กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 131.2
เมืองเล็กเจริญรุ่งเรืองและจอแจมากขึ้นทุกวัน
นอกจากเด็กหนุ่มชุยฉานจะต้องไปอ่านหนังสือในโรงเรียนที่ถูกทิ้งร้างทุกวันแล้ว เวลาปกติจะอาศัยอยู่ในบ้านเก่าสกุลหยวน ทุกวันเขาจะต้องย้ายเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งอยู่ด้านข้างเพดานเปิดโล่งอันเป็นจุดรวมตัวของน้ำและลม มักจะนั่งเหม่อครั้งหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งถึงสองชั่วยาม บางครั้งจะไปเดินเล่นยังโรงเรียนที่เปิดใหม่ด้วยเงินทุนของสกุลเฉินเมืองหลงเหว่ย แต่เพียงครู่เดียวก็จากมา
อู๋ยวนนายอำเภอหลงเฉวียนถูกปลดตำแหน่งผู้ตรวจการงานเตาเผาอย่างเป็นทางการแล้ว ว่ากันว่าผู้ที่จะมารับตำแหน่งคนต่อไปคือเด็กหนุ่มผู้มีความสามารถของสกุลเฉาอันเป็นเสาเอกของบ้านเมือง และสกุลเฉากับสกุลหยวนอันเป็นตระกูลของพ่อตาอู๋ยวนในอนาคตก็ขึ้นชื่อว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตในราชสำนักต้าหลี เพียงแค่พูดไม่ถูกหูกันคำเดียวก็สามารถลงมือต่อยตีไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ใดก็ตาม และการที่พลเอกสองท่านผู้กุมอำนาจสำคัญแห่งแว่นแคว้นจะชี้หน้าด่ากันในท้องพระโรงเล็กๆ อันเป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าขุนนางก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ฮ่องเต้เคยพูดโน้มน้าวดีๆอยู่หลายครั้ง บางครั้งทรงกริ้วก็ให้ขุนนางใหญ่ผู้มีคุณูปการทั้งสองท่านไสหัวกลับไปทะเลาะกันที่บ้าน จะอย่างไรซะบรรพบุรุษของสองตระกูลก็เป็นเพื่อนบ้านกันอยู่แล้ว ว่ากันว่าเด็กๆ ของสองบ้านเรียนรู้ที่จะปีนกำแพงขว้างปาข้าวของสารพัดชนิดไปยังบ้านติดกัน เจ้าขว้างก้อนอิฐ ข้าโยนก้อนดิน ผลัดกันรับผลัดกันส่งเป็นมาตั้งแต่ยังเล็ก
อู๋ยวนมาเยือนครั้งนี้เพื่อขอคำปรึกษาจากอาจารย์ด้วยความร้อนตัวเล็กน้อย “อาจารย์ ทางฝ่ายกรมขุนนางของราชสำนักมีตระกูลเฉาเป็นผู้ครอบครองที่ดินมาโดยตลอด เพราะข้ายังไม่สามารถคลี่คลายปัญหาได้ จึงคิดฉวยโอกาสเตรียมโยนข้ากลับไปเมืองหลวงให้ไปเป็นขุนนางว่างงานของกรมใดกรมหนึ่งหลายๆ ปีก่อนใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่”
ชุยฉานยังคงนั่งอย่างสงบอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ตัวนั้น เอ่ยเสียงเรียบเรื่อย “ชาติกำเนิดของเฉาจี้เป็นอย่างไร? ความสามารถเป็นอย่างไร?”
