กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 139
สีรัตติกาลเริ่มเข้มข้น ในซอยเมฆคล้อยน้ำไหลนอกประตูหลักของโรงเตี๊ยมชิวหลูสีเสียงน้ำหยดติ๊งๆ เสนาะหูดังเป็นระลอ หลิวฮุหยินยืนอยู่นอกประตูเพียงลำพัง ตรงเอวห้อยเครื่องประดับสีทองอร่ามลักษณะคล้ายตราพยัคฆ์ไว้สองชิ้น
รถม้าคันหนึ่งจอดนอกประตู ชายวัยกลางคนสวมชุดปัญญาชนสีเขียวเดินลงมาจากรถ สีหน้ามีบารมีแม้ไม่ได้แสดงความโกรธ บุคลิกคล้ายแม่ทัพผู้มีความรู้แตกฉาน เพียงแต่สีหน้าของบุรุษในเวลานี้ค่อนข้างเหนื่อยล้า เมื่อเห็นสตรีแต่งงานแล้วผู้งดงามก็คลี่ยิ้ม “ให้เจ้ารอนานแล้ว พวกเราเข้าไปพูดกันข้างในเถอะ”
สตรีแต่งงานแล้วหมุนตัวกลับเดินนำทางด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย
บุรุษปรายตามองตราพยัคฆ์ตรงเอวนางแล้วขมวดคิ้ว “ต้องตื่นเต้นขนาดนี้เชียวหรือ?”
สตรีแต่งงานแล้วแค่นเสียงหยัน “ที่นี่เป็นแค่โรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง ไม่อาจเทียบจวนขุนนางผู้ว่าราชการจังหวัดของใต้เท้าได้ เมื่อสองวันก่อนเพิ่งจะถูกคนรื้อผนังบังตาที่เป็นจุดขายออกก็ได้แต่กล้ำกลืนความไม่พอใจเอาไว้ วันนี้ตัวการร้ายยังพาลูกศิษย์ลูกหากลุ่มใหญ่มาพักที่โรงเตี๊ยมข้า ข้าก็ได้แต่กลั้นใจฝืนยิ้มรับใช้นายท่านเซียนซือพวกนี้แต่โดยดี ทั้งหมดนี้ล้วนต้องยกความชอบให้กับใต้เท้าผู้ว่าฯ ที่จัดการดูแลอย่างเหมาะสม…”
บุรุษเพิ่มน้ำหนักเสียงเล็กน้อย “พอแล้วน่า เจียฮุ่ย ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจ แต่ตอนนี้ข้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ เพื่อพิธีบวงสรวงศาลเทพวารีครั้งนี้ ข้าเองก็ยุ่งตั้งแต่เช้าตรู่ยันตอนนี้ ตาแดงจนแทบจะลุกติดไฟอยู่แล้ว ที่มาพักผ่อนยังที่ของเจ้า ไม่ใช่ตรงกลับไปที่จวนขุนนางก็เพราะอยากจะหาความสงบสบายหูสักพัก ไม่ได้มาเพื่อฟังเจ้าบ่นจู้จี้”
สายตาของสตรีผู้งดงามฉายแววตำหนิไม่พอใจ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังรู้จักรุกและถอยอย่างเหมาะสม เพียงไม่นานก็เก็บอารมณ์สาวน้อยของตัวเองลงไป เปลี่ยนเรื่องพูดว่า “เพื่อพิธีเซ่นไหวครั้งนี้ ท่านต้องยุ่งวุ่นวายอยู่ครึ่งปีเต็ม อยากให้มีหน้ามีตาก็ต้องมีหน้ามีตา ใต้เท้าผู้ว่าราชการมณฑลสุขภาพไม่ค่อยจะดี แม้ว่าจะไม่สามารถมาเยือนได้ด้วยตัวเอง แต่ใต้เท้าสารถีคนสนิทของเขากลับมาร่วมงานแสดงความให้เกียรติแล้ว บวกกับพวกปัญญาชนที่ได้รับคำขนานนามจากราชสำนัก หลวงจีนที่มีชื่อเสียงและนักพรตผู้แฝงเร้นกายก็ถือว่ามีหน้ามีตามากแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ต้องการให้จัดเป็นการภายในก็ยิ่งได้ดั่งใจ เงินช่วยเหลือเป็นการส่วนตัวจากเมืองของเราเอาไปมอบให้เทพวารีเทพแม่น้ำสองท่านของที่อื่นคงพอกระมัง?”
