กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 135
เซี่ยเซี่ยกลับมาที่ข้างกองไฟ หลินโส่วอีกับเจ้าแม่ชิงกำลังอยู่ในช่วงสุดท้ายของการแข่งขัน เด็กสาวเหลือบมองสถานการณ์บนกระดานหมากล้อมก็พลันไม่สบอารมณ์ ยื่นมือขยับเข้าใกล้กองไฟ
เฉินผิงอันผ่ากิ่งไม้ออกเป็นท่อนๆ เมื่อสร้างกระโจมหยาบๆ สามหลังเสร็จก็มาเรียกหลี่เป่าผิง แม่นางน้อยจึงอ้าปากหาวหวอดแล้ววิ่งไปนอนในกระโจมหนึ่งหลัง นอกจากนี้หลี่ไหวกับหลินโส่วอีนอนด้วยกันในกระโจมหลังหนึ่ง เด็กสาวเซี่ยเซี่ยเองก็มีกระโจมเป็นของตัวเองหลังหนึ่ง อวี๋ลู่มักจะนอนตรงตำแหน่งที่นั่งของสารถีขับรถม้าโดยเอาพรมปูพื้นครึ่งผืน อีกครึ่งผืนใช้ห่อตัวก็สามารถผ่านค่ำคืนหนึ่งไปได้แล้ว
แน่นอนว่าในเวลาส่วนใหญ่คนทั้งกลุ่มมักจะหาที่พัก โรงเตี๊ยมหรือไม่ก็วัดในภูเขาเจออย่างราบรื่นเสมอ
เคยมีคืนหนึ่งที่พายุฝนฟ้าคะนอง อาศัยแสงตะเกียงที่ริบหรี่ กว่าพวกเขาจะหาบ้านของคนรวยหลังหนึ่งเจอได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าของบ้านเป็นถึงอดีตซื่อหลางกรมครัวเรือนของแคว้นหวงถิง ผู้เฒ่าอายุเจ็ดสิบปีที่มาสร้างบ้านตากอากาศซ่อนตัวอยู่ในป่าเขาขมีขมันในการต้อนรับแขกอย่างยิ่ง ได้เห็นปัญญาชนน้อยที่แบกหีบหนังสือทัศนาจรไกลอย่างพวกหลี่เป่าผิง ผู้เฒ่าก็ดีใจเป็นล้นพ้น ต่อให้จะรู้ว่าพวกเขามาจากแคว้นต้าหลีที่ถือได้ว่าเป็นแคว้นศัตรูครึ่งหนึ่ง ซือหลางเฒ่าก็ยังต้อนรับขับสู้อย่างกระตือรือร้น สำหรับเรื่องอาหารการกิน ผู้เฒ่าก็ยิ่งยึดปฏิบัติในหลักของอริยะอย่าง “อาหารชั้นเลิศต้องปรุงอย่างพิถีพิถัน” ทำให้พวกเด็กบ้านนอกอย่างเฉินผิงอันได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่
หลังจากนั้นเมื่อได้ทำความรู้จักกันก็ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าจะถูกชะตากับแม่นางน้อยหลี่เป่าผิงและอวี๋ลู่มากเป็นพิเศษ พอรู้ว่าแม่นางน้อยชอบอ่านบันทึกการเดินทางก็ไม่เพียงแต่มอบบันทึกการเดินทางที่ตัวเองเก็บไว้มาให้หลายเล่ม ยังยืนกรานว่าจะพาพวกเขาไปเที่ยวชมสถานที่แห่งหนึ่งด้วยตัวเอง ซึ่งก็คือหน้าผาใหญ่ริมแม่น้ำสายหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก พื้นผิวของหน้าผาราบเรียบดุจกระจก ด้านบนยังมีหินแก่สลักโบราณที่ไม่รู้ว่าอยู่มานานกี่ปี ตัวอักษรที่แก่สลักไม่เคยมีสืบทอดในตำรา ยากจะทำความเข้าใจ ในประวัติศาสตร์มีนักกวีและปัญญาชนจำนวนนับไม่ถ้วนมาชื่นชมภาพอัศจรรย์ของที่แห่งนี้ กระดาษลอกลายหินแกะสลักของที่นี่จึงเป็นที่นิยมมากในแคว้นหวงถิงและแคว้นต้าสุยที่อยู่เหนือขึ้นไป แต่กระนั้นก็ยังไม่มีใครรู้ความหมายที่แท้จริงของตัวอักษรเหล่านั้น แต่ละคนมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป ไม่มีใครหาข้อสรุปที่ทำให้ทุกคนเห็นพ้องต้องกันได้เจอ
ตอนนั้นเด็กหนุ่มชุยแนที่เพียงแค่ปรายตามองหินหน้าผาไกลๆ ก็เอ่ยว่านั่นคือ “ฝีมือแกะสลักจากมหาเทพแห่งสายฟ้า คือถ้อยคำกล่าวเตือนเจียวและหลงจากราชาแห่งสวรรค์”
ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเสียงดัง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ เมธีและปราชญ์หลายรุ่นหลายสมัยตั้งใจศึกษาค้นคว้ากันถึงขนาดนั้นก็ยังไม่กล้าตั้งข้อสรุป การที่ซือหลางเฒ่าแห่งแคว้นหวงถิงไม่เห็นคำพูดส่งเดชของเด็กหนุ่มอายุสิบสี่สิบห้าคนหนึ่งเป็นสำคัญก็มีเหตุผลพอจะเข้าใจได้
หลังออกจากบ้านพักของซือหลางเฒ่ามาแล้ว ทุกครั้งที่เฉินผิงอันทำอาหารกลางดินกลางทรายบนป่าเขาก็จะค้นพบว่าสายตาของทุกคนไม่ค่อยจะปกตินัก โดยเฉพาะแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่ยังเอ่ยประโยคหนึ่งซึ่งอยากจะปกปิดกลับยิ่งเป็นการเปิดเผยความคิดที่แท้จริงว่า “อาจารย์อาน้อย กับข้าวที่ท่านทำอร่อยมาก จริงๆ นะ ไม่แย่ไปกว่าอาหารของที่บ้านหม่าซือหลางเลยแม้แต่นิดเดียว!”
