กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 143.2
ศีรษะของภูตงูน้ำจึงระเบิดคาที่
พอศพหงายตึงลงพื้นจึงกลับคืนสู่ร่างจริง กลายเป็นงูน้ำร่างเรียวยาวสีสันสดใสงดงาม
เมื่ออยู่ในห้องโถงใหญ่ที่ว่างเปล่า ยามที่เสียงคทาเหล็กสมบัติอาคมซึ่งเซียนท่านหนึ่งทิ้งไว้ชิ้นนั้นร่วงกระทบลงบนพื้นจึงกังวานและเสียดหูมากเป็นพิเศษ
ฝ่าเท้าของเด็กหนุ่มชุดขาวอยู่ห่างจากพื้นดินไม่ถึงครึ่งชุ่นแล้ว
บุรุษชุดดำไม่มีเวลามามัวเช็ดคราบเลือด เขายืดตัวขึ้นตรง เตรียมจะค้อมเอวขออภัย
เด็กหนุ่มชุดขาวที่เดิมทีหยุดท่ากระทืบเท้าเอาไว้แล้วดวงตาเป็นประกาย ครั้นจึงทำท่ายกฝ่าเท้ากลับอย่างเชื่องช้า
ทว่าจู่ๆ เด็กหนุ่มกลับท่องขึ้นมาอีกว่า “เจียวและมังกรถือกำเนิด”
ฝ่าเท้าเหยียบลงบนพื้น!
คล่องแคล่วว่องไว
เท้าของเทวรูปก็เหยียบตามลงมาด้วยโดยอัตโนมัติ
ฝ่าเท้าของเด็กหนุ่มเหยียบลงบนพื้นหินสีเขียวของจวนมหาวารี
ทว่าเท้าของเทวรูปด้านหลังกลับเหยียบลงบนปราณโชคชะตาของแม่น้ำหันสือ
นิ้วทั้งห้าของชายชุดดำที่กุมจับมังกรสีทองได้แทงทะลุเข้าไปในผิวหนังตรงหน้าอกแล้ว ต่อให้เจ็บปวดทรมานเพียงใดก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ
สิ่งนี้คือแสงสว่างแห่งการพิสูจน์มรรคาของเขา เป็นทั้งการรวบตัวกันของปณิธานแห่งจิตใจ และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นปมในใจ ให้ตายก็ไม่อาจปล่อยมือ!
เด็กหนุ่มชุดขาวคลายหมัดสองข้างที่กำแน่น สะบัดชายแขนเสื้อ ท่วงท่าสง่างามล่องลอยเกินจะเปรียบ เขาเดินขึ้นหน้ามาช้าๆ อ้อมศพของภูตงูน้ำที่น่าสงสาร เงยหน้ามองไปทางตำแหน่งประธาน ยกเท้าเหยียบลงบนคทาเหล็กชิ้นนั้นจนอาวุธตระกูลเซียนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้นพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “นายผู้เฒ่าเทพวารีท่านนี้ รู้สึกแปลกใจมากเลยใช่ไหม?”
เลือดสดหลั่งออกจากทวารทั้งเจ็ด
ชายชุดดำที่สีหน้าซีดเผือดประคองร่างกายที่ส่ายโอนเอนให้มั่นคง เอียงศีรษะพ่นเลือดออกมาหนึ่งคำ จากนั้นก็ก้มหน้าลงมองงูสีทองหม่นที่ร้องโอดครวญอยู่ตรงหน้าอก หลังจากเงยหน้าขึ้นช้าๆ สายตาของนายท่านผู้เฒ่าเทพวารีที่ไม่เคยลงมือสังหารศัตรูด้วยตัวเองเป็นเวลาเกือบสองร้อยปีเปลี่ยนมาเป็นเลื่อนลอย พูดเสียงแผ่ว “ท่านเซียนท่านนี้ จะไม่ปล่อยข้าไปสักครั้งจริงๆ หรือ? เซียนซือกระทืบอีกครั้ง ข้าก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
ทุกคนในห้องโถงไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ละคนอึ้งงันเป็นไก่ไม้
เทพแม่น้ำที่แทบจะไร้ผู้ใดทัดเทียมในสายตาของพวกเขาถูกคนปั่นหัวเล่นอยู่ในกำมือแบบนี้น่ะหรือ?