บุรุษพยักหน้ารับ “หลักการคือหลักการนี้จริง”
สตรีแต่งงานแล้วถามเสียงเบา “ถ้าอย่างนั้นใต้เท้าเทพวารีหันสือของพวกเราท่านนี้ ในที่สุดก็โปรดปรานในตัวท่านแล้ว? ยอมรับปากว่าจะช่วยให้ท่านช่วงชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ มาได้แล้ว?”
บุรุษเอามือสองข้างไพล่หลัง เดินเข้าไปในเรือนเงียบสงบแห่งหนึ่งด้วยความเคยชิน ส่ายหน้าถอนหายใจ “ผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นปรากฎตัวไม่ถูกเวลาเลยจริงๆ แค่น้ำผึ้งหยดเดียวแท้ๆ เขาต้องการแก้แค้นให้ชาวบ้านที่ตายไปอย่างอยุติธรรมผู้นั้นจึงมาตามหาผู้ฝึกลมปราณของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นที่โรงเตี๊ยมชิวหลูของพวกเจ้า แล้วเปิดศึกต่อสู้กันครั้งใหญ่ ทำให้นักพรตพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นบาดเจ็บสาหัส เดือดร้อนให้ผนังบังตาของโรงเตี๊ยมพวกเจ้าถูกทำลายรากฐานไปด้วย อันที่จริงหากเรื่องราวดำเนินมาถึงแค่ตรงนี้ ข้ายังพอจะควบคุมสถานการณ์ได้ ยกตัวอย่างเช่นข้าเป็นขุนนางประจำเมือง สามารถส่งรายงานไปให้ราชสำนัก โยนโทษใส่หัวของผู้ฝึกตนอิสระคนนั้น ปัดนักพรตของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่หาเรื่องก่อนออกไปให้พ้น เพื่อปลอบใจพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่มีรากฐานอย่างลึกล้ำมั่นคงอยู่ในแคว้นหวงถิงของพวกเรา แต่ขณะเดียวกันข้าก็จะแอบปล่อยผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นไปอย่างลับๆ อย่างน้อยเรื่องการไล่ล่าในเขตของเมืองก็แค่ทำเป็นผักชีโรยหน้าแสดงออกให้คนนอกดูเท่านั้น เพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ ให้เขาสามารถฉวยโอกาสหนีไปได้ ในเมื่อเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ถ้าอย่างนั้นสี่มหาสมุทรก็ล้วนเป็นบ้าน คิดดูแล้วคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
กล่าวมาถึงตรงนี้ บุรุษก็เผยสีหน้าหงุดหงิดออกมาเสี้ยวหนึ่ง “แต่นี่ดันมาเกิดเรื่องก่อนหน้าที่จะมีพิธีบวงสรวงเทพแม่น้ำหันสือ ไม่เพียงแต่มีคนมากมายจับตามอง ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าช่วงแรกที่เทพแม่น้ำท่านนี้กลายเป็นองค์เทพได้เพราะอาศัยความช่วยเหลือจากบุรพาจารย์ท่านหนึ่งของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ ถึงหยัดยืนได้อย่างมั่นคง? ผลกุศลจากควันธูปนี้ พรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ประคับประคองอย่างระมัดระวังมาสองร้อยกว่าปี ไม่เคยเอาเรื่องใดไปรบกวนเทพวารี กลับกันคือสองร้อยกว่าปีนี้ยังคอยเอาของขวัญชิ้นใหญ่ไปเยี่ยมเยือนถึงประตูบ้านปีละครั้ง นอกจากครั้งหนึ่งที่พรรคประสบหายนะแล้วก็ไม่เคยขาดการติดต่อ แล้วเจ้าคิดว่ามรสุมสะเทือนเมืองครั้งนี้ ใต้เท้าเทพวารีจะเอนเอียงเข้าข้างใครล่ะ?”