หลี่ไหวเองก็เริ่มง่วงแล้วเหมือนกัน หลังจากบอกกล่าวกับหลินโส่วอีหนึ่งคำก็ไปนอนในกระโจม หลินโส่วอียังไม่ง่วงจึงเล่นหมากล้อมกับเจ้าแม่ชิงผู้นั้นต่อไปเพื่อตัดสินให้รู้แพ้รู้ชนะ
หลินโส่วอีบอกกับเฉินผิงอันว่าจะไปที่วัดเล็กบนยอดเขากับเจ้าแม่ชิงเพื่อไปเอาตำราหมากล้อมอันล้ำค่าที่สอดไว้ในซอกผนังของวัดเล็กมา คงเพราะกลัวว่าเฉินผิงอันจะเป็นห่วง เด็กหนุ่มจึงอธิบายยิ้มๆ ว่าเดิมทีเจ้าแม่ชิงจะเดินทางไปกลับเพียงลำพัง เป็นเขาที่เสนอตัวว่าจะไปด้วย
เฉินผิงอันไม่สะดวกให้พูดอะไรมาก แค่บอกให้หลินโส่วอีระมัดระวังเวลาเดินทางตอนกลางคืน
เด็กหนุ่มและภูตผีแห่งวัดเล็กที่ได้รับควันธูปจากการกราบไหว้ของชาวบ้านจึงขึ้นเขาไปพร้อมกัน เฉินผิงอันมองแผ่นหลังของหนึ่งคนหนึ่งผีที่ค่อยๆ ห่างไปไกล อาจจะด้วยกฎเกณฑ์ที่มีเฉพาะบนภูเขา เท้าทั้งสองข้างของเจ้าแม่ชิงจึงไม่ติดพื้น ร่างลอยล่องไปด้านหน้า อีกทั้งเบื้องหน้ายังมีไฟผีพุ่งใต้สีเขียวเรืองรองอยู่จุดหนึ่งที่ส่องสว่างไปสี่ทิศ บวกกับข้างกายคือบัณฑิตสวมชุดเขียว คนทั้งสองจึงพูดคุยกันถูกคอ เป็นเหตุให้ภาพเหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้คนหวาดผวา กลับยิ่งดูคล้ายคลึงกับบทกลอนที่บันทึกไว้ในบันทึกท่องเที่ยวภูเขาแม่น้ำของหลี่เป่าผิงเล่มที่ว่า “ฉวยโอกาสที่อารมณ์ฮึกเหิม ถือเทียนส่องสว่างท่องเที่ยวยามราตรี ” หลายส่วนด้วย
……
หลังจากเด็กสาวเซี่ยเซี่ยจากไป เด็กหนุ่มชุยฉานก็ยืนอยู่บนกิ่งไม้สูงเพียงลำพัง บางครั้งนกกลางคืนก็ร้องเสียงดังชวนเศร้าสลดใจขึ้นมาท่ามกลางเทือกเขาสูงใหญ่ ชาวบ้านแคว้นหวงถิงเรียกนกชนิดนี้ว่า “นกพลัดถิ่น” ไม่เป็นมงคลนัก เพราะมักจะถูกนำไปเชื่อมโยงกับการ “แจ้งข่าวคนตาย” “ฝันร้าย” เป็นต้น
ควันดำกลุ่มหนึ่งกลิ้งหลุนๆ ผ่านแมกไม้ บินโฉบมาหยุดข้างกายเด็กหนุ่มชุดขาวแล้วหยุดนิ่งกลางอากาศ
เด็กหนุ่มหยุดความคิดสะระตะวุ่นวายในหัวลง เอ่ยปากถาม “จะไปแล้วหรือ?”
