กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 133.2
ร่วมเดินทาง
ตามกฎที่หร่วนฉงตั้งไว้ เมื่อผู้ฝึกตนอิสระจะข้ามผ่านเขตแดนเข้ามา หากไม่ได้รับอนุญาตจากทางการของต้าหลีเป็นพิเศษ ขอแค่ผ่านท้องฟ้าอันเป็นที่ตั้งเดิมของถ้ำสวรรค์หลีจูก็ล้วนห้ามทะยานกลางอากาศหรือควบคุมกระบี่บินให้บินผ่านทั้งสิ้น หลังจากที่ผู้ฝึกลมปราณที่มีชื่อเสียงเลื่องลือกลุ่มนั้นต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิตคนแล้วคนเล่า ตอนนี้กองกำลังบนภูเขาทั้งหลายของต้าหลีต่างก็ต้องยอมรับกฎระเบียบที่ไม่ค่อยจะมีเหตุผลนี้ไปโดยปริยาย
หลิวป้าเฉียวนักพรตแห่งสวนลมฟ้าลดระดับกระบี่บินลงนอกเขต จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วก็โดยสารรถม้าหรูหราที่ให้เฉพาะนักพรตใช้เร่งรีบเดินทางเข้าไปในอำเภอ ไปเยือนโรงเรียนแห่งใหม่ที่สกุลเฉินแห่งเมืองหลงเหว่ยก่อตั้ง ค้นพบว่าสหายสนิทอย่างเฉินซงเฟิงกำลังสอนหนังสือให้กับเด็กประถมหลายสิบคนด้วยตัวเอง หลังมองเห็นหลิวป้าเฉียวยืนอยู่นอกหน้าต่าง เฉินซงเฟิงก็เตรียมจะหาคนมาสอนหนังสือให้กับพวกเด็กๆ แทนตัวเอง หลิวป้าเฉียวรีบโบกไม้โบกมือ บอกเป็นนัยว่าตนรอได้
ครึ่งชั่วยามต่อมา เมื่อเหล่าเด็กนักเรียนทำความเคารพ อาจารย์เฉินซงเฟิงก็รีบเดินออกมาจากห้องเรียน เดินเคียงไหล่ไปพร้อมกับหลิวป้าเฉียว พอเห็นกระบี่ที่อีกฝ่ายพกมาก็ถามด้วยความประหลาดใจ “นี่ก็คือกระบี่อาญาสิทธิ์อันเลื่องชื่อของลัทธิเต๋า ‘ยันต์ศักดิ์สิทธิ์’ ที่กักขังไว้ในบ่อของเมืองหลวงต้าหลี?”
หลิวป้าเฉียวค้อนตากลับ ยกมือสองข้างขึ้นกุมท้ายทอย “เจ้าสารเลวซ่งจ่างจิ้ง บอกเองว่าจะยกกระบี่อาญาสิทธิ์ให้กับข้า รอให้ข้าไปดึงมันออกมา ผลกลับกลายเป็นว่าตลอดทางที่ข้าเดินทางขึ้นเหนือล้วนมีแต่คนพูดว่ามีคนดึงเอากระบี่อาญาสิทธิ์ไปได้แล้ว ข้ายังไม่เชื่อ นึกว่าเป็นวิธีตบตาตามตำรายุทธพิชัยที่ซ่งจ่างจิ้งเลือกมาใช้ จงใจช่วยปูทางให้กับข้า ผลกลับกลายเป็นว่าพอข้าไปถึงเมืองหลวงกลับดีนัก ดันมีผู้หญิงร้ายกาจคนหนึ่งนามว่าหยางฮวาชิงตัดหน้าข้าไปก่อนแล้ว!”
