กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 149.2 นัดต่อสู้
ด้านหลังเฉินผิงอันก็มีการพบหน้ากันอีกครั้งเกิดขึ้นเช่นกัน
ผู้เฒ่าถลึงตามองเด็กหนุ่มชุดขาวที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว เด็กหนุ่มก็ถลึงตามองกลับไป ในใจคิดว่าตอนนี้ข้าผู้อาวุโสเปลือยเท้าก็ไม่กลัวที่จะต้องใส่รองเท้า (เปรียบเปรยว่าไม่มีอะไรจะต้องเสียแล้ว) ยังจะกลัวเจ้าไปทำไม?
ผู้เฒ่ามองไปยังสตรีร่างสูงใหญ่ก่อน ฝ่ายหลังพยักหน้าให้บอกเป็นนัยว่าไม่เป็นไร
ผู้เฒ่าถึงได้หันกลับมามองเด็กหนุ่ม กล่าวอย่างคนที่อายจนพานเป็นความโกรธ “เจ้าชุยฉานฉลาดนักไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเรามาลองเดินหมากกันใหม่ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ทำไมจู่ๆ การควบคุมทางตัวอักษรเหล่านั้นของข้าถึงได้หายไปกะทันหัน จนเจ้าสามารถดึงจิตวิญญาณที่อยู่ด้านในออกมาได้ อีกทั้งยังสามารถต่อสู้กับปณิธานที่ซุกซ่อนอยู่ในปราณกระบี่เส้นนั้นได้อย่างทัดเทียม ต่างฝ่ายต่างลดทอนกำลังกันเอง เป็นเหตุให้เจ้าทะยานออกมาจากก้นบ่อ มีโอกาสใช้กระบวนท่าพิฆาตกับเฉินผิงอัน? เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ถึงท้ายที่สุดแล้วเจ้าอาจถูกเฉินผิงอันต่อยตายในหมัดเดียว ขณะเดียวกันเฉินผิงอันก็ถูกเจ้าทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส?!”
สีหน้าของเด็กหนุ่มชุยฉานเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง สุดท้ายจึงเบ้ปากคล้ายขุ่นเคือง แสร้งทำเป็นว่าไม่ใส่ใจ “ก็แค่การลงมือของอริยะสายใดสายหนึ่งของลัทธิขงจื๊อ มีอะไรให้ต้องประหลาดใจกัน ขนาดฉีจิ้งชุนยังเต็มใจเดินเข้าหาความตาย ตกอยู่ในสภาพที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอความตายอย่างเดียว ข้าชุยฉานถูกคนเล่นงานครั้งหนึ่งแล้วจะทำไม”
เด็กหนุ่มยิ่งพูดก็ยิ่งมีโทสะ ยื่นนิ้วชี้หน้าซิ่วไฉเฒ่ายากจน “ตาเฒ่าเจ้ายังมีหน้ามาพูดเรื่องพวกนี้? ฉีจิ้งชุนที่เจ้าฝากความหวังไว้มากที่สุดตายไปแล้ว หม่าจานผู้โง่เขลาที่จิตใจไม่มั่นคงมากที่สุดก็ตายไปแล้ว ยังมีคนแซ่จั่วนั่นอีกที่หายตัวไปอย่างสิ้นเชิง ข้าชุยฉานเองก็ตกอยู่ในสภาพนี้ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วยังไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกหรือ? ใต้หล้านี้เจ้าเขียนบทความได้ดีที่สุด ปณิธานของเจ้าก็ลึกล้ำมากที่สุด ช่วยปลดความทุกข์ให้แก่โลกมานานที่สุด พอใจไหม?! รองอริยะคนอื่น ฟังให้ดีล่ะ คือรองอริยะ คนที่อยู่อันดับที่สามของศาลเจ้าบุ๋น เขาเสนอความคิดปวงประชาสูงศักดิ์กว่ากษัตริย์ และแผ่นดินมาเป็นอันดับรอง! แต่เจ้ากลับร้ายกาจนัก เอาแต่พูดถึงฟ้าดินกษัตริย์ญาติและอาจารย์ (หรือ 天地君亲师 คือห้าสิ่งที่ผู้คนให้ต้องความเคารพเลื่อมใสสูงสุดไล่เรียงมาเป็นลำดับ จะระบุไว้บนป้ายไม้ในศาลบรรพชนที่ชาวลัทธิขงจื๊อให้การกราบไหว้) รองอริยะบอกว่าสันดานมนุษย์แต่เดิมนั้นดีงาม แต่เจ้ากลับดีนัก ดันบอกว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นชั่วร้าย! นายท่านใหญ่ รองอริยะเคยไปหาเรื่องเจ้าตอนไหนกัน?”