อู๋ยวนยิ้มขื่น “ชาติกำเนิดเหนือข้า ความสามารถก็ไม่ธรรมดา”
“แข่งขันกับคนประเภทนี้ เป็นการบอกให้รู้ว่าเจ้าอู๋ยวนยังพอมีความสามารถพอดีไม่ใช่หรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าต่างหากที่เป็นนายอำเภอหลงเฉวียน เฉาจี๋ก็เป็นแค่ขุนนางตราตรางานเตาเผาเท่านั้น ตอนนี้เตาเผามังกรเพิ่งจะถูกสั่งเปิดใหม่อีกครั้ง เขาก็แค่มาเก็บกวาดงานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตบางส่วน ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงอย่างที่เจ้าคิด”
ราชครูหนุ่มที่กลางหว่างคิ้วมีใฝสีแดงหนึ่งเม็ดมองเพดานสี่เหลี่ยมที่โล่งกว้าง “แน่นอนว่าสกุลเฉาคิดจะเหยียบย่ำเจ้าเพื่อเดินขึ้นสูง ตอนนี้ก็ต้องดูที่ว่าเจ้ามีความสามารถที่จะกลายมาเป็นพยัคฆ์ดักทาง (เปรียบเปรยถึงอุปสรรคขัดขวาง) ในวงการขุนนางของเฉาจี๋ได้หรือไม่ ขวางไม่ได้ สกุลหยวนจะยอมยกบุตรสาวให้แต่งงานกับเจ้าหรือไม่ก็พูดยากแล้ว หากขวางเฉาจี๋ที่ถูกสกุลเฉาฝากความหวังไว้สูงได้ ไม่แน่ว่าสกุลหยวนอาจจะขอร้องให้เจ้าไปสู่ขอสตรีผู้นั้นด้วยตัวเองเลยก็ได้”
ชุยฉานปรายตามองอู๋ยวน “ฮ่องเต้เลือกใช้คน ให้ความสนิทสนมแตกต่างกันก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่สำหรับการให้รางวัลหลังสร้างคุณความชอบนั้นกลับไม่เคยลำเอียง แต่สืบสาวกันถึงแก่นแล้ว สุดท้ายก็ยังต้องดูที่ความสามารถแท้จริงของพวกเจ้าแต่ละคน”
อู๋ยวนเอ่ยยิ้มๆ “ได้ฟังอาจารย์ช่วยไขข้อข้องใจ ศิษย์ก็อารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว”
ชุยฉานแค่นเสียงเย็น “เจ้าอารมณ์ดีมากแล้ว แล้วอาจารย์อย่างข้าล่ะจะทำยังไง?”
อู๋ยวนแสร้งทำเป็นหูทวนลม ยืนหยัดเด็ดเดี่ยวว่าจะไม่ตอบโต้เด็ดขาด
จู่ๆ ชุยฉานก็พูดประโยคนี้ขึ้นมา “เจ้าคิดยังไงกับเรื่องที่หร่วนซิ่วบุตรสาวคนเดียวของอาจารย์หร่วนไปมีเรื่องกับคนนอก?”
อู๋ยวนครุ่นคิดเล็กน้อย ไม่นานก็ตอบว่า “แม้ว่าหร่วนซิ่วจะลงมือหนักไปหน่อย แต่จะอย่างไรซะเจ้าคนปัญญาอ่อนที่คิดว่าตัวเองหล่อเหลาผู้นั้นก็ตอแยนางก่อน นางเคยเตือนไปแล้วหลายครั้ง ไม่สมเหตุ แต่ก็สมผล หาความผิดใหญ่ไม่เจอ แล้วนับประสาอะไรกับที่ก่อนหน้านั้นหร่วนฉงบิดาของนางลงมือครั้งใหญ่ สังหารขึ้นไปถึงชั้นฟ้าเหนือถ้ำสวรรค์หลีจู ภายหลังจึงไม่มีนักพรตคนไหนกล้าละเมิดกฎเกณฑ์อีก มีบิดาอย่างไรย่อมต้องมีบุตรสาวอย่างนั้น…”
ชุยฉานเริ่มหงุดหงิด คงเพราะรังเกียจที่ศิษย์ของตนผู้นี้โง่เขลาเกินไปจึงพูดโพล่งรัวยาวเหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ “ใต้เท้าอู๋ของข้า รบกวนเจ้าช่วยไปตรวจสอบอย่างละเอียดหน่อยว่าทำไมเจ้าคนปัญญาอ่อนผู้นั้นถึงได้มีเวลาว่างเดินเที่ยวเตร็ดเตร่ไปทั่ว แล้วทำไมถึงได้ผ่านร้านในตรอกฉีหลงที่หร่วนซิ่วพอดี แล้วแล้วทำไมถึงได้ไม่รู้สถานะของนางแม้แต่น้อย แล้วแล้วแล้วทำไมช่วงเวลาที่ตระกูลซื้อภูเขาผูกมิตรกับต้าหลี เขาถึงได้ไม่รู้จักหนักเบาเช่นนี้ หากจะบอกว่าเรื่องสองเรื่องเป็นความบังเอิญ แต่นี่มีเรื่องบังเอิญมากมายขนาดนั้น เจ้าไม่แปลกใจหรือ? บนโลกมีบุรุษที่ทั้งโง่ทั้งบ้ากามอยู่มาก แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีคุณสมบัติเป็นตัวแทนของตระกูลมาเผยตัวที่นี่ อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ในการฝึกตนไม่ธรรมดา เหตุใดถึงซวยซ้ำซวยซ้อนนัก?”
