คิดกตัญญูต่ออาจารย์บ้างเลยหรือ?”
แม่นางน้อยรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก นี่ต่างหากถึงจะเป็นอาจารย์ที่นางคุ้นเคย ดังนั้นนางจึงตอบรับอย่างฉับไว “ครึ่งปีก็ครึ่งปี!”
เด็กหนุ่มขาเป๋เก็บหินก้อนนั้นไว้เป็นอย่างดีแล้วกล่าวทื่อๆ “ก้อนหินเป็นของข้าแล้ว”
ผู้เฒ่าตาบอดพลันเกิดโทสะ สบถด่าเสียงดัง “สันดานสุนัขไม่เลิกกินขี้!”
แม่นางน้อยยกมือปิดปากแอบหัวเราะ
เด็กหนุ่มขาเป๋ก็หัวเราะตามไปด้วย
……
ตรงจุดที่ไม่มีผู้คน เทพหยินผู้นั้นเผยร่างจริง แต่ใบหน้ายังคงพร่าเลือน ควันดำโอบล้อมทั่วร่าง แผ่ไอเย็นอึมครึม เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ปกป้องพวกเจ้าไม่ได้ ทั้งยังทำให้พวกเจ้าถูกลักพาตัวไปที่จวนของผีสาว ขอโทษด้วย”
เฉินผิงอันไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะปลอบคนอื่นอย่างไร เงียบไปนานกว่าจะพูดออกมาว่า “ทำเต็มที่ก็พอแล้ว”
เทพหยินยิ้มบาง “ไม่ว่าจะอย่างไร ครั้งนี้ข้าก็ไม่อาจจะปฏิเสธความรับผิดชอบได้ โดยเฉพาะเป็นข้าที่ละโมบในตบะส่วนตัวถึงได้ทำให้พวกเจ้าเดือดร้อน จนต้องตกอยู่ในสภาพนี้ ข้าไม่อาจสงบใจได้จริงๆ หากเกิดเรื่องกับพวกเจ้า ต่อให้สุดท้ายแล้วข้าต้องทำลายรากฐานภูเขาและต้นกำเนิดแม่น้ำของที่แห่งนี้แล้วพินาศไปพร้อมกับผีสาว ก็ไม่มีความหมายอะไรอีก”
หลี่เป่าผิงยิ้ม “ตอนยังเด็ก พี่ชายใหญ่ของข้าชอบเล่าเรื่องประหลาดให้ข้าฟัง มีครั้งหนึ่งพูดถึงเรื่องของเทพอภิบาลเมือง ว่ากันว่าวิถีทดสอบความดีความชั่วไม่ค่อยเหมือนกัน ข้าจำได้แม่นยำมาก นั่นก็คือคนบางคนจงใจทำดี แม้จะเป็นเรื่องดี แต่ไม่ควรให้รางวัลเขา คนบางคนไม่ได้จงใจทำเรื่องไม่ดี แม้ว่าจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็ไม่ต้องลงโทษเขา กำลังของคนเราย่อมต้องมีวันที่ใช้หมด เมื่อทุ่มสุดแรงและสุดใจแล้วก็ไม่ต้องรู้สึกผิด หาไม่แล้วเป็นคนเหนื่อย เป็นผีก็เหนื่อยเหมือนกัน”
เทพหยินพูดไม่ออก ถูกแม่นางน้อยคนหนึ่งสั่งสอนอย่างเต็มไปด้วยเหตุผล แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะเปิดเผยท่าทีของวิญญูชนออกมา แต่จะอย่างไรก็ยังอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้
แม่นางน้อยตกสู่ภวังค์ของโลกตัวเองอีกครั้ง จู่ๆ ก็ให้รู้สึกเจ็บใจ ใช้หมัดทุบฝ่ามือตัวเอง “พี่ชายใหญ่มักจะเล่าเรื่องประหลาดพวกนี้เสมอ ตอนนั้นฟังก็เพราะคิดว่าน่าสนใจเท่านั้น หากรู้แต่แรกข้าควรจะตั้งใจมากกว่านี้”
เฉินผิงอันจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เทพหยินมองมายังเฉินผิงอัน พูดยิ้มๆ ว่า “พวกเราคุยกันเป็นการส่วนตัวหน่อยได้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ บอกให้พวกหลินโส่วอีสามคนเดินนำไปก่อน
เทพหยินรอจนพวกหลินโส่วอีเดินห่างไปได้ประมาณครึ่งลี้แล้วเปิดปากว่า “ข้าคือคนที่หยางเหล่าโถวของร้านยาส่งมาให้คุ้มครองหลี่ไหว”
เฉินผิงอันเกาหัว “ข้ายังนึกว่าเจ้ามาคุ้มครองเป่าผิงหรือไม่ก็หลินโส่วอี”
เทพหยินจึงคลี่ยิ้ม “หลี่เอ้อร์พ่อของหลี่ไหวเกือบจะเล่นงานซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นจนตาย ร้ายกาจมาก เคยมีครั้งหนึ่ง หลี่เอ้อร์ไปหาหยางเหล่าโถวแล้วบอกว่าภรรยาเขาถูกคนรังแก เขาจะออกจากภูเขาไปคิดบัญชีกับบรรพบุรุษของคนตระกูลนั้น จะต้องไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูให้ได้ หยางเหล่าโถวเห็นว่าเขายืนกรานจึงได้แต่ตอบรับ ผลกลับกลายเป็นได้ยินว่าภายหลังมีตระกูลเซียนที่รากฐานไม่ธรรมดาแห่งหนึ่งในบุรพแจกันสมบัติทวีปถูกหลี่เอ้อร์ใช้หมัดต่อยศาลบรรพชนจนพังพินาศ อีกทั้งยังบุกทำลายล้างตั้งแต่ตีนเขาไปถึงยอดเขา”
เฉินผิงอันอ้าปากกว้าง
ไหนบอกว่าหลี่เอ้อร์เป็นผู้ชายที่ไม่เอาถ่านที่สุดของเมืองเล็กไม่ใช่หรือ? แม้แต่หลี่ไหวลูกชายแท้ๆ ของเขาเองก็ยังคิดแบบนี้เหมือนกัน
เฉินผิงอันถามด้วยความสงสัย “ทำไมหลี่เอ้อร์ถึงไม่บอกหลี่ไหว?”
ดูเหมือนว่าพอพูดถึงหลี่เอ้อร์ อารมณ์ของเทพหยินจะดีขึ้นมาก “หลี่เอ้อร์มีนิสัยดื้อรั้นมาก ไม่อย่างนั้นก็คงไม่แต่งมารดาของหลี่ไหวมาเป็นภรรยา”
เฉินผิงอันยิ้มอารมณ์ดี “ถ้าวันหน้ารู้ความจริง หลี่ไหวคงดีใจแย่”
เทพหยินเอ่ยถาม “เจ้าไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับหลี่ไหวหรือ? ตอนที่อยู่จุดพักม้าเจิ่นโถว เจ้ายังบอกความจริงกับหลี่เป่าผิงอย่างตรงไปตรงมา ต่อให้อาเหลียงจะเกลี้ยกล่อมเจ้าว่าอย่ารีบร้อนบอกนางก็ตาม”
เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้าช้าๆ “เรื่องที่เกี่ยวกับข้า ข้ารู้สึกว่าถูกต้อง แน่นอนว่าต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ในเมื่อบิดาของหลี่ไหวไม่ต้องการจะบอกลูกชายตัวเอง ข้าเป็นเพียงแค่คนนอกจะอาศัยอะไรไปบอกความจริงหลี่ไหว? หรือเพียงแค่เพราะข้ารู้สึกว่าทำแบบนี้หลี่ไหวจะอารมณ์ดี? แบบนั้นไม่ดีหรอก”