ยิ่งพูดหลิวป้าเฉียวก็ยิ่งโมโห “ข้าไปหาซ่งจ่างจิ้งเพื่อขอคำอธิบาย เจ้ารู้ไหมว่าเป็นยังไง ซ่งจ่างจิ้งแค่ให้คนเอาความมาบอกข้าว่า หากมีความสามารถก็ให้ข้าไปหาหยางฮวาแล้วแย่งกระบี่อาญาสิทธิ์กลับคืนมาเอง ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่เคยเจอปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางคนไหนหน้าไม่อายอย่างนี้มาก่อน! ภายหลังได้ยินข่าวลือเล็กๆ บอกว่าตอนนี้สตรีผู้นั้นเป็นเทพแม่น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูพวกเจ้า รอเสวยสุขจากควันธูปและการกราบไหว้ของผู้คนแล้ว นี่ก็คือชะตาชีวิตแท้ๆ”
เฉินซงเฟิงอึ้งตะลึง “เจ้ามาอำเภอหลงเฉวียนครั้งนี้ก็เพราะคิดจะชิงยันต์ศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาจากมือเทพวารีผู้นั้นหรือ?”
หลิวป้าเฉียวส่ายหน้า “ข้าหลิวป้าเฉียวเป็นคนอย่างนั้นหรือ?!”
เฉินซงเฟิงยิ่งสงสัย “ไม่ได้มาพบเทพวารีที่เป็นสตรีผู้นั้น แล้วเจ้ามาทำอะไรที่อำเภอหลงเฉวียน?”
หลิวป้าเฉียวถอนหายใจ “ก็แค่ระหว่างที่เดินทางกลับสวนลมฟ้าใช้เส้นทางที่อ้อมเล็กน้อยเลยมาถึงที่นี่ ก่อนหน้านี้ได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับอำเภอหลงเฉวียน หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องที่สกุลเฉินเมืองหลงเหว่ยของพวกเจ้ามาเปิดโรงเรียนอยู่ที่นี่จึงคิดจะมาพบหน้าเจ้าสักครั้ง ไม่ได้มาเพื่อหาเรื่องหยางฮวาหรือชิงยันต์ศักดิ์สิทธิ์เล่มนั้นกลับคืนไปจริงๆ”
เฉินซงเฟิงคลี่ยิ้มบางๆ “ตอนนี้ข้ามาสอนหนังสือคอยไขข้อข้องใจให้กับพวกเด็กประถมอยู่ที่นี่ ตอนแรกก็ยังปรับตัวไม่ได้สักเท่าไหร่ ร่ำๆ จะตบโต๊ะสะบัดแขนเดินจากไปอยู่ร่อมร่อ แต่ตอนนี้เริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว พร่ำบอกตัวเองเป็นประจำว่า ถือเป็นการขัดเกลาจิตใจของตัวเอง”
หลิวป้าเฉียวพยักหน้ารับ “สงบใจสั่งสอนความรู้ เป็นสิ่งที่ดีมาก ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแถวแถบเมืองหงจู๋ตลอดไปจนเมืองหลวงต้าหลี เจ้าได้ข่าวบ้างไหม?”
เฉินซงเฟิงพยักหน้ารับ “แน่นอนว่าต้องได้ข่าวมาสารพัด แต่ฝ่ายในของตระกูลกลับพูดกันไปคนละทิศคนละทาง ข่าววงในที่ได้มาจากช่องทางแตกต่างกันล้วนขัดแย้งกันเอง สุดท้ายก็บอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด”
หลิวป้าเฉียวหัวเราะหึหึ “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าตอนนั้นข้าก็อยู่ที่เมืองหลวงต้าหลี เจ้าอยากรู้ความจริงไหม?”
เฉินซงเฟิงส่ายหน้า “ไม่อยาก ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกตนสักหน่อย ไม่สนใจเรื่องชีวิตอมตะของพวกเจ้าสักเท่าไหร่หรอก”
ก่อนหน้านี้เฉินซงเฟิงก็เคยแบกหีบหนังสือเดินทางไกล ติดตามนักท่องเที่ยวเดินขึ้นเขาสูงไปแต่งกาพย์กลอนไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง ไม่ถือว่าเป็นบัณฑิตผู้อ่อนแอ แต่ครานั้นที่ติดตามหญิงสาวสกุลเฉินแห่งอิ่งอินขึ้นเขา สุดท้ายพลังเท้าและพลังกายของเขากลับสู้เด็กหนุ่มยากจนคนหนึ่งไม่ได้ เป็นเหตุให้ถูกเฉินตุ้นสลัดทิ้ง
อุตส่าห์แสร้งทำเป็นอุบเรื่องสำคัญเอาไว้ แต่ไม่มีคนเออออรับช่วงต่อ หลิวป้าเฉียวย่อมไม่สบอารมณ์ จึงพูดทิ่มแทงอีกฝ่ายเสียเลย “อายุยังน้อย แต่ทำตัวเป็นตาแก่ สมควรแล้วที่ถูกผู้หญิงอย่างเฉินตุ้ยนั่นดูแคลน”
เฉินซงเฟิงหัวเราะร่า “นี่ๆๆ ตีคนอย่าตบหน้า สะกิดแผลเป็นคนอื่นจะเรียกว่าเป็นลูกผู้ชายได้หรือ?”