เด็กหนุ่มพูดชวนให้ขบขัน แต่อู๋ยวนที่ฟังกลับมีสีหน้าจริงจัง อารมณ์ไม่ผ่อนคลายแม้แต่น้อย
กล่าวมาถึงสุดท้าย เด็กหนุ่มก็เริ่มสบถอยู่กับตัวเอง ยกมือทั้งคู่ขยี้ซีกหน้าตัวเองอย่างแรง “หากจะพูดกันจริงๆ แล้ว สภาพข้าน่าอนาถกว่าเจ้าคนบ้ากามผู้นั้นเสียอีก แต่ข้าดวงซวยจริงๆ นะ! อู๋ยวน ไม่สู้เจ้ายื่นหน้ามาให้อาจารย์ตบบ้องหูระบายโทสะหน่อย ดีไหม?”
เห็นๆ กันอยู่ว่าจะโดนตบฟรี และอู๋ยวนก็ไม่ใช่คนโง่ “อาจารย์ ข้าว่าช่างมันเถอะ”
เด็กหนุ่มพูดเสียงขุ่นเคือง “เป็นอาจารย์หนึ่งวันเป็นบิดาชั่วชีวิตนะ นิสัยของเจ้าเหมือนข้า มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นพวกหลอกลวงลบล้างบรรพจารย์เหมือนกัน รอให้สถานการณ์ที่อำเภอหลงเฉวียนมั่นคงแล้ว เจ้าก็หาเวลาว่างไปเมืองหลวงสักรอบ ไปปรึกษาเรื่องสร้างสำนักศึกษาบนเขาพีอวิ๋นกับ…กับข้าคนนั้นต่อ”
อู๋ยวนพยักหน้ารับ มองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้า
เด็กหนุ่มโบกมือไล่คน “ไปทำธุระของเจ้าเถอะ”
อู๋ยวนจึงลุกขึ้นยืนแล้วบอกลา
ในบ้านเดิมของสกุลหยวนหลังนี้ นอกจากเด็กหนุ่มเงียบขรึมหน้าตางามประณีตผู้นั้นแล้ว หลังจากที่อู๋ยวนออกเดินทางอย่างลับๆ ครั้งหนึ่งก็ได้พาเด็กหนุ่มนักโทษคนหนึ่งที่ชื่อว่าเซี่ยอวี๋ลู่มาให้ชุยฉานอาจารย์ผู้มีพระคุณ อายุสิบสี่ปี เรือนกายสูงเพรียว แข็งแรงไม่แพ้ชายร่างกำยำ ใบหน้าหล่อเหลาดุจหยก องอาจผ่าเผย คือหนังหุ้มชั้นเยี่ยม แต่ไม่รู้ว่าทำไมชุยฉานถึงให้เขาเปลี่ยนชื่อเป็นอวี๋ลู่ (อ่านเหมือนกันแต่เขียนคนละแบบ ชื่อแรกเขียนว่า 余禄 แปลว่าเงินทองเหลือเฟือ แต่แบบหลังเขียนว่า 于禄 ซึ่งไม่มีความหมายที่แน่ชัด) ต่อให้เด็กหนุ่มจะไม่พอใจแค่ไหนก็ได้แต่ยอมรับเงียบๆ
น่าจะเป็นเพราะเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เปลี่ยนชื่อเป็นอวี๋ลู่หลุดพ้นมาจากสภาพยากลำบากดุจจมน้ำลึกดั่งถูกไฟแผดเผา หรืออาจจะเป็นเพราะมีนิสัยร่าเริงมาตั้งแต่เกิด เวลาที่อยู่ว่างๆ จึงมักจะทำความสะอาดบ้านบรรพบุรุษของสกุลหยวนหลังนี้ ตั้งแต่ชั้นหนึ่งไปจนถึงชั้นสอง สุดท้ายถึงขนาดปีนขึ้นไปรื้อกระเบื้องเก่าบนหลังมาซ่อมใหม่ หากไม่เป็นเพราะชุยฉานรำคาญที่เด็กหนุ่มทำเสียงดังจึงเรียกมาด่าไปรอบหนึ่ง คาดว่าเด็กหนุ่มคนนี้อาจถึงขั้นทาสีให้กับผนังของบ้านหลังนี้หนึ่งรอบ