สตรีแต่งงานแล้วมองใต้เท้าผู้พิทักษ์เขตปกครองที่เดินวนไปรอบลานกว้างไม่ยอมนั่งลงสักที จึงส่งชาร้อนๆ ไปให้ถ้วยหนึ่งพลางเอ่ยหยอกเย้า “ท่านใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองของข้า ช่วยนั่งลงพูดได้หรือไม่ หากท่านยังเดินวนไปวนมาเช่นนี้ ข้าน้อยคงเวียนหัวตาลายเป็นแน่”
พอนั่งลงแล้ว ชายสวมชุดเขียวก็เอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ตำแหน่งที่ซ่อนตัวของผู้ฝึกตนอิสระคนนั้น ข้าเพิ่งจะรู้เมื่อสามวันก่อน เดิมคิดจะถ่วงเวลาไปอีกหนึ่งวัน ไม่ว่าจะอย่างไรก็ลากยาวไปหลังพิธีบวงสรวงใหญ่ก่อนค่อยว่ากัน ไม่แน่ว่าอาจจะเว้นชีวิตเขาได้ เจียฮุ่ย เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้ในศาลเทพวารี หลังจากเทพแม่น้ำหันสือท่านนั้นปรากฏตัวด้วยร่างทองคำแล้ว เขาพูดอะไรกับข้า?”
สตรีแต่งงานแล้วส่ายหน้า นางย่อมเดาความคิดของเทพองค์หนึ่งไม่ออกอยู่แล้ว
ในฐานะผู้ดูแลหลักของโรงเตี๊ยมชิวหลู อันที่จริงเมื่อเทียบกับพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์แล้ว สำนักที่สตรีแต่งงานเป็นศิษย์ไม่ได้แย่กว่าเท่าไหร่นัก เพียงแต่ว่าพรรคหรือสำนักบนภูเขาทุกแห่งที่มีชื่อเสียงค่อนข้างกว้างขวางต่างก็มีถิ่นที่มั่นคงของใครของมัน พื้นที่สามเขตทางทิศเหนือของแคว้นหวงถิง พรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์คือผู้นำในบรรดาพรรคผู้ฝึกตนเล็กใหญ่หลายสิบพรรค
แต่ไม่ว่าจะเป็นสำนักของสตรีแต่งงานแล้วหรือบนภูเขาล่างภูเขาของพื้นที่ทางเหนือแคว้นหวงถิงก็ล้วนให้ความเคารพเลื่อมใสเทพแม่น้ำที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ด้วยตัวเองอย่างยิ่ง
เพราะอย่างไรซะแคว้นหวงถิงก็ไม่ใช่ราชวงศ์ใหญ่อย่างสกุลซ่งต้าหลีหรือสกุลเกาต้าสุย นับตั้งแต่ที่สกุลหงตั้งแคว้นหวงถิงขึ้นมาก็ถือเป็นหนึ่งในสิบสองแคว้นหัวเมืองภายใต้การปกครองของต้าสุย เทพภูเขาและเทพแม่น้ำที่ได้รับการแต่งตั้งจึงมีน้อยจนนับนิ้วได้
พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ต่อให้ต้าสุยยกเลิกข้อห้าม ปล่อยให้สกุลหงแคว้นหวงถิงแต่งตั้ง มอบรางวัลให้แก่เทพภูเขาและแม่น้ำได้ตามใจชอบ แคว้นหวงถิงเองก็ไม่มีความสามารถนี้ หนึ่งเพราะขอบเขตมีจำกัด สองก็เพราะถูกตระกูลเซียนบนภูเขาที่ “แบ่งแยกดินแดนการปกครอง” ควบคุมพื้นที่มงคลที่มีปราณวิญญาณโดดเด่นไว้เป็นส่วนมาก
ดังนั้นเทพแม่น้ำที่ควบคุมชะตาแห่งน้ำของพื้นที่แห่งหนึ่งเอาไว้จึงเป็นบทบาทที่สำคัญมากซึ่งขุนนางผู้พิทักษ์เมือง หรือแม้แต่ผู้ว่าราชการมณฑลก็ยังจำเป็นต้องพยายามประจบเอาใจสุดชีวิต
บุรุษวางถ้วยชาลง ใช้สองนิ้วนวดคลึงจุดไท่หยางเบาๆ “เทพวารีบอกกับข้าซึ่งหน้าว่า ‘ก่อนหน้าที่ใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองจะรู้ที่ซ่อนตัวของผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นหนึ่งวัน ข้าตรวจสอบจนได้ความแน่ชัดแล้ว แม้ใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองจะไม่ต้องการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม แต่ในเมื่อข้าเป็นเทพวารีแห่งแม่น้ำหันสือก็ต้องเคารพข้อบังคับที่ว่าห้ามข้องเกี่ยวกับวงการขุนนางบนโลกมนุษย์ บวกกับที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองเป็นผู้ควบคุมดูแลท้องถิ่น นับว่าพอจะมีคุณความชอบอยู่บ้าง หากผู้พิทักษ์เมืองคนถัดไปเป็นพวกโง่เขลา สร้างปัญหามากมายที่ต้องให้คนอื่นมาตามเช็ดก้น ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อการสงบใจบำเพ็ญตนของข้า ด้วยเหตุนี้ข้าจึงจะไม่ส่งรายงานให้กับทางราชสำนัก’”
สีหน้าของสตรีแต่งงานแล้วซีดขาวเล็กน้อย “ความหมายของเทพแม่น้ำท่านนี้คือจะไม่มีทางช่วยให้ท่านขยับขึ้นหน้าไปอีกก้าว?”