เด็กหนุ่มชุดขาวเริ่มมองซ้ายมองขวาอย่างเบื่อหน่ายอีกครั้ง ก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่บนร่างของนักประพันธ์ผู้สวมชุดขงจื๊อ ฝ่ายหลังรีบลุกขึ้นกุมมือคารวะ ซ้ำยังค้อมตัวค้างเป็นนานด้วยไม่กล้ายืดเอวขึ้นตรง ไม่เสียแรงที่มีชาติกำเนิดเป็นบัณฑิต รู้จักกาลเทศะรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ ถ่อมตัวประจบคนอื่นเป็น
เด็กหนุ่มมองไปยังเจ้าอ้วนที่ร่างจริงคือคางคกขวางนที ฝ่ายหลังไม่พูดไม่จาก็ลงไปนั่งคุกเข่า โขกหัวอย่างแรงพลางตะเบ็งเสียงดัง “คารวะท่านเซียน!”
มีเพียงภูตปลาหลีร่างกายกำยำสวมเสื้อเกราะเท่านั้นที่ถลึงตาจ้องตาเด็กหนุ่มชุดขาวเขม็ง
เด็กหนุ่มชุดขาวไม่รอให้ชายชุดดำตวาดสั่งสอนลูกน้องตัวเองก็ชิงพูดกลั้วยิ้มขึ้นเสียก่อน “ฆ่าซะ”
“ข้าจะนับถึงสาม สาม หนึ่ง”
แม้เด็กหนุ่มชุดขาวจะจงใจเล่นแง่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเตรียมจะกระทืบเท้าอีกครั้ง
ข้อนี้เขาเรียนรู้มาจากคนบางคน
คาดไม่ถึงว่าชายชุดดำผู้นั้นจะตัดสินใจเฉียบขาดมากกว่า ขุนพลผู้กล้าผู้ใต้บังคับบัญชาอันดับหนึ่งของตน คิดจะฆ่าก็ฆ่าได้ง่ายๆ
เห็นเพียงว่าชั่วกะพริบตา เขาก็มายืนอยู่ด้านหลังภูตปลาหลี ฝ่ามือข้างเดียวที่เหลืออยู่เพราะอีกข้างใช้กุมหน้าอกทะลวงจากด้านหลังจนทะลุหน้าอกด้านหน้าของขุนพลเอก ก่อนจะค่อยๆ ดึงแขนที่เต็มไปด้วยเลือดสดกลับคืน กดศีรษะชายร่างกำยำที่ตายตาไม่หลับเอาไว้ เพียงผลักเบาๆ ศพของอีกฝ่ายก็พ้นทาง เพียงไม่นานหัวใจดวงนั้นกลายมาเป็นโอสถสีแดงสดขนาดเท่าไข่ห่าน ชายชุดดำจึงโยนใส่ปากแล้วกลืนลงท้องไปอย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มชุดขาวยังรักษาคำพูดจึงเก็บเท้าข้างนั้นกลับคืนอย่างไม่เต็มใจนัก
เขามองไปยังหนึ่งผู้เฒ่าสองเด็กหนุ่มของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ยิ้มๆ “รู้จักข้าหรือไม่?”