เทพหยินพยักหน้ารับ ในใจคิดว่ามิน่าเล่าปีนั้นหลี่เอ้อร์ถึงไม่เห็นดีกับพวกผู้เป็นความภาคภูมิใจแห่งสวรรค์ทั้งหลาย แต่กลับเห็นความสำคัญกับเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงผู้นี้ ถึงขั้นยอมแหกกฎเพื่อเขาโดยไม่เสียดาย คิดจะมอบปลาหลี่สีทองพร้อมกับข้องราชามังกรให้เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันพลันชะงักฝีเท้า เอ่ยถาม “เพราะว่าสายตาข้าดีมาก อีกทั้งตอนนั้นยังเป็นกังวลว่าเจ้าจะเป็นคนไม่ดี ดังนั้นข้าจึงจำได้อย่างชัดเจนว่าครั้งแรกที่ท่านผู้อาวุโสเทพหยินเผยตัว ได้มองมาที่ข้าเป็นคนแรก จากนั้นค่อยมองไปที่หลี่ไหว นี่เป็นเพราะอะไร? เป็นเพียงการกระทำโดยไม่ตั้งใจหรือ? หากไม่อยากจะตอบ ผู้อาวุโสเทพหยินก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้ถาม”
หากเทพหยินเป็นคนที่มีชีวิตจริงๆ ต้องปากคอแห้งผาก เหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็มแน่นอน
ตอนนั้นไหนเลยที่เขาจะนึกได้ว่าเฉินผิงอันจะเป็นคนละเอียดอ่อนขนาดนี้ และสายตาของเขาในเวลานั้นที่กวาดผ่านไปอย่างรวดเร็วก็ไม่นับว่าอำพรางเจตนารมณ์ไว้อย่างตื้นเขินนัก
แต่พอนึกถึงการแสดงออกของเฉินผิงอันตลอดการเดินทาง เทพหยินก็พลันปล่อยวาง น่าจะเป็นเพราะนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้เฉินผิงอันเอาชนะใจคนได้
ต่อให้ตอนนี้หลินโส่วอีจะเลื่อนมาเป็นห้าขอบเขตกลาง กลายมาเป็นเทพเซียบนภูเขาอย่างแท้จริงแล้ว แต่หลี่เป่าผิงก็ยังเชื่อฟังเฉินผิงอัน หลี่ไหวเองก็เหมือนกัน ส่วนเทพหยินอย่างเขา เกรงว่าก็คงไม่ใช่ข้อยกเว้น ในสายตาของเขา หลินโส่วอียังคงเป็นเพียงเด็กหนุ่มรุ่นเล็กที่ฉลาดมากและพรสวรรค์ดีมากเท่านั้น
ความรู้สึกเช่นนี้มหัศจรรย์อย่างมาก
ดูเหมือนว่าบนร่างของเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงจะมีลักษณะที่ทำให้คนรู้สึก “จิตใจสงบสุข” และ “มีเหตุผลน่าเชื่อถือ”
เด็กหนุ่มบอกว่าเรื่องนี้ไม่ถูก คนอื่นๆ ในกลุ่มก็จะรู้สึกว่าไม่ถูก
เด็กหนุ่มบอกว่าเรื่องนี้ทำได้ นั่นก็แสดงว่าทำได้
แต่ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นก็คือ เด็กหนุ่มไม่เคยจงใจโอ้อวดข้อดีใดๆ ของตนเลยแม้แต่ครั้ง
ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เขาเรียนรู้ตัวอักษรและเรียนหนังสือจากแม่นางน้อยที่เรียกตัวเองว่าอาจารย์อาน้อยอย่างตั้งใจ เขายังถึงขั้นไม่เคยมองหลี่ไหวเป็นเด็กไม่รู้ความ แล้วก็ยอมคุยเล่นกับหลินโส่วอี ฟังฝ่ายหลังคุยเรื่องฟ้าดินด้านนอก