บุรุษยิ้มขื่น “อยู่ที่ว่าคืนนี้ข้าจะจับคนผู้นั้นไปไต่สวนทำคดีหรือไม่”
สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกเสียใจภายหลัง “เมื่อครู่นี้ข้าไม่ควรพาลแง่งอนใส่ท่าน”
แต่แล้วนางก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “เทพแม่น้ำหันสือผู้นี้มีชื่อเสียงที่ดีงามมาหลายร้อยปี แต่พอเป็นช่วงเวลาที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของตัวเองเข้าจริงๆ ก็ยังช่วยแค่คนของตัวเองโดยไม่สนว่าจะเป็นฝ่ายถูกต้องหรือไม่ไม่ใช่หรือ? คนที่ถูกผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นทำร้ายก็เป็นแค่ลูกศิษย์รุ่นที่สามของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่เขาถึงขนาดกล้าเกิดตัณหาขึ้นมาในศาลเทพอภิบาลเมือง เห็นสาวงามก็น้ำหายหกอยากครอบครอง ตอนแรกก็ฆ่าสองสามีภรรยานอกเมืองก่อน ตอนหลังพอรู้ว่าลูกของพวกเขาหนีไปได้ยังตามไปไล่ฆ่าข้ามวันข้ามคืน คนสามสิบกว่าคนของทั้งหมู่บ้านถูกเขาฆ่าทิ้งไม่มีเหลือ การกระทำที่โหดร้ายจนไม่น่าเชื่อว่ามีอยู่บนโลกเช่นนี้ถูกผู้ฝึกตนอิสระผู้นั้นมาเจอเข้าโดยบังเอิญ และก่อนที่จะแก้แค้นแทนคนของครอบครัวนั้น ผู้ฝึกตนอิสระยังเลือกประกาศข่าวนี้ออกไปให้แพร่หลายอย่างชาญฉลาด แม้แต่หน้าประตูที่ว่าการของพวกท่านก็ยังมีประกาศแปะ พอทำทุกอย่างนี้เสร็จ ผู้ฝึกตนอิสระถึงได้มาที่โรงเตี๊ยมชิวหลูของพวกเราแล้วต่อสู้กับเจ้าฆาตกรผู้นั้น ทั้งในและนอกเมืองล้วนมีแต่เส้นสายของเขาเทพแม่น้ำ จะไม่รู้ความจริงแม้แต่นิดเลยหรือ?”
บุรุษกลับไม่ได้เจ็บแค้นเฉกเช่นสตรีแต่งงานแล้ว เขาเพียงกล่าวอย่างปลงอนิจจังเบาๆ ว่า “หลักการแห่งสวรรค์ กฎหมายบ้านเมืองและอารมณ์ของมนุษย์ สิ่งที่ผู้ฝึกตนแสวงห้าก็คือมหามรรคาแห่งฟ้าดิน กฎหมายบ้านเมืองและความรู้สึกของมนุษย์จะเป็นเช่นไร เมื่อวางอยู่ตรงหน้าผู้ฝึกลมปราณยังจะนับเป็นอะไรได้อีก? ถอยไปพูดอีกก้าว สำหรับเทพแม่น้ำหันสือผู้นี้ กฎหมายบ้านเมืองไม่ได้ไร้ประโยชน์ทั้งหมด เพียงแต่ว่าเมื่อมาอยู่ในมือของขุนนางขั้นสี่ชั้นเอกอย่างข้ากลับไม่มีประโยชน์ เมื่ออยู่ในมือผู้ว่าฯ เฒ่ามีประโยชน์เล็กน้อย มีเพียงอยู่ในมือของฮ่องเต้เท่านั้นถึงจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง”
สตรีแต่งงานแล้วพึมพำเสียงเบา “หากตำแหน่งขุนนางผู้พิทักษ์เมืองของท่านนี้ไปอยู่ที่ราชวงศ์ต้าหลีแทนล่ะ?”