ผู้อาวุโสฝ่ายนอกของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน กุมมือก้มหน้ากล่าวว่า “ก่อนหน้านี้พวกเรามีตาแต่ไม่มีแวว หวังว่าเซียนซือจะให้อภัย ข้าขอเชิญเซียนซือไปเป็นแขกที่พรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา…”
ไม่รอให้ผู้เฒ่าผมขาวกล่าวจบ เด็กหนุ่มก็เริ่มออกคำสั่งอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นก็ควักลูกตาออกมา”
นาทีถัดมาในมือของชายชุดดำก็มีดวงตาเพิ่มมาอีกคู่หนึ่ง ผู้เฒ่ายกสองมือกุมใบหน้า ระหว่างร่องนิ้วมีเลือดสดทะลักอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้เฒ่ากลับกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างแรง พยายามสุดชีวิตที่จะไม่ให้ตัวเองแผดเสียงออกมา
เด็กหนุ่มชุดขาวปรายตามองเด็กหนุ่มของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์สองคนที่สีหน้าซีดขาว “ถือว่าลูกหมาอย่างพวกเจ้าโชคดีที่ที่นี่คือแคว้นหวงถิง ไม่ใช่แผ่นดินของต้าหลี”
นักพรตหนุ่มสองคนที่มีอนาคตกว้างไกลโล่งอกได้เล็กน้อย
แต่เด็กหนุ่มกลับพูดอีกว่า “แต่พวกเจ้าก็ไม่ได้โชคดีถึงขนาดไหน พรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เจ้าประมุขยันผู้อาวุโสทุกคนเป็นพวกโง่เง่ากันแทบทั้งหมด ยืนกรานที่จะจงรักภักดีต่อสกุลหงแคว้นหวงถิง ดังนั้นพวกเจ้าก็ตายไปด้วยกันให้หมดนั่นแหละ”
เป็นครั้งแรกที่ชายชุดดำลังเลที่จะลงมือ
เด็กหนุ่มยืนสองมือไพล่หลัง หัวเราะพรืด “จวนมหาวารีของพวกเจ้าสร้างสถานการณ์ครั้งนี้ขึ้นมา นอกจากจะหยั่งเชิงว่าผู้พิทักษ์เมืองฉลาดพอหรือไม่ ยังเป็นเพราะเจ้าแน่ใจมานานแล้วว่าพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับฮ่องเต้สกุลหงแคว้นหวงถิง ถือเป็นตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน (คล้ายสำนวนไทยลงเรือลำเดียวกัน) แต่เจ้ากลับไม่ยอมฝังร่างอยู่ใต้กีบเท้าม้าเหล็กของกองทัพต้าหลีไปพร้อมกับพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์และสกุลหงแคว้นต้าหลีที่โง่เขลาเบาปัญญา ถึงได้จงใจใช้โอกาสนี้ตัดขาดผลบุญควันธูปน้อยนิดที่มีร่วมกันในอดีตทิ้ง ยามที่กองทัพต้าหลีบุกลงใต้ สกุลหงถูกฆ่าล้างพินาศวอดวายแล้ว จวนมหาวารีของเจ้าจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนโดนลูกหลงของไฟสงครามไปด้วย”
เด็กหนุ่มจุ๊ปากพูด “วิธีการที่ชั่วร้ายต่ำทรามเช่นนี้ก็มีแค่พรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่โง่เง่าเต่าตุนเท่านั้นถึงมองไม่ออก มีตาแต่ไร้แวว มีตาแต่ไร้แววจริงๆ พูดได้ดี แต่ก็ยังต้องตายอยู่ดี”
สีหน้าของชายชุดดำเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่หยุดนิ่ง แต่แล้วเขาก็หัวเราะร่าเสียงดัง อารมณ์เบิกบานกว่าเดิมเยอะมาก หันไปตบคนทั้งสามของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์คนละหนึ่งฝ่ามือ เพียงชั่วพริบตาหัวกะโหลกของพวกเขาก็แหลกเละ ถึงขั้นคนทั้งสามไม่ทันได้ร่ายเวทอภินิหารเลยด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มชุดขาวเดินช้าๆ มุ่งหน้าไปยังตำแหน่งประธานของห้องโถงใหญ่ ระหว่างนี้ตอนที่เดินเฉียดไปใกล้กับผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสองคน เขายังหันหน้ามาเอ่ยยิ้มๆ โดยไม่หยุดชะงักฝีเท้า “คนหนึ่งคือผู้ฝึกตนอิสระที่มีที่มาไม่ถูกทำนองคลองธรรม ควรจะเป็นหรือตาย ยังไม่ต้องรีบร้อน ค่อยดูว่าหลังจากนี้ข้าจะอารมณ์ดีหรือร้าย ส่วนอีกคนหนึ่งคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจินเหรินเจ้าประมุขศาลมังกรซุ่ม ฐานะพอจะมีน้ำหนักอยู่บ้าง ขอข้าคิดดูก่อน ที่เจ้ามาที่นี่คงเพื่อเพราะคำว่า ‘ตำหนัก’ สินะ? ข้าเดาคำตอบได้ถูกเป็นเรื่องแปลกนักหรือ เจ้าเลิกทำหน้าเหมือนคนกินขี้ได้หรือไม่? หากเจ้ายังทำอย่างนี้ นายท่านผู้เฒ่าเทพวารีอาจจะทำให้มีบุปผาเบ่งบานจากหัวกะโหลกของเจ้าก็เป็นได้”
ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองคนรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม ไหนเลยจะเคยพบเจอกับเหตุการณ์อกสั่นขวัญแขวนเช่นนี้ ตอนนี้พวกเขาถึงขั้นคิดอยากตายแล้วด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มชุดขาวเดินหน้าต่อ แต่แล้วจู่ๆ ก็หยุดเดิน มองไปยังนักประพันธ์ที่รูปลักษณ์ภายนอกแสดงถึงคำว่าประจบสอพลอเด่นหรา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ในคดีลับลำดับที่สามของศาลาใบไผ่ ชื่อจริงของเจ้าน่าจะเป็นถังเจียง ใช่ไหม? ลองคำนวณดูแล้ว เจ้าก็น่าจะซ่อนตัวอยู่ในแคว้นหวงถิงมานานหลายปีแล้ว ลำบากแล้วจริงๆ ไม่มีคุณความชอบอะไร แต่ก็พอจะมีคุณความเหนื่อยยากที่มีก็เหมือนไม่มีอยู่บ้างเล็กน้อย อืม ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลองเล่าภารกิจที่หัวหน้าของเจ้าสั่งให้ทำซึ่งเขียนไว้ในรายงานลับที่เจ้าเพิ่งได้รับมาให้นายท่านผู้เฒ่าเทพวารีฟังสักหน่อยสิ คราวนี้พวกเจ้าสองสหายจะได้ถือว่าเป็นพี่น้องที่ลงเรือลำเดียวกันอย่างแท้จริงแล้ว”
เวลานี้ฝ่ายหลังไม่เหลือท่าทางประจบสอพลออีกแล้ว บุคลิกพลันเปลี่ยนมาเป็นสุขุมไม่ยินดียินร้ายกับลาภยศสรรเสริญ กุมมือคารวะกล่าวว่า “ถังเจียงนักรบเดนตายลำดับสามแห่งศาลาไผ่เขียวคารวะ…”
กล่าวมาถึงช่วงท้าย หน่วยกล้าตายของศาลาไผ่เขียวต้าหลีผู้นี้ก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย ด้วยไม่รู้ว่าควรจะเรียกบุคคลยิ่งใหญ่ที่แฉตัวตนของตนตรงหน้านี้อย่างไร
คนที่สามารถรู้ถึงองค์กรลับในระดับของศาลาไผ่เขียวนี้ ในราชสำนักต้าหลีมีน้อยจนนับนิ้วได้ ดังนั้นถังเจียงจึงไม่ปิดบังอำพรางตัวอีกต่อไป นับประสาอะไรกับที่หากถอยไปพูดหนึ่งหมื่นก้าว หากเด็กหนุ่มชุดขาวคือศัตรูคู่อาฆาตของต้าหลีจริงๆ ตัวตนของเขาถังเจียงรั่วไหลไปแล้วก็ยิ่งมีแต่ความตายรออยู่เบื้องหน้า ต่างกันแค่ว่าจะตายเร็วหรือตายด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น
เด็กหนุ่มชุดขาวโบกมืออย่างห่อเหี่ยว “ช่างเถอะ ตอนนี้เรียกข้าว่าอะไรก็ไม่มีความหมายทั้งนั้น”
เด็กหนุ่มจ้องเขม็งไปยังใต้เท้ายกกระบัตรที่สองขาสั่นสะท้านนิ่งๆ ไม่เอ่ยคำใด
ขุนนางยกกระบัตรส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่มีชาติกำเนิดสูงศักดิ์ของแต่ละพื้นที่ ฮ่องเต้สกุลหงรู้สึกว่าทำเช่นนี้ถึงจะสามารถควบคุมผู้ว่าการมณฑลจากต่างถิ่นที่มาเป็นขุนนางได้ ทั้งสองฝ่ายต่างคานอำนาจกันเอง ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถก่อให้เกิดสถานการณ์อย่างการแบ่งแยกดินแดนตั้งตนเป็นอิสระ และนี่ก็คือเรื่องประหลาดอีกเรื่องหนึ่งของแคว้นหวงถิง
เด็กหนุ่มชุดขาวใคร่ครวญเล็กน้อยก็ชี้ไปที่ใต้เท้ายกกระบัตร
ฝ่ายหลังทรุดตัวนั่งคุกเข่าโขกศีรษะเรียบร้อยแล้ว “ขอท่านเซียนซือแห่งต้าหลีโปรดเมตตา ข้าน้อยยินดีเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ท่าน หากพูดปดเพียงครึ่งคำก็ขอให้ฟ้าผ่าไม่ตายดี!”