เด็กหนุ่มโกรธจนกระทืบเท้า พฤติกรรมที่เกิดจากความเคยชินนี้ แท้จริงแล้วถือเป็นการสืบทอดต่อกันมาอย่างหนึ่งของสายซิ่วไฉเฒ่า นิ้วชี้ของเขาแทบจะแตะปลายจมูกของผู้เฒ่าอยู่แล้ว “ที่เกินทนยิ่งไปกว่านั้นก็คือ รองอริยะผู้นั้นอายุมากกว่าเจ้าไม่เท่าไหร่ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ดีในโลกมนุษย์ ตาเฒ่าทำไมเจ้าถึงดื้อด้านขนาดนี้ เจ้าก็ไปด่าปรมาจารย์มหาปราชญ์หรือไม่ก็อริยะด้านพิธีการสิ ไม่แน่ว่ารองอริยะอาจจะยังช่วยเหลือเจ้าไม่ใช่หรือ? แต่เจ้ากลับดึงดันจะเป็นปฏิปักษ์ต่อรองอริยะ ข้าล่ะยอมแพ้เลยจริงๆ!”
ซิ่วไฉเฒ่าเงียบงัน เพียงแค่เช็ดน้ำลายของเด็กหนุ่มที่กระเด็นมาโดนหน้าตัวเองออกเบาๆ
คนกันเองทะเลาะกัน มีความเห็นต่าง หากเป็นคนในครอบครัวเล็กๆ ปิดประตูทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดงก็ไม่นับเป็นอะไร
แต่ต้องรู้ว่า คนหนึ่งคือรองอริยะ อีกคนคืออริยะด้านภาษา “ศึกตรีจตุ” ที่ครึกโครมไปทั่วทั้งลัทธิขงจื๊อและสำนักศึกษาทั้งหมดนี้อันตรายและน่าพรั่นพรึงเกินไป โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าสองท่านแรกในศาลเจ้าบุ๋นไม่เผยกายในโลกมนุษย์นานแล้ว จึงแทบจะพูดได้ว่าอริยะใหญ่สองท่านเป็นตัวแทนของตลอดทั้งลัทธิขงจื๊อ ลัทธิขงจื๊อซึ่งเป็นผู้ตั้งกฎเกณฑ์ให้กับใต้หล้าไพศาล แม้จะไม่ถึงขั้นที่ว่ามีวี่แววจะแตกแยก แต่พวกที่เป็นเพื่อนบ้านล้วนเป็นคนฉลาดเฉลียว มีเบาะแสเล็กน้อยก็มองไปไกลได้เป็นหมื่นลี้ ใครบ้างจะไม่แอบชอบใจ?