ถ้วยโถโอชามในบ้านล้วนถูกอวี๋ลู่ทำความสะอาดจนไม่มีฝุ่นเกาะแม้แต่เม็ดเดียว ทุกครั้งที่อู๋ยวนมาเยี่ยมหาอาจารย์ผู้มีพระคุณจะต้องเห็นอวี๋ลู่ง่วนอยู่กับการทำงานบ้าน พอเห็นตน นอกจากจะส่งยิ้มบางๆ ให้แล้วก็มักจะยืนกอดไม้กวาดอยู่ที่ไกลๆ รอส่งให้ตนจากไปด้วยความอดทน หลังจากส่งแขกอย่างมีมารยาทเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มก็จะเริ่มทำงานของข้ารับใช้อย่างการปัดกวาดเช็ดถู อีกทั้งเด็กหนุ่มยังมีความสุขกับสิ่งที่ทำ นี่ทำให้อู๋ยวนคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ คงไม่ใช่เพราะว่าบ้านเมืองและตระกูลของเด็กหนุ่มคนนี้ถูกทำลาย ตัวเขากลายมาเป็นนักโทษชั้นต่ำ สร้างความสะเทือนใจให้แก่เขามากเกินไปจึงเป็นเหตุให้สมองของเขาเกิดปัญหาหรอกกระมัง?
หลังจากที่อวี๋ลู่คุ้นเคยกับชีวิตที่ต้องยุ่งวุ่นวายอยู่กับการทำความสะอาดบ้านบรรพบุรุษแล้ว ชุยฉานที่ในชายแขนเสื้อมีจดหมายลับเพิ่มขึ้นมาหนึ่งฉบับก็พาคนแปลกหน้าอีกคนหนึ่งกลับมาที่บ้าน นี่คือเด็กสาวเรือนกายอรชร แต่ใบหน้ากลับดำคล้ำคนหนึ่ง หน้าตานางนับว่าอยู่ในระดับปานกลางค่อนมาช่วงล่างๆ วันๆ เอาแต่ทำสีหน้าแข็งทื่อ มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ยังถือว่ามีความงามอยู่บ้าง
ต่อให้เผชิญหน้ากับราชครูต้าหลี สีหน้านางก็ยังคงไร้อารมณ์ดุจเดิม ไม่มีความหวาดกลัวและไม่คิดจะประจบเอาใจ นี่ทำให้อวี๋ลู่เกิดความเลื่อมใส หลังจากรู้ว่านางเองก็เป็นนักโทษที่ลี้ภัยมาเหมือนกันจึงคิดจะสร้างความสนิทสนมกับนางให้มากขึ้น น่าเสียดายก็แต่เด็กสาวไม่สนใจเขา เวลาทำงานบ้านก็ยิ่งมือเท้างุ่มง่าม เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง ทำจานแตกไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง สุดท้ายอวี๋ลู่ทนไม่ไหวจริงๆ จึงให้นางนั่งพัก เรื่องเล็กเรื่องใหญ่เขาเหมาทำเองคนเดียว ซื้อข้าวปลาอาหารแห้ง เข้าครัวทำกับข้าว ไปจนถึงซักเสื้อผ้า นางเองก็ไม่เกรงใจแม้แต่น้อย วันๆ เอาแต่นั่งกระดิกเท้าอยู่บนเก้าอี้ ดูเหมือนเจ้านายยิ่งกว่าชุยฉานที่เป็นเจ้านายตัวจริงเสียอีก และดูเหมือนเด็กสาวจะไม่คิดรับความหวังดีของอวี๋ลู่ ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาตรงๆ กลับคอยปรายตามามองเป็นระยะ ซึ่งดวงตาบนใบหน้าธรรมดานั้นมักจะเผยแววดูแคลนออกมารางๆ
ชุยฉานตบมือแรงๆ “ทั้งสามคนมานี่”