หลิวป้าเฉียวกดเสียงลงต่ำทำสีหน้าลึกลับ “เจ้าอยากรู้เรื่องใหญ่เทียมฟ้าน่าตะลึงที่เกี่ยวกับภูเขาห้อยหัวหรือไม่?”
เฉินซงเฟิงตอบอย่างไม่ลังเล “ว่ามา!”
หลิวป้าเฉียวพูดหยอก “จุ๊ๆ เมื่อครู่เจ้าเพิ่งบอกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ฝึกตน แต่อยากรู้เรื่องนี้กับเขาด้วยหรือ?”
เฉินซงเฟิงสีหน้าเหนื่อยล้า ใคร่ครวญถ้อยคำอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยช้าๆ ว่า “ไม่ว่าจะเป็นข่าวใดที่ส่งมาจากภูเขาห้อยหัวล้วนเกี่ยวข้องกับใต้หล้าแห่งนั้นทั้งสิ้น และความเคลื่อนไหวใดๆ ของสถานที่แห่งนั้นล้วนสามารถตัดสินสถานการณ์ของตลอดทั้งใต้หล้าได้ ต่อให้แจกันสมบัติทวีปของพวกเราถูกกระทบเพียงริ้วคลื่นที่เล็กที่สุด แต่หากพวกเรารู้ไว้ก่อนก็ไม่แน่ว่าอาจช่วยให้เตรียมหาทางรับมือที่ถูกต้องไว้ได้แต่เนิ่นๆ ต่อให้สุดท้ายแล้วจะได้รับผลประโยชน์เพียงน้อยนิดก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง”
สำหรับเรื่องนี้หลิวป้าเฉียวไม่มีความสามารถพอให้วิจารณ์ ต่างคนต่างมีสถานะและจุดยืนที่แตกต่าง บางครั้งต่อให้คำปลอบใจของคนอื่นจะน่าฟังแค่ไหน แต่หากเรื่องไม่เกิดขึ้นกับตัวเองก็ไม่มีทางเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และหลิวป้าเฉียวเองก็ไม่ต้องการเป็นสหายที่ดีแต่พูดเท่านั้น ในใจของผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมฟ้าผู้นี้ มิตรที่แท้จริงก็คือตอนที่เจ้าเจริญก้าวหน้ามองไม่เห็นเงาของข้าหลิวป้าเฉียว แต่ยามใดที่เจ้ามีปัญหาร้อนใจ ต้องการคนช่วยสนับสนุน ถึงขั้นที่ว่าเจ้าไม่ต้องพูดอะไร ข้าหลิวป้าเฉียวก็มายืนอยู่ข้างกายเจ้าแล้ว
หลังจบเรื่อง ปัญหาคลี่คลายแล้ว ไม่ต้องเอ่ยขอบคุณ และหากข้าหลิวป้าเฉียวตายอยู่ท่ามกลางปัญหาครั้งนี้ เจ้าเองก็ไม่ต้องละอายใจ
หลิวป้าเฉียวยื่นนิ้วชี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ “อันที่จริงข้าก็ไม่ได้รู้อะไรมาก รู้แค่ว่าทวีปใหญ่ที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือสุดของใต้หล้าเรา ซึ่งถือเป็นถิ่นสุดท้ายของผู้ฝึกกระบี่ ภายใต้คำสั่งเรียกรวมตัวของเซียนกระบี่ใหญ่สองท่านในพื้นที่ ผู้ฝึกกระบี่เกินครึ่งทวีปล้วนเร่งรุดเดินทางไปยังภูเขาห้อยหัว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนที่เซียนกระบี่เหล่านี้ทะยานผ่านท้องฟ้าเหนือถ้ำสวรรค์หลีจู เซียนกระบี่ใหญ่สองท่านกลับถอนการอำพรางลมปราณไปชั่วคราว ถึงได้ทำให้บุรพแจกันสมบัติทวีปของพวกเรามีโอกาสได้เห็นสุดยอดภาพเหตุการณ์แห่งโลกที่เซียนกระบี่รวมตัวกันดุจฝูงตั๊กแตนทะยานผ่านดินแดน”
เฉินซงเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “ดุจฝูงตั๊กแตนทะยานผ่านดินแดน? นี่ไม่ใช่คำพูดที่ดีสักเท่าไหร่นะ”
หลิวป้าเฉียวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไม่น่าฟังแล้วจะทำไม เจ้าลองคิดดูสิว่ามีคำพูดที่เหมาะสมยิ่งกว่านี้อีกหรือ? ฝูงตั๊กแตนทะยานผ่านดินแดน หญ้าสักต้นไม่เหลือ พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามจะตายไป”
เฉินซงเฟิงลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เลือกปฏิบัติต่ออีกฝ่ายด้วยความจริงใจโดยเอ่ยความลับหนึ่งออกมา “เฉินตุ้ยเคยบอกว่า ทุกๆ ช่วงหนึ่งร้อยปีจะต้องมีสงครามใหญ่ระเบิดขึ้นใต้กำแพงเมืองแห่งนั้น”
หลิวป้าเฉียวพยักหน้ารับ เห็นได้ชัดว่ารู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว “ดังนั้นข้าถึงอยากจะออกแรงช่วยสักส่วนหนึ่งอย่างไรล่ะ ถอยไปพูดกันอีกก้าว ก็เป็นเพราะมีใจเห็นแก่ตัวอยากจะใช้สงครามมาหล่อเลี้ยงกระบี่ ผลกลับกลายเป็นว่าสวนลมฟ้าส่งกระบี่บินให้นำจดหมายฉบับหนึ่งมาให้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่อาจารย์ปู่ไปจนถึงอาจารย์ของข้าและลามไปยันศิษย์พี่ต่างก็พากันด่าข้าซะเละ”
เฉินซงเฟิงหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
หลิวป้าเฉียวพลันถามขึ้นว่า “เจ้าเด็กที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้นยังอยู่ในเมืองเล็กไหม?”
เฉินซงเฟิงส่ายหน้า “ไม่อยู่แล้ว ตอนนี้เด็กหนุ่มคนนี้ร้ายกาจนักล่ะ ว่ากันว่าในครอบครองภูเขาคนเดียวถึงสี่ลูก หนึ่งในนั้นมีชื่อว่าภูเขาลั่วพั่ว อีกทั้งราชสำนักต้าหลียังเพิ่งแต่งตั้งเทพภูเขาคนหนึ่งให้เข้ามาพิทักษ์ภูเขาลูกนี้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นเศรษฐีใหญ่ตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะ เจ้าถูกชะตากับเขามากไม่ใช่หรือ วันหน้าถ้าพบเจอกันอีกครั้งก็ขอให้เขาเลี้ยงสุราอาหารเจ้าได้”
หลิวป้าเฉียวลูบปาก “ผักดองที่เขาพกไปไม่เลวเลยจริงๆ ตอนนั้นเกือบจะทำให้ข้าผู้อาวุโสเค็มตาย แต่ยิ่งกินอาหารเลิศรสหายากของเมืองหลวงทุกมื้อก็ยิ่งคิดถึงรสชาติของผักดองนั้น”
เฉินซงเฟิงกล่าวเสียงขุ่น “งั้นเจ้าก็ลองกินผักดองทุกมื้อดูสิ ดูสิว่าเจ้าจะคิดถึงอาหารเลิศรสหายากของเมืองหลวงหรือไม่!”