หลังจากนั้นภายในของลัทธิขงจื๊อก็เกิดการเดิมพันที่ไม่เปิดเผยอย่างหนึ่ง ผู้ที่พ่ายแพ้ต้องยอมรับผลของการเดิมพัน โดยการขังตัวเองไว้ในป่ากงเต๋อ
ซิ่วไฉเฒ่าแพ้แล้ว จึงรอความตายอยู่ในนั้น ปล่อยให้เทวรูปของตัวเองที่อยู่ในศาลเจ้าบุ๋นถูกเปลี่ยนที่ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายถูกทุบทำลายไม่เหลือชิ้นดี
แต่เมื่อลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจที่สุดเดินทางไกลไปยังทวีปอื่น ใช้พละกำลังต้านทานมรรคาสวรรค์ ร่างม้วยมรรคาสลาย ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้ผิดต่อคำสาบาน จำเป็นต้องทำข้อตกลงอย่างหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงกับอริยะทุกคน ไม่ใช่แค่อริยะของลัทธิขงจื๊อเท่านั้น เพราะอย่างไรซะหากคำสาบานของอริยะสามารถกลับคำได้ง่ายๆ ถ้าเช่นนั้นเกรงว่าฟ้าดินที่มีกฎเกณฑ์เข้มงวดแห่งนี้ก็คงเปลี่ยนโฉมหน้าไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าเป็นฝ่ายละทิ้งเนื้อหนังมังสาหุ้มกายที่เป็นเปลือกภายนอกร่างนั้น ละทิ้งวิชาอภินิหารมากมายของอริยะลัทธิขงจื๊อ ใช้แค่จิตวิญญาณท่องพเนจรไปทั่วฟ้าดิน
ซิ่วไฉเฒ่ารอจนเด็กหนุ่มยกมือสองข้างเท้าเอว ก้มหน้าหอบหายใจ จึงถามว่า “ด่าจบแล้ว? ถึงเวลาที่ข้าต้องพูดคุยด้วยเหตุผลแล้วหรือเปล่า?”
หลังจากระบายความแค้นเคืองในใจออกมาจนหมด เด็กหนุ่มชุดขาวก็นึกถึงเรื่องราวมากมายในอดีตของตาแก่นี่ พลันเริ่มขลาดกลัวและร้อนตัวจึงเงียบเสียงลง
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ “การเดินหมากของฉีจิ้งชุน ใครเป็นคนสอน?”
ชุยฉานยืดอกเชิดหน้าทันใด “ข้าผู้อาวุโสเอง!”
ผู้เฒ่าเอ่ยเนิบช้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าเคยบอกกับพวกเจ้าทุกคนว่า เวลาที่พูดคุยเหตุผลกับคนอื่น ต่อให้ทะเลาะกัน หรือแม้แต่การถกเถียงในเรื่องของมหามรรคาก็ยังต้องทำใจให้สงบ”
ชุยฉานเงียบกริบเป็นจักจั่นในฤดูหนาว ก่อนพูดเบาๆ ว่า “เป็นข้า…เขาฉีจิ้งชุนไม่มีการตื่นรู้ในด้านการเล่นหมากล้อม พอแพ้ให้ข้าหลายครั้งเข้าก็ไม่ยอมเล่นอีก”
ผู้เฒ่าถามอีกครั้ง “แล้วใครเป็นคนสอนเจ้าเล่นหมากล้อม?”
ชุยฉานไม่ยอมตอบ
ซิ่วไฉเฒ่าแค่นเสียงในลำคอ “ข้าผู้อาวุโสเอง!”
ชุยฉาน้อยเนื้อต่ำใจ เคียดแค้นกัดฟันจนฟันแทบตก ตาเฒ่าเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าอะไรคือการทำตัวเป็นแบบอย่าง?
ผู้เฒ่าผ่อนน้ำเสียงให้อ่อนลง “ตอนที่เจ้าสอนฉีจิ้งชุนเล่นหมากล้อม เมื่อเทียบกับข้าแล้ว ใครฝีมือสูง ใครฝีมือต่ำ?”
ชุยฉานฝืนใจตอบ “ข้าสู้เจ้าไม่ได้”
ผู้เฒ่าถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อฉีจิ้งชุนเรียนเล่นหมากล้อม เพียงไม่นานก็เอาชนะข้าได้แล้ว?”