เด็กหนุ่มชุยฉานชี้ไปยังคนผู้นั้น “ลุกขึ้นมาเถอะ เจ้าไม่ต้องตาย หลังออกจากจวนมหาวารีแห่งนี้ไปแล้ว เจ้าจงไปหาผู้ว่าการมณฑลเฒ่าที่อายุมากผู้นั้นแล้วถามเขาตรงๆ ว่ายังอยากจะเป็นใต้เท้าผู้ว่าฯ ต่อหรือไม่ แค่เปลี่ยนจากผู้ว่าฯ แคว้นหวงถิงมาเป็นผู้ว่าฯ ของราชวงศ์ต้าหลีข้า หากพยักหน้ารับปากย่อมดีที่สุด วันหน้าพวกเจ้ายังเป็นเพื่อนร่วมงานกันได้ แต่หากไม่ยอม ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็สังหารเขาซะ จำไว้ว่าถึงเวลานั้นให้เอาศีรษะของผู้ว่าฯ เฒ่าคนนี้ส่งไปยังโรงเตี๊ยมชิวหลูที่อยู่ในมือ ไปหาหลิวเจียฮุ่ยนักพรตของทำเนียบตะวันม่วง เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น นางจะเข้าใจทุกอย่างได้เอง”
ทุกคนต่างก็รู้ว่าการยกทัพบุกลงใต้ของต้าหลีเป็นสถานการณ์ที่แน่นอนแล้ว
เพียงแต่ว่าตอนนี้เพิ่มความเร็วขึ้นจากเดิมเล็กน้อยก็เท่านั้น
เด็กหนุ่มชุยฉานมองใต้เท้ายกกระบัตรที่น้ำมูกน้ำตาไหลนองเต็มหน้าแล้วก็ส่ายหน้า “น่าสงสารจริงๆ รีบไสหัวไปเถอะ อย่ามาอยู่ขวางหูขวางตาตรงนี้เลย”
บุรุษที่สวมชุดขุนนางรีบลุกขึ้นยืนทันใด
เด็กหนุ่มพลันถามว่า “ดีใจหรือไม่?”
บุรุษตกใจจนหน้าไร้สีเลือด ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
เด็กหนุ่มโบกมือบอกเป็นนัยให้เจ้าหมอนี่รีบไสหัวไป จากนั้นก็ไม่มองเขาอีก ตัวเองเดินตรงไปยังตำแหน่งประธาน หลังจากนั่งลงบนโต๊ะตัวใหญ่เรียบร้อยถึงสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เก้าอี้หยกขาวลักษณะโบราณเรียบง่ายตัวหนึ่งก็ปรากฎขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า
เด็กหนุ่มชุดขาวจึงนั่งลงบนเก้าอี้หยกขาว
เทพแม่น้ำหันสือที่ถูกยึดบ้านยืนอย่างนอบน้อมอยู่ในห้องโถง
เด็กหนุ่มชุยฉานมองไปนอกประตูใหญ่ กล่าวอย่างเกียจคร้าน “นอกจากนักพรตพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่รังแกอาจารย์ลบล้างบรรพชนผู้นั้นแล้ว คนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องจะเทียบกับมดสักตัวก็ยังไม่ได้ รบกวนนายท่านผู้เฒ่าเทพวารีฆ่าให้หมด ให้พวกเขาไปอยู่เป็นเพื่อนกันบนเส้นทางน้ำพุเหลือง”
เด็กหนุ่มชุดขาวยกกาเหล้าขึ้นมาแกว่ง “ใช่แล้ว พวกเจ้าอยากจะดื่มสุราหยกทองสักจอกหนึ่งก่อนออกเดินทางหรือไม่?”