เทพหยินที่มาจากเมืองเล็กพยักหน้ารับ “ยันต์คุ้มกันกายที่หยางเหล่าโถวมอบให้สามารถป้องกันลมพายุปราณหยางและอาการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณที่มาจากหน้าด่านของเมืองต่างๆ ได้จริง แต่เมื่อมีด่านเหย่ฟูของต้าหลีเป็นจุดหมายปลายทาง ไปกลับก็ใช้หมดพอดี ข้าตัดสินใจมาส่งถึงภูเขาเหิงซานแคว้นหวงถิงเองโดยพลการก็ถือว่าเกินกำลังของตัวเองมากแล้ว ไม่แน่ว่าเมื่อไปถึงแถบของแม่น้ำซิ่วฮวาและอำเภอหว่านผิงอาจจะเริ่มเจอกับความยากลำบาก”
ใบหน้าของเทพหยินเหมือนริ้วน้ำบนทะเลสาบที่กระเพื่อมไหว เหมือนเปลวเพลิงที่แกว่งไว เปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดนิ่ง พร่าเลือนมองไม่ชัดเจน เขากล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “แม้ไม่รู้ว่าหยางเหล่าโถวตกลงอะไรกับเจ้า แต่ข้าหวังว่าก่อนหน้าที่จะไปถึงสำนักศึกษาแห่งนั้นของต้าสุย ใต้เท้าราชครูจะปฏิบัติต่อพวกเฉินผิงอันอย่างดีตั้งแต่ต้นจนจบ”
เมื่ออยู่กับเทพหยิน เด็กหนุ่มชุดขาวก็ยังพอจะมีความเกรงใจอยู่บ้าง “ข้าจะพยายามเต็มที่ก็แล้วกัน”
เทพหยินพลันถามยิ้มๆ “ใต้เท้าราชครูเชื่อหรือไม่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว?”
เด็กหนุ่มชุยฉานส่ายหน้า “ไม่เคยเชื่อ หากเจ้าคิดจะโน้มน้าวให้ข้าสร้างบุญกุศลให้มากล่ะก็ ข้าก็ขอเตือนเจ้ากลับแล้วกันว่า เดินบนวิถีที่แตกต่างไม่อาจคบค้าสมาคม แทนที่จะเป็นกังวลว่าข้าจะคุ้มครองเฉินผิงอันที่เป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเจ้าหรือไม่ ไม่สู้เป็นกังวลว่าลูกเมียที่อยู่ห่างไปไกลในที่ซึ่งเจ้ามองไม่เห็นจะถูกสกัดคงคาเจินจวินหลิวจื้อเม่าแห่งทะเลสาบเจี่ยนซูมองเป็นหมากสองตัวที่นำมาจับวางตามอำเภอใจหรือไม่ดีกว่า”
เทพหยินถอนหายใจ กล่าวอย่างจนใจว่า “กำลังของคนเรายังต้องมีวันที่หมดสิ้น แล้วนับประสาอะไรกับข้าซึ่งเป็นวัตถุธาตุหยินที่ฟ้าดินรังเกียจเดียดฉันท์?”
ชุยฉานคลี่ยิ้มกล่าว “มหามรรคาไม่มีทางตัน ต่างก็แค่ว่ายากหรือง่ายเท่านั้น รวมธาตุหยินเป็นผี รวมธาตุหยางเป็นเทพ ไม่เกี่ยวกับว่าจะใช่คนหรือไม่ อีกทั้งตอนนี้ใช่ว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสได้รับแต่งตั้งให้เป็นเทพ ลองนึกถึงภูตผีในหนองบึงในภูเขาพวกนั้นดู เส้นทางการฝึกตนของพวกเขาต่างหากที่เรียกว่าเต็มไปด้วยอุปสรรคอย่างแท้จริง”
เทพหยินหัวเราะเสียงแหบพร่า “เป็นเช่นนี้จริง”
เทพหยินเงียบไปนาน แต่สุดท้ายแล้วกลับไม่มีท่าทีว่าจะย้อนกลับไปต้าหลี
เด็กหนุ่มชุยฉานจึงถามว่า “ทำไม ยังมีเรื่องอยากพูดหรือ? ข้ารู้ว่านอกจากตอบแทนบุญคุณแล้ว ตัวเจ้าเองยังเห็นดีในตัวเฉินผิงอัน แต่เจ้าคงไม่รู้ว่า ข้าเองก็เห็นดีในตัวเด็กหนุ่มคนนี้มาตั้งแต่แรกแล้วเหมือนกัน ทั้งยังรู้ก่อนใครเสียอีก เพียงแต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับเรื่องภายในของมหามรรคา ไม่อาจอธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียด เจ้ารู้ไว้แค่ว่า แม้ว่าตอนนั้นตัวข้าจะอยู่เมืองหลวงต้าหลี แต่กลับให้ความสนใจในตัวเฉินผิงอันไม่ได้ช้าและไม่ได้น้อยไปกว่าหยางเหล่าโถวเลย”