อวี๋ลู่เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่องอาจ เด็กสาวเรือนกายอรชรน่ามอง เด็กหนุ่มดวงหน้างามประณีตไร้ตำหนิล้วนพากันมายืนอยู่เบื้องหน้าชุยฉาน
ชุยฉานเอียงศีรษะมองคนทั้งสาม สุดท้ายสายตาไปหยุดอยู่บนร่างของเด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่ “อวี๋ลู่ เจ้าเป็นตัวหมากที่ข้าช่วงชิงมาตั้งแต่แรก”
“ส่วนเจ้าคือคนที่เหนียงเนียงผู้นั้นต้องได้มาครอบครอง แต่ตอนนี้อำนาจของนางถดถอย มีชีวิตที่ค่อนข้างน่าเศร้า ถูกไล่ให้ไปฝึกตนที่ตำหนักฉางชุนแล้ว หลังจากข้าคนนั้นที่อยู่ในเมืองหลวงต้าหลีได้ควบคุมศาลาใบไผ่แล้วก็ชิงความได้เปรียบส่งตัวเจ้ามาอยู่ที่นี่ ถือว่าข้าพาเจ้าออกมาจากหลุมไฟ เจ้าควรจะขอบคุณข้าถึงจะถูก ดูจากพฤติกรรมที่ต้องใช้เบี้ยในมือให้หมดอย่างไม่ให้สิ้นเปลืองของเหนียงเนียงผู้นั้น หากเจ้าตกอยู่ในกำมือของนาง จุดจบในวันข้างหน้าก็อาจไม่ได้ดีไปกว่าหยางฮวา”
ชุยฉานย้ายสายตามามองเด็กสาว “หลังจากนี้เจ้าคิดจะใช้ชื่อแซ่อะไร? หรือจะเอาอย่างอวี๋ลู่ เปลี่ยนให้หมดเลย?”
เด็กสาวเอ่ยเสียงหวาน “ใต้เท้าราชครู ข้าใช้แค่แซ่เซี่ยเหมือนเดิมก็พอแล้ว”
ชุยฉานครุ่นคิดแล้วก็หัวเราะเสียงดัง “อ้อ? ถ้าอย่างนั้นไม่สู้ให้เจ้าแซ่เซี่ยชื่อเซี่ยไปเลย ชื่อนี้ดูได้เปรียบไม่น้อย เซี่ยเซี่ย (แปลว่าขอบคุณ) เจ้ายังไม่ขอบคุณข้าอีกรึ”
สีหน้าของเด็กสาวยังคงไร้อารมณ์ ทว่าไฟโทสะกลับถูกจุดขึ้นมากลางดวงตากลับ ไม่ว่าเด็กสาวจะพยายามปิดบังอย่างไรก็ไม่อาจซุกซ่อนไว้ได้มิด
ชุยฉานกล่าวอย่างเศร้าใจ “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าข้าก็ไม่ชื่อชุยฉานแล้ว ถ้าพวกเจ้าชอบก็เรียกข้าว่าชุยต้งซานเถอะ หรือจะเรียกข้าว่าคุณชายก็ได้”
ใบหน้าของชุยฉานเต็มไปด้วยความหมดอาลัยตายอยาก “อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย พวกเจ้าไปเก็บสัมภาระ พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางลงใต้ไปตามทางเดินมา มุ่งหน้าสู่ชายแดนเหย่ฟู”
คนทั้งสองไม่มีข้อขัดแย้งอะไร
ชุยฉานมองเด็กหนุ่มหน้าตางามประณีตที่สีหน้าเต็มไปด้วยความรอคอย “ส่วนเจ้าน่ะอยู่ที่นี่ จะไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนของสกุลเฉินก็ได้ ตามใจเจ้า”
เด็กหนุ่มทำหน้าน้อยใจ กำลังจะปลุกความกล้าขอร้องให้ตัวเองได้เดินทางไปด้วย ชุยฉานกลับถลึงตาเดือดดาลใส่เสียก่อน “ไสหัวไป!”