หลิวป้าเฉียวหัวเราะขำ “ถ้าอย่างนั้นก็กินปลากินเนื้อทุกมื้อเหมือนเดิมดีกว่า กินผักดองเป็นครั้งคราวก็พอ หาไม่แล้วคงผอมแห้ง วันหน้าถ้าได้เจอกับเทพธิดาซูของข้าเข้าจริงๆ ข้ากลัวว่าจะทำให้นางตกใจ แบบนั้นคงขายหน้าแย่”
เฉิงซงเฟิงถาม “ข้าคิดยังไงก็คิดไม่เข้าใจ ด้วยชาติกำเนิดและตบะของเจ้าหลิวป้าเฉียว ต่อให้ซูเจี้ยแห่งเขาตะวันเที่ยงผู้นั้นจะโดดเด่นแค่ไหน หากโยนความอาฆาตแค้นระหว่างสวนลมฟ้ากับเขาตะวันเที่ยงทิ้งไป จะอย่างไรเจ้ากับนางก็ถือว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน แต่ทำไมเจ้ากลับไม่กล้าแม้แต่ทักทายนางสักคำ?”
หลิวป้าเฉียวคิดอย่างตั้งใจ “อาจเป็นเพราะกังวลว่าหากนางเห็นข้าแล้วจะไม่ชอบข้ากระมัง”
เฉินซงเฟิงยิ่งฉงนสนเท่ห์ “แต่ถ้าเจ้ากับซูเจี้ยไม่เคยเจอหน้ากันสักครั้ง นางก็คงไม่ชอบเจ้าอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
หลิวป้าเฉียวหันหน้ากลับมายักคิ้วหลิ่วตาให้เฉินซงเฟิง กล่าวกลั้วหัวเราะ “ไม่เหมือนกัน ขอแค่ยังไม่ได้พบเจอกัน ข้าก็เต็มไปด้วยความคาดหวังและรอคอยต่อการได้พบหน้ากันในอนาคต”
เฉินซงเฟิงส่ายหน้า “เจ้านี่น่าเบื่อจริงๆ ไม่กลัวว่าเจอกันคราวหน้า เจ้าจะได้ไปเข้าร่วมงานแต่งงานของเทพธิดาซู ซูเจี้ยของเจ้าหรือ?”
หลิวป้าเฉียวเหมือนถูกฟ้าผ่า ยื่นมือไปกุมคอเฉินซงเฟิง กล่าวดุดัน “เฉินซงเฟิงเจ้าอยากตายหรือ?! คำพูดของเด็กอย่าถือสา คำพูดของเด็กอย่าถือสา…เทพเทวาบนสวรรค์โปรดอย่าสนใจไอ้หมอนี่ เฒ่าจันทรา (เทพแห่งความรักของจีน) ก็ยิ่งอย่าคิดเป็นจริงเป็นจริงเลยนะ…”
……
ผ่านด่านเหย่ฟูไปก็ถือว่าออกจากดินแดนของต้าหลีแล้ว
ก่อนหน้าที่จะไปถึงต้าสุยยังต้องผ่านแถบตะวันตกเฉียงเหนืออันเป็นที่ตั้งของแคว้นหวงถิงที่ขึ้นตรงกับต้าสุยก่อน ระยะทางประมาณหนึ่งพันสองร้อยลี้
เมื่อเทียบกับภาษาทางการต้าหลีที่ชาวบ้านต้าหลีชอบพูดกันแล้ว สำหรับภาษาทางการดั้งเดิมของแจกันสมบัติทวีป ผู้คนมักไม่ค่อยคุ้นเคย ต้าสุยและแคว้นหวงถิงที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีเข้มข้นกว่า แทบทุกคนล้วนพูดภาษาทางการของทวีปได้ ความต่างก็มีแค่สำเนียงท้องที่หนักเบาไม่เท่ากันเท่านั้น
รถม้าคันหนึ่งขับเคลื่อนช้าๆ อยู่ด้านหลังกลุ่มคน สารถีคืออวี๋ลู่เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ ชุยฉานนอนหลับอุตุอยู่ในห้องโดยสารตั้งแต่เช้าจรดค่ำ