เทพหยินส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดี มีลมก็รีบๆ ผายออกมา”
เทพหยินไม่ถือสา เอ่ยเนิบช้าว่า “คำกล่าวเรื่องกิจการและความดีความชอบ ผลประโยชน์แห่งแคว้น ผลประโยชน์ของประชาชน ข้านับถืออย่างมาก แม้ว่าภายในของลัทธิขงจื๊อจะมีคำตำหนิในทางร้ายมากกว่าคำชม แต่ตอนยังมีชีวิตอยู่ข้าก็เชื่อแล้วว่า ไม่ว่าอีกร้อยอีกพันปีให้หลังจะเป็นอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องที่ลูกหลานรุ่นหลังต้องสวดมนต์ภาวนากันเอาเอง ไม่สู้ใช้ความรู้สร้างบุญกุศลให้แก่สรรพชีวิตในปัจจุบัน ให้ได้มาซึ่งความสงบสุข นี่ต่างหากที่สำคัญกว่า”
เด็กหนุ่มชุดขาวประหลาดใจเล็กน้อย เขาเลิกคิ้วขึ้นสูง อดหันหน้ามาถามไม่ได้ “นึกไม่ถึงว่าเจ้าก็จะสนับสนุนในแนวคิดของข้าด้วย?”
เทพหยินทำท่าที่อยู่เหนือการคาดเดาของผู้คน เขาถึงขนาดเลียนแบบพิธีประสานมือโค้งคำนับอย่างนอบน้อมเหมือนเวลาที่ผู้ด้อยอาวุโสของลัทธิขงจื๊อปฏิบัติอาจารย์ปราชญ์ผู้ล่วงลับ แล้วเอ่ยเสียงต่ำแต่กังวานว่า “การคำนับของข้าผู้แซ่กู้ในครั้งนี้ ไม่ได้คำนับต่อราชครูต้าหลีอะไร แต่คำนับต่อความรู้และคุณธรรมที่สูงส่งของท่านชุยฉาน”
จนกระทั่งเทพหยินผู้นั้นทะยานห่างไปหลายร้อยลี้แล้ว เด็กหนุ่มชุดขาวถึงเพิ่งคืนสติ บนใบหน้าตัดสลับไปด้วยความเศร้าหมองและปลาบปลื้ม
สุดท้ายเด็กหนุ่มชุดขาวเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กิ่งไม้ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้ายิ่งโค้งงอ ทันใดนั้นเขาพลันสะบัดชายแขนเสื้อทั้งสองข้าง เอามือไพล่หลัง ไม่เหลือสีหน้าหดหู่รันทดอีกต่อไป
บนร่างของเด็กหนุ่มพลันมีมาดของความซื่อตรงยิ่งใหญ่เปี่ยมไปด้วยอิสระเสรี
……
ตอนที่หลินโส่วอีย้อมกลับมา สีหน้าของเขาเขียวคล้ำ มือกำตำราโบราณสีออกเหลืองเล่มนั้นไว้แน่น นั่งลงข้างกองไฟ
เฉินผิงอันถาม “เป็นอะไรไป?”
หลินโส่วอีเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “ไอ้พวกกากเดนปัญญาชน! บัณฑิตที่เป็นชนชั้นสูงของแค้นหวงถิงพวกนั้นรวมตัวดื่มสุราอยู่ในวัดเล็กก็ยังพอทน แต่นี่กลับยังทำพฤติกรรมไร้มารยาทต่ำทรามถึงขนาดนั้น! หน้าด้านไร้ยางอาย หมดสิ้นซึ่งสง่าราศี! หากข้าเป็นเจ้าแม่ชิงคงตบเจ้าคนน่ารังเกียจพวกนี้ให้กระเจิงออกไปนานแล้ว”
เฉินผิงอันถามต่อ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตัวของเจ้าแม่ชิงเองนางก็ไม่ทำอะไรเลยสักอย่างงั้นหรือ?”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องเข้าเมืองตาหลิ่ว หลิ่วตาตาม”
หลินโส่วอีเงยหน้า รู้สึกไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่เมื่อเด็กหนุ่มที่จิตใจว้าวุ่นไม่อยู่กับร่องกับร่อยได้เห็นใบหน้าดำน้อยๆ ที่คุ้นเคย หลินโส่วอีก็พลันสงบใจลงลง ถอนหายใจแล้วพูดเบาๆ ว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”