เด็กหนุ่มผงะตกใจ รีบก้าวเร็วๆ จากไปทันที
ชุยฉานลุกขึ้นยืน เดินไปยังห้องหนังสือเล็กๆ ห้องหนึ่งบนชั้นสองแล้วเริ่มยกพู่กันเขียนจดหมาย
เขียนอย่างละเอียดลออตัวอักษรเกือบหมื่นคำ
“ทุกเรื่องมีขอบเขต ทำเลยเถิดเกินไปย่อมไม่ส่งผลดี ราชสำนักต้าหลีเลื่อมใสศรัทธาปัญญาชนมากเกินไป เป็นเหตุให้คนมากมายที่มีชื่อเสียงจอมปลอมใช้กวีและบทเพลงเป็นทางลัดในการแสวงหาความก้าวหน้า เป็นกุญแจที่ไขสู่วงการขุนนาง จำเป็นต้องเปลี่ยนขนบธรรมเนียมนิยมของเมืองหลวงต้าหลีในทุกวันนี้ ห้ามไม่ให้ขุนนางทั้งราชสำนักลามไปถึงชนชั้นล่างในสังคมเอาแต่เชิดชูความรู้ตื้นเขินที่งดงามแต่เปลือกเด็ดขาด จำเป็นให้ความสำคัญกับหลักแห่งสัจธรรม รู้เท่าทันการณ์ เน้นย้ำในการปฏิบัติจริง จำเป็นต้องยึดสองคำว่าหน้าที่และผลงานเอาไว้ให้ดี ต่อให้สกุลซ่งของต้าหลีเปลี่ยนรัชสมัย ไม่ว่าใครที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรล้วนห้ามโยนรากฐานแห่งมหามรรคาที่นำพาเจ้าและข้าสู่ความสำเร็จทิ้งไป”
“คิดจะทำการใหญ่ ต้องค่อยๆ วางแผนให้รัดกุม นี่จึงจะเป็นหลักการที่ถูกต้องแท้จริง”
“ต้องควบคุมงานของกั๋วจื่อเจียนไว้ในมือ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมสามารถดึงการจัดการของสำนักโหราศาสตร์กลับมาเพื่อแลกเปลี่ยนกับการควบคุมกั๋วจื่อเจียนอย่างสมบูรณ์แบบ”
……
เขียนถึงช่วงท้าย ชุยฉานพลันปาพู่กันทิ้งลงพื้นอย่างแรง “ตอนนี้เขียนพวกนี้ไปจะมีประโยชน์อะไร ข้าไม่ใช่ข้าอีกแล้ว เจ้ามันคนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว ยังมีหน้ามาบอกข้าว่า ‘เลิกติดต่อกันชั่วคราว รักษาตัวด้วย’ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็แบ่งสมบัติมาให้ข้าครึ่งหนึ่งสิ ไม่เสียแรงที่เป็นตาเฒ่าชุยฉาน ขี้เหนียวจนแม้แต่ขี้ก็ไม่ให้หมากิน! เจ้าเสวยสุขอยู่ในเมืองหลวง ข้าผู้อาวุโสกลับต้องไปเป็นลูกศิษย์ของคนอื่น สวรรค์ ทำไมเจ้าถึงไม่ส่งสายฟ้ามาผ่าข้าให้ตายไปเลย…”
เด็กหนุ่มที่มีไฝสีชาดกลางหว่างคิ้วร้องไห้โฮด้วยความเจ็บปวดราวใจจะขาด