สายตาของบุรุษเข้มงวดขึ้นมาทันใด ตบที่เท้าแขนของเก้าอี้อย่างแรง “หลิวเจียฮุ่ย ห้ามพูดเหลวไหล! ต่อให้ต้าหลีจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็มีชาติกำเนิดเป็นคนป่าเถื่อน หากสกุลซ่งต้าหลีได้ควบรวมพื้นที่ทางเหนือจริงๆ ก็ต้องเป็นวันที่สายอารยธรรมปัญญาชนของทิศเหนือในแจกันสมบัติทวีปเราล่มสลายอย่างแท้จริง!”
สตรีแต่งงานแล้วขุ่นเคืองยิ่ง “หากเจ้าใจกล้ารักความเที่ยงธรรมจริง ทำไมไม่ละเมิดคำสั่งของเทพแม่น้ำผู้นั้น แล้วปกป้องผู้ฝึกตนอิสระให้ถึงที่สุดเสียเลยล่ะ? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเทพวารีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสุดยอดฝีมือผู้นี้จะสามารถปิดแผ่นฟ้าทิศเหนือของแคว้นหวงถิงได้ด้วยฝ่ามือเดียวจริงๆ หากไม่มีหนทางอื่น อย่างมากข้าก็ยกกองกำลังของสำนักมางัดข้อกับงูเจ้าถิ่นอย่างพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์นี้เสียเลย!”
บุรุษชี้หน้าสตรีแต่งงานแล้ว โกรธจนกลายเป็นขำ “อายุตั้งเท่าไหร่แล้วยังทำตัวไร้เดียงสาน่าหัวเราะถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าที่ฮ่องเต้ต้าหลีมีพลังอำนาจอย่างทุกวันนี้ได้ ตลอดทางที่เดินมาล้วนราบรื่นสมปรารถนาทุกสิ่งอย่างงั้นหรือ? ขนาดพื้นที่เขตการปกครองของพวกเรายังเป็นแบบนี้ งั้นก็ลองจินตนาการดูสิว่าราชวงศ์ต้าหลีที่มีขอบเขตกว้างใหญ่ไพศาลขนาดนั้นจะชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียอย่างไร? ในฐานะของกษัตริย์แห่งประเทศหนึ่ง ความสกปรกชั่วร้ายและความสามารถในการอดทนของเขาย่อมไม่ใช่สิ่งเจ้าและข้าจะจินตนาการได้”
สตรีแต่งงานแล้วเงียบเสียงลงไป
บุรุษดื่มน้ำชา เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางเหนื่อยล้าสุดขีด กระตุกคอเสื้อ พูดพึมพำกับตัวเอง “ข้าคือศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนตระกูลฉีจำเป็นต้องพยายามรักษากฎเกณฑ์ไว้ให้ได้มากที่สุด แต่ข้าก็ยังเป็นขุนนางของแคว้นหวงถิง ในเขตการปกครองมีประชาราษฎรที่ต้องให้การดูแลนับล้านคน จำเป็นต้องช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่สงบสุข มีเสื้อผ้าให้สวมใส่ มีอาหารให้กินอิ่มนอนหลับ ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางใช้เมตตาธรรมและคุณธรรมกับทุกเรื่อง เพราะข้าจำเป็นต้องก้มหัวค้อมเอวขอกำลังคนขอสมบัติอาคมจากเหล่าตระกูลเซียนที่มีอิทธิพล เพื่อใช้ต้านทานกับหายนะและภัยพิบัติทางธรรมชาติสารพัดอย่าง จำเป็นต้องเอาของขวัญไปเยี่ยมเยือนถึงบ้าน ขอร้องให้เทพวารีเทพแม่น้ำที่หยิ่งยโสเหล่านั้นพยายามกักเก็บโชคชะตาไว้ในขอบเขตของข้าให้ได้มากหน่อย ประชาชนยากจนล่างภูเขาก็ดี ตระกูลใหญ่ร่ำรวยก็ช่าง เมื่อเสียเปรียบ ถูกเหล่าเซียนซือรังแก ข้าก็ได้แต่คอยปะชุนซ่อมแซม รื้อกำแพงตะวันออกซ่อมกำแพงตะวันตก พยายามปลอบใจทุกคนให้ได้ดีที่สุด”
บุรุษหลับตาลง “หากไม่เอาตัวรอดไปวันๆ เช่นนี้ ข้าคงลาออกจากตำแหน่งขุนนางหรือไม่หมวกขุนนางก็คงปลิวหายไปนานแล้ว พอเป็นเช่นนี้ ตอนที่ผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นเอาประกาศแผ่นแรกไปติด เขาก็จะถูกใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองบางคนที่เป็นฝ่ายแจ้งข่าวแก่เทพวารีพาทหารและนักพรตไปจับตัวมาแล้ว หากไม่เป็นเช่นนี้ หลังจากที่คืนนี้ผู้ฝึกตนอิสระตายไป เขาก็จะไม่มีแม้แต่ป้ายหน้าหลุมศพ แน่นอนว่าคนก็ตายไปแล้ว ตายแล้วจะมีป้ายหน้าหลุมศพหรือไม่ จะมีคนเอาเหล้ามาคารวะหรือไม่ จะมีคนจดจำการกระทำอันดีงามที่เขาเคยทำเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ จะมีอะไรต่างกันตรงไหน?”
ใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองท่านนี้ลุกขึ้นยืน เดินไปหยุดตรงหน้าต่าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “รัชศกเจียลู่ปีที่สองของแคว้นหวงถิง ซึ่งก็คือเมื่อสิบปีก่อน เขตการปกครองสามแห่งซึ่งรวมถึงเขตการปกครองเฮ้อ ตอนกลางคืนได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่อง โดยที่เขตการปกครองเฮ้อร้ายแรงที่สุด ทั้งกระท่อม บ้านเรือน กำแพงและวัดวาอารามต่างก็ล้มครืน คนตายไปหกหมื่นกว่าคน นับจากเหตุการณ์นั้นหนึ่งเดือน หรืออาจจะแค่ห้าวัน หรืออาจจะแค่ไม่กี่วัน จนกระทั่งถึงช่วงสิ้นปี แม่น้ำลำคลองสายใหญ่ทั้งหมดทางทิศเหนือซึ่งรวมไปถึงแม่น้ำหันสือต่างไหลเชี่ยวกรากคลื่นซัดรุนแรง ลำพังเพียงแค่เขตการปกครองของเรา น้ำในแม่น้ำก็ท่วมทับคนตายไปเกือบหนึ่งร้อยคน รัชศกเจียลู่ปีที่สี่ เขตการปกครองเม่าของทางทิศใต้ก็มีภูเขาเคลื่อนขยับ รัชศกเจียลู่ปีที่แปด เขตการปกครองเหิงทางทิศตะวันตกเฉียงใต้สายน้ำตัดสลับกันมั่วซั่ว เรือจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน กลางดึกของช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงพลันเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ ไฟลุกลามไปยังเรือหลายพันลำ คนหลายหมื่นเหลือแต่ซากตอตะโก แหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีไม่มียกเว้น”
สีหน้าของบุรุษเศร้าหมอง ริมฝีปากสั่นระริก “ภัยพิบัติทางธรรมชาติเหล่านี้คือภัยพิบัติทางธรรมชาติจริงๆ หรือ?ชาวบ้านไม่รู้ความจริง แต่ข้ารู้”
บุรุษหันหน้ากลับมามองสตรีแต่งงานแล้ว “ข้ายังถึงขั้นรู้ด้วยว่าก่อนที่ผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นจะถูกจับและฆ่าตายต้องด่าว่าข้าคือสุนัขรับใช้พรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์และเทพแม่น้ำหันสือ เกลียดข้ายิ่งกว่าที่เกลียดพวกเขามากนัก”
สตรีแต่งงานแล้วเผยอปากแต่ก็ไม่พูดอะไร
สีหน้าของบุรุษเริ่มสงบนิ่ง “ข้าแน่ใจแล้วว่าหลังจากที่ผู้ฝึกตนอิสระคนนี้ตายไป อีกไม่นานในเมืองของเราจะมีข่าวลือที่คนจากตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลายจงใจเผยแพร่ออกไป บอกว่าเพื่อประจบเอาใจพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์แล้ว ข้าถึงขนาดตามหาที่ซ่อนตัวของผู้ฝึกตนคนนั้นอย่างยากลำบากแล้วล้อมสังหารเขา”
สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจ “มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเช่นนี้”
บุรุษคลี่ยิ้ม “ที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้ ไม่ได้พูดให้เจ้าฟัง แต่พูดให้ตัวเองฟัง…”