ในที่สุดพวกคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ก็เริ่มผรุสวาทด่าทอเสียงดัง บางคนก็ตกใจจนตัวอ่อนลงไปนอนกองกับพื้น บางคนเริ่มเผ่นหนีอย่างบ้าคลั่ง
เด็กหนุ่มชุยฉานเริ่มเงยหน้าขึ้นกรอกเหล้าเข้าปาก
มือข้างหนึ่งจับกาเหล้า
มืออีกข้างหนึ่งกำแน่น ความเจ็บปวดราวหัวใจถูกคว้านส่งมาจากกลางฝ่ามือเป็นระลอก
การเฆี่ยนตีแต่ละครั้งล้วนฟาดลงบนจิตวิญญาณ
เด็กหนุ่มปล่อยให้สุรากระจอกเลอะเทอะ เพราะอย่างไรซะบนร่างของเขายังมียันต์หลบน้ำแผ่นนั้นอยู่ หยดสุราจึงกลิ้งผ่านชุดสีขาวหล่นลงบนพื้นคล้ายหยาดฝนที่กลิ้งบนใบบัวที่เอนเอียง
เด็กหนุ่มชุยฉานโยนกาเหล้าไปเบื้องหน้าเบาๆ เอนหลังพิงเก้าอี้หยกขาว ใบหน้าที่แหงนเงยขึ้นบิดเบี้ยวเล็กน้อย เขาพร่ำท่องในใจว่า “ตาเฒ่า เจ้าซิ่วไฉตัวเหม็น ตาแก่หนังเหนียวตายยาก! ต่อให้จิตวิญญาณของข้าผู้อาวุโสแยกจากกัน แต่ก็ยังคงเป็นข้าชุยฉาน เจ้าแน่จริงก็ตีข้าให้ตายเลยสิ! ใครกันที่บอกว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นชั่วร้าย? ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือ?!”
เขาบิดลำคอคล้ายกำลังคุยกับใครบางคนเหมือนตอนแรกที่เผยตัวนอกธรณีประตู “ข้าไม่ฆ่าศัตรูของเจ้า เจ้าผิดหวังมากเลยใช่หรือไม่? เจ้านึกว่าข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้า คิดไม่ถึงว่าข้าจะเลวทรามไม่สมควรได้รับการอภัยยิ่งกว่าพวกเขาก็เลยผิดหวังมากกว่าเดิมใช่หรือไม่?”
เด็กหนุ่มชุดขาวไม่รอฟังคำตอบจากดวงวิญญาณนั้นก็สะบัดชายแขนเสื้อ สลายเศษซากจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของอีกฝ่ายให้แหลกลาญ
นับตั้งแต่ที่เขาเผยกายตรงจุดพักม้าด่านเหย่ฟูชายแดนต้าหลี ตลอดทางที่เดินทางมา ไหนเลยจะเป็นแค่การเดินเที่ยวชมทัศนียภาพเป็นเพื่อนเด็กๆ กลุ่มหนึ่ง
การเข่นฆ่าเกิดขึ้นทั่วทุกมุมในห้องโถง
เด็กหนุ่มวางมือข้างที่เจ็บปวดไว้ตรงหน้าท้อง มืออีกข้างที่สบายดียกขึ้นปิดปากที่อ้ากว้างเพราะหาว
ภูเขาและแม่น้ำเปลี่ยนง่าย สันดานมนุษย์เปลี่ยนยาก
—–