เด็กสาวเซี่ยเซี่ยกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับกลุ่มนักเรียนที่มีเฉินผิงอันเป็นผู้นำเต็มตัวแล้ว กลับเป็นความสัมพันธ์ระหว่างอวี๋ลู่และชุยฉานกับนางที่ยิ่งห่างเหินมากขึ้นทุกวัน นางสามารถประลองฝีมือเล่นหมากล้อมกับหลินโส่วอี พูดว่าประลองฝีมือ แต่ในความเป็นจริงแล้วคือการบดขยี้ การวางหมากของเด็กสาวที่หน้าตาไม่โดดเด่นมีพลังทำลายล้างสูงมาก เพียงขยับก็สังหารหมากอีกของฝ่ายได้อีกทั้ง ทำเอาหลินโส่อีแทบจะต้องทิ้งหมวกเหล็กโยนเกราะยอมศิโรราบทุกกระดาน และนางก็สามารถพูดคุยเรื่อยเปื่อยไร้แก่นสารกับหลี่ไหว ช่วยหลี่ไหวเอาหุ่นไม้ทาสีและหุ่นปั้นดินเหนียวห้าตัวมาจัดเรียงเป็นขบวนทัพ คนหนึ่งเด็กคนหนึ่งผู้ใหญ่เล่นสนุกเต็มคราบ มีเพียงหลี่เป่าผิงที่เซี่ยเซี่ยไม่ยอมคุยด้วย แน่นอนว่าฝ่ายหลังก็เป็นเช่นเดียวกัน
เฉินผิงอันเกรงใจนางและอวี๋ลู่ แต่กลับไม่สนใจเด็กหนุ่มชุดขาวแซ่ชุยแม้แต่น้อย ตลอดทางที่เดินทางร่วมกันมา ชุยฉานงัดเอาสารพัดวิธีมาใช้ ทั้งออดอ้อน โวยวาย เล่นเล่ห์ ขาดอย่างเดียวคือไม่ได้กอดขาเฉินผิงอันแล้วร้องไห้คร่ำครวญเท่านั้น อีกทั้งยังพยายามใช้ของขวัญมาหลอกล่อพวกหลี่ไหว “ให้รัฐบุรุษอาวุโสผู้บุกเบิกประเทศ” ทั้งสามคนช่วยขอร้อง คอยมาชวนคุยอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน ใช้ความรู้สึกสร้างความประทับใจ ใช้เหตุผลสร้างความเข้าใจ มุมานะไม่หยุดหย่อน แต่กลับต้องกินแกงหน้าประตูปิด (เปรียบเปรยว่าเจ้าบ้านปิดประตูไม่ต้อนรับ แขกจึงได้แต่มารอเก้อ) ทุกครั้ง
สุดท้ายเด็กหนุ่มที่เป็นเดือดเป็นแค้นก็ถึงกับยังเคยข่มขู่เฉินผิงอัน บอกว่าหากยังไม่ยอมรับเขาเป็นลูกศิษย์ เขาก็จะสู้กับเฉินผิงอันให้พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย ผลคือเฉินผิงอันแค่เอ่ยประโยคเดียวว่า “เจ้าจะลองดูก็ได้ เจ้าชื่อชุยตงซาน ข้าชื่อเฉินผิงอัน ป้ายหน้าหลุมศพมีได้แค่ป้ายเดียว ใครมีชีวิตรอด คนนั้นก็ช่วยเขียนชื่อของอีกฝ่าย” นี่ทำให้เด็กหนุ่มชุดขาวสะอึกอึ้งไปทันใด อัดอั้นจนแทบจะบาดเจ็บภายใน เขาคิดจะตบเจ้าเด็กแซ่เฉินนี่ให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวจริงๆ แต่ขอแค่เขามีความคิดนี้เกิดขึ้น ฝ่ามือก็จะบวมฉึ่งเหมือนถูกไม้ขนไก่หวดเพราะเวทคาถาไร้ชื่อของซิ่วไฉเฒ่า
ขณะที่ยามสนธยากำลังเยื้องกรายมาเยือน รถม้าขับเคลื่อนเชื่องช้าอยู่บนทางภูเขา เด็กหนุ่มชุดขาวเลิกผ้าม่านออกมานั่งอยู่ด้านหลังอวี๋ลู่อย่างหาได้ยาก ก่อนกล่าวเสียงดัง “เฉินผิงอัน พี่ใหญ่เฉิน ท่านปู่เฉิน ท่านบรรพบุรุษเฉินที่อยู่ด้านหน้าท่านนั้น! ภูเขาลูกนี้มีชื่อเรียกว่าภูเขาเหิงซาน พวกเราต้องระวังกันสักหน่อย ก่อนหน้าที่จะถึงแคว้นหวงถิง สถานที่แห่งนี้ถือเป็นของแคว้นโฮ่วสู่ จากบันทึก ‘เกร็ดเรื่องเล่าแคว้นสู่’ ของกวีชื่อดังท่านหนึ่งในแคว้นโฮ่วสู่บอกว่า บนภูเขาเหิงซานมีวัดเจ้าแม่ชิงอยู่แห่งหนึ่ง ด้านหน้าวัดมีต้นไป่ (ไม้ยืนต้นประเภทสน) โบราณที่ไม่รู้ว่ามีอายุกี่ปีต้นหนึ่งซึ่งศักดิ์สิทธิ์มากในการขอพร คนรุ่นหลังจึงสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมา เล่าลือกันว่าขุนนางใหญ่ของราชวงศ์ก่อนพลีชีพเพื่อประเทศชาติ คนในครอบครัวหลบหนีซ่านเซ็น มีเพียงบุตรสาววัยเยาว์ที่ไม่ยอมจากไป แต่หยิบกระบี่ขึ้นมาปาดคอฆ่าตัวตาย เลือดสดอาบย้อมรากของต้นไป่ ด้วยเหตุนี้วิญญาณของนางจึงสิงสู่อยู่ในต้นไป่โบราณ หลังจากนั้นมาก็มักจะมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น แต่ยังดีที่เรื่องเล่าลือทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องดี ทุกท่านไม่ต้องตึงเครียด ถือซะว่าเดินทางผ่านสถานที่ที่มีชื่อเสียงซึ่งมีตำนานสืบต่อกันมาแห่งหนึ่งก็พอแล้ว”
หัวใจของเฉินผิงอันบีบรัดตัวแน่น นับตั้งแต่ครั้งที่ผีสาวชุดแต่งงานก่อความวุ่นวาย ตอนนี้พอเขามาได้ยินเรื่องเกี่ยวกับภูตผีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งหลายก็อดจะเป็นเหมือนคนที่โดนงูกัดแล้วกลัวเชือกไปสิบปีไม่ได้
อันที่จริงไม่ใช่แค่เฉินผิงอัน หลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอี หรือแม้แต่เทพหยินผู้นั้นก็ล้วนไม่มีใครกล้าประมาท
ดังนั้นก่อนหน้าที่ม่านแสงโพล้เพล้จะปกคลุมลงมาบนแนวเขา พวกเขาก็หยุดเดิน เลือกค้างแรมตรงพื้นที่โล่งกว้างกลางภูเขาแห่งหนึ่ง
หลังมื้ออาหารเย็นที่เรียบง่ายแต่อบอุ่นผ่านไป หลี่เป่าผิงก็เริ่มพลิกเปิดบันทึกภูเขาและแม่น้ำเล่มที่ตัวเองชอบมากที่สุดโดยอาศัยแสงสว่างจากกองไฟ โดยทั่วไปแล้วหลินโส่วอีจะไม่อ่าน ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ต่อหน้าอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย แค่เปิดดู ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่นักพรตเฒ่าตาบอดมอบให้ ชื่นชมกับภาพภูตผีผีศาจที่ดูมีชีวิตชีวาสมจริงเท่านั้น ส่วนหลี่ไหวก็จะต้องเอาของเล่นเหล่านั้นออกมาเล่นสนุกต่อ และก็มักจะมีแค่เซี่ยเซี่ยเท่านั้นที่ยินดีเล่นกับเขา วันนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ทว่าวันนี้อวี๋ลู่กลับทำตัวแปลกไปจากเดิม เขาถึงกับเป็นฝ่ายเปิดปากขอเล่นหมากล้อมกับหลินโส่วอีด้วยตัวเอง แน่นอนว่าหลินโส่วอีย่อมไม่ปฏิเสธ อีกทั้งยังรู้สึกสนใจอย่างมาก ก่อนหน้านี้เวลานั่งตรงข้ามประลองฝีมือกับเซี่ยเซี่ย น่าจะเป็นเพราะฝีมือการเล่นหมากล้อมแตกต่างกันมากเกินไปจึงเหมือนถูกภูเขาลูกใหญ่กดทับเหนือศีรษะ แม้หลินโส่วอีจะควบคุมอารมณ์ได้ดีมากมาโดยตลอด แต่ทุกครั้งที่เซี่ยเซี่ยจากไป