แม้ว่ากลางบ่อน้ำโบราณของโรงเตี๊ยมชิวหลูจะมีควันขาวผุดขึ้นมาเป็นระลอก จากนั้นจึงล่องลอยไปสี่ทิศ แต่อันที่จริงแล้วระดับน้ำต่ำมาก ทว่าจู่ๆ ระดับน้ำในผนังด้านในบ่อที่เต็มไปด้วยตะใคร่สีเขียวเข้มพลันเพิ่มทะยานขึ้นสูงจนมีระดับเท่ากับปากบ่อ จากนั้นก็มีชายร่างสูงใหญ่สวมเสื้อเกราะ ในมือถือง้าวสั้นก้าวออกมาหนึ่งก้าว สองข้างแก้มของบุรุษเต็มไปด้วยเครายาว นอกจากนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากคนปกติ
บุรุษกวาดตามองไปรอบด้าน ไม่เห็นเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งทำสมาธิในศาลาพักร้อนอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย เขาทะยานร่างขึ้นสูง พริบตาเดียวก็พลิ้วกายลงมาในเรือนที่ใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองมานอนค้าง เอ่ยเสียงดังกังวาน “ผู้พิทักษ์เมืองเว่ย หัวของผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นถูกข้าตัดด้วยมือตัวเองแล้ว ตอนนั้นยังมีคนนอกมากมายที่มารอชมเรื่องสนุก น่าเจ็บใจที่ก่อนตายเจ้าคนไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่นคนนั้นสบถด่าผู้พิทักษ์เมืองเว่ยด้วยคำพูดบาดหูยิ่งนัก เรื่องลับบางอย่างที่ไม่อาจแพร่งพรายให้คนนอกรู้ของผู้พิทักษ์เมืองเว่ยก็ถูกเจ้านั่นแฉเสียหมดเปลือก แถมยังกล้าสาดน้ำโคลนใส่ใต้เท้าตระกูลข้าอีกต่างหาก ข้าโมโหนัก เดิมคิดจะให้เขาตายด้วยวิธีที่รวดเร็วฉับไว แต่เพราะรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนผู้พิทักษ์เมืองเว่ยจึงแทงร่างเขาไปหลายรูก่อนจะตัดศีรษะ เรื่องนี้จบแล้ว หลังข้ากลับไปจะรายงานสถานการณ์ให้ใต้เท้าฟังอย่างแน่ชัด วางใจได้ จะไม่มีทางปล่อยให้คำพูดชั่วช้าก่อนตายของเจ้าคนผู้นั้นทำลายมิตรภาพอันดีระหว่างเจ้ากับใต้เท้าของข้าเด็ดขาด”
กล่าวจบ ลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเทพแม่น้ำหันสือผู้นี้ก็จากไป ไม่มีการอิดออดยืดเยื้อ
สตรีแต่งงานแล้วยืนนิ่งค้างอยู่หน้าประตูเรือน
ดูจากลักษณะนิสัยของผู้ฝึกตนคนนั้น ตามคำบอกของบุรุษในห้องแล้ว หากก่อนตายจะด่าว่าเขาเป็นสุนัขรับใช้ใครก็ตามถือเป็นเรื่องปกติมาก แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับแฉความลับของบุรุษในห้องต่อหน้าพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์และคนมากมายของเมืองกลับเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะก่อนหน้านี้บุรุษเคยมีการพูดคุยกับเขาอย่างลับๆ มาก่อน ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้ความคิดในใจของอีกฝ่ายดี หากจะบอกว่าในฐานะของผู้พิทักษ์เมือง บุรุษเลือกเปลี่ยนวิธีการมาทรยศนักพรตคนหนึ่ง เป็นเรื่องที่ประหลาดอย่างมาก ถ้าอย่างนั้นคำพูดก่อนตายที่เกินความจำเป็นของผู้ฝึกตนอิสระคนนี้ก็ไม่ปกติอย่างสิ้นเชิง
“ก่อนหน้านี้ที่ข้าคิดว่า นับว่าดูถูกเขาเกินไป”
ใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างฝึกตนอย่างเป็นทางการมาหลายปีจึงเข้าใจวิธีการของผู้ฝึกตนได้เร็วกว่าสตรีแต่งงานแล้ว เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ล่างภูเขามีผู้ผดุงความเป็นธรรม”