เด็กหนุ่มอึ้งตะลึง
แต่กลับไม่ได้สงสัยในความเป็นจริงของคำพูดของผู้เฒ่า
ผู้เฒ่าถามอีกครั้ง “รู้หรือไม่ว่าลับหลังเจ้าฉีจิ้งชุนพูดว่าอย่างไร? เขาบอกกับข้าว่า ‘ศิษย์พี่ชอบเล่นหมากล้อมจริงๆ แถมยังค่อนข้างคาดหวังในชัยชนะ ส่วนข้าก็ไม่อยากหลอกคนอื่นเวลาเล่นหมากล้อม หากศิษย์พี่ต้องแพ้ให้ข้าอยู่ตลอด ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเขาก็จะต้องสูญเสียเรื่องที่ทำให้มีความสุขไปเรื่องหนึ่ง’”
เด็กหนุ่มชุยฉานเถียงคอเป็นเอ็น “ต่อให้เป็นอย่างนี้ แล้วยังไง?”
ผู้เฒ่าโกรธเคืองที่อีกฝ่ายไม่เอาไหน ขณะเดียวกันก็เศร้าใจในความโชคร้ายของอีกฝ่ายจึงเอยสั่งสอน “เจ้ามันปากแข็ง แต่ไหนแต่ไรมาก็รู้ถึงความผิดอย่างรวดเร็ว แต่กลับยอมรับผิดเชื่องช้านัก! สมควรแก้ไข หึ!”
เด็กหนุ่มชุยฉานเดือดดาล “ก็ไม่ใช่เจ้าเป็นคนสั่งสอนหรือไร!”
ผู้เฒ่าถลึงตาใส่เขา เงียบไปครู่ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “การทรยศของหม่าจานน่าจะทำให้เสี่ยวฉีผิดหวังยิ่งกว่าแผนการของเจ้าชุยฉานกระมัง”
ชุยฉานหลุดหัวเราะพรืด “คนอย่างหม่าจานผู้นี้ แม้แต่พูดถึงข้ายังคร้านจะทำ จิตใจเขาสูงเทียมฟ้า แต่ชะตากลับบางยิ่งกว่าแผ่นกระดาษ หากจะพูดถึงข้า จะดีจะชั่วข้าก็ยังทำเพื่อโอกาสบนมหามรรคา เพื่อควันธูปของสายบุ๋น แต่เขาล่ะ เพียงแค่เพื่อตำแหน่งเจ้าขุนเขาสำนักศึกษา เพื่อว่าในอนาคตจะได้ควบคุมโรงเรียนแห่งหนึ่ง เพื่อชื่อเสียงจอมปลอมเพียงเท่านี้ก็ถึงกับยอมสละมิตรภาพของสหายร่วมชั้นเรียน เต็มใจกลายเป็นหมากของผู้อื่น ก็สมควรตายแล้วจริงๆ ตาเฒ่า ประโยคบอกลาที่เจ้ามอบให้กับฉีจิ้งชุนตอนนั้น ‘การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด น้ำเงินกำเนิดจากต้นคราม แต่สีเข้มกว่าคราม’ ประโยคนี้เป็นที่แพร่หลาย ข้ารู้ดี แต่เจ้าเอ่ยประโยคอะไรกับหม่าจาน?”
ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเรียบเฉย “ฟ้าดินให้กำเนิดวิญญูชน วิญญูชนจัดระเบียบฟ้าดิน น่าเสียดายเหลือเกิน”
ชุยฉานเอ่ยเยาะ “หลังจากที่หม่าจานพาเด็กพวกนั้นออกไปจากเมืองเล็ก แรกเริ่มก็พูดคุยกับหมากตัวหนึ่งของข้าอย่างถูกคอ ให้ความสนิทชิดเชื้อจริงใจ จึงพูดถึงว่าเขาเคยทะเลาะกับฉีจิ้งชุนด้วยเรื่องที่ว่าควรจะไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูหรือควรอยู่ต่อ สุดท้ายฉีจิ้งชุนพูดประโยคประหลาดที่ว่า ‘วิญญูชนคล้อยตามกาลเทศะ ควรยืดก็ยืด ควรงอก็งอ’ กับเขา หม่าจานตกตะลึงอย่างยิ่ง เจ้างั่งหม่าจานผู้นี้ หลังจากฉีจิ้งชุนตายไปอย่างทรงเกียรติ เขากลับยังทำตามใจเห็นแก่ตัวของตน ฝันกลางวันว่าจะได้เป็นเจ้าขุนเขาของหนึ่งสำนัก ต้องรอให้ใกล้จะตายก่อนสติปัญญาถึงจะบังเกิด ในที่สุดก็แน่ใจแล้วว่าฉีจิ้งชุนรู้ถึงการกระทำของเขามาตั้งแต่ตอนยังอยู่ในโรงเรียนแล้ว เพียงแต่ไม่คิดจะเปิดโปงเขาก็เท่านั้น ยังคงหวังให้เขาหม่าจานดูแลเด็กๆ เหล่านั้นให้ดี หม่าจานรู้ตัวช้าจริงๆ หลังจากถูกถ่วงเวลาไว้ถึงสองครั้ง ในที่สุดก็รู้จักปลงตก จึงปลุกเลือดแห่งความเป็นชายชาตรีที่มีอยู่น้อยนิดขึ้นมาเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต จ่ายค่าตอบแทนด้วยการหมดโอกาสเกิดใหม่ทำร้ายหมากตัวนั้นของข้า ถึงทำให้เด็กๆ เหล่านั้นกลับมายังเมืองเล็กได้อย่างปลอดภัย สุดท้ายถึงได้มีเรื่องมากมายเหล่านี้ตามมา…”
กล่าวถึงท้ายที่สุด เด็กหนุ่มชุดขาวก็หมดเรี่ยวแรงลงเรื่อยๆ
ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจไม่หยุด
เรื่องราวและคนมากมายในถ้ำสวรรค์หลีจู โดยเฉพาะหกสิบปีล่าสุดที่ฉีจิ้งชุนเป็นผู้พิทักษ์ ความลับสวรรค์ถูกตัดขาดอย่างแน่นหนาเข้มงวดมากขึ้น ฉีจิ้งชุน หยางเหล่าโถว รวมถึงบุคคลที่อยู่เบื้องหลังทั้งหลายต่างก็พากันลงมืออย่างลับๆ เป็นเหตุให้ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งนี้มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ซับซ้อนเกินจะคาดเดา ต่อให้เป็นซิ่วไฉเฒ่าที่เก่งการคำนวณและอนุมานก็ยังไม่กล้าพูดว่าความจริงที่เขาวิเคราะห์ออกมาก็คือความจริงที่แน่นอน
น้ำเสียงอ่อนโยนของสตรีร่างสูงใหญ่ดังขึ้นเบาๆ “คุยจบแล้วรึ?”
ชุยฉานค้นพบว่าสีหน้าของซิ่วไฉเฒ่าไม่น่ามองนัก เขาถอนหายใจหนักๆ หางตาเหลือบไปเห็นว่าสตรีผู้นั้นกำลังมองมาที่ตน ผู้เฒ่าก๋ได้แต่ปลดห่อสัมภาระด้านหลังลงอย่างอิดออด หลังจากหยิบตำราม้วนเล่มหนึ่งออกมาก็คลี่เชือกที่รัดม้วนตำรานั้นออกเบาๆ
เฉินผิงอันมีแต่ความฉงนสนเท่ห์
นางเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน พูดยิ้มๆ ว่า “เดี๋ยวหลังจากนี้เจ้าสามารถออกกระบี่ได้สามครั้ง”
นางหรี่ตามองไปยังท้องฟ้านอกใบบัวพลางเอ่ยเนิบนาบ “อีกเดี๋ยวเมื่อข้ากลับคืนสู่ร่างจริง เจ้าไม่ต้องแปลกใจ”
สุดท้ายเหมือนนางนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงกล่าวขออภัย “ลืมพูดสองคำไป”
เฉินผิงอันเงยหน้ามอง
สตรีร่างสูงใหญ่เก็บรอยยิ้มกลับคืน เอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “นายท่าน”
—–