แล้วเด็กหนุ่มย้อนทวนการเล่นของตัวเองอยู่เพียงลำพังก็ยังรู้สึกห่อเหี่ยวอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่อเล่นหมากล้อมกับอวี๋ลู่ผู้มีนิสัยอ่อนโยน กลับค้นพบว่าเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มีชาติกำเนิดเป็นผู้ลี้ภัยสกุลหลูผู้นี้เล่นหมากล้อมเหมือนกับนิสัยของตัวเอง อ่อนโยนนิ่มนวล ทั้งไม่ได้วางมากมั่วซั่วจนแทบทนมองไม่ได้ แล้วก็ทั้งไม่ได้มีฝีมือสูงส่งดุจเทพเซียนที่ทำให้คนตาเป็นประกาย เขาวางหมากอย่างช้าๆ แต่มั่นคง เล่นกันสองตา หลินโส่วอีแพ้ทั้งสองตา เหมือนเป็นความต่างทางฝีมือแค่ก้าวเดียวเท่านั้น เพราะก่อนที่อวี๋ลู่จะวางหมากเป็นครั้งสุดท้าย สถานการณ์บนกระดานยังคงสูสี ยากจะดูออกว่าใครแพ้ใครชนะทั้งสองครั้ง
ในขณะที่เด็กหนุ่มสองคนประลองฝีมือกัน ชุยฉานเด็กหนุ่มชุดขาวยืนเอาสองมือไพล่หลัง ปรายตามองกระดานหมากล้อมแล้วเหลือกตามองสูงหนึ่งที จากนั้นก็ไม่มีอารมณ์จะดูอีก ทว่าเดินวนรอบกองไฟครบรอบหนึ่งก็ไม่รู้จะไปที่ไหนจริงๆ จึงได้แต่เดินวนกลับมาใกล้คนทั้งสองครั้งแล้วครั้งเล่า หากไม่เหลือกตามองสูงอยู่ด้านหลังหลินโส่วอีก็ไปยืนทำแบบเดียวกันที่ด้านหลังอวี๋ลู่ สุดท้ายทนไม่ไหวจริงๆ จึงพูดกับหลินโส่วอีที่กำลังย้อนทวนการเดินหมากของตัวเองอยู่เงียบๆ ว่า “เจ้าคนเลวอวี๋ลู่ที่มองดูเหมือนซื่อสัตย์ผู้นั้นจงใจอ่อนข้อให้เจ้าหรอกนะ แต่เจ้ากลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย? คราวหน้าเจ้าอยากเอาชนะอวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยไหมล่ะ? หากเจ้ามีความสามารถเหมือนข้าแค่ส่วนเดียวก็รับรองได้ว่าเล่นสิบตาชนะทั้งสิบตา!”
หลินโส่วอีเงยหน้าคลี่ยิ้มบางๆ “รอให้เจ้าเป็นลูกศิษย์ของเฉินผิงอันก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
แต่หลินโส่วอีก็ยังอดเหลือบหางตาไปมองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่อำพรางฝีมือผู้นั้นไม่ได้ ฝ่ายหลังยิ้มบางๆ ให้เขา สายตาใสกระจ่าง จากนั้นก็ก้มหน้าลงจัดระเบียบสัมภาระจำนวนน้อยนิดอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย
ชุยฉานเด็กหนุ่มชุดขาวยกสองมือทุบอกด้วยความชิงชัง
ห่างไปไกล บนกิ่งไม้ที่ยื่นขวางออกมาจากลำต้นหนาใหญ่ มีเด็กหนุ่มรองเท้าแตะยืนอยู่ด้านบน กิ่งไม้ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าถูกกดจนงอโค้งได้ระดับ เขาพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง แล้วค่อยๆ หลับตาลง เริ่มฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งเฉกเช่นทุกวัน
ลมภูเขาโชยมาปะทะใบหน้า
ดั่งเสียงกระซิบแห่งขุนเขา ทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่มีคำพูดตอบโต้
—–