กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 152.2 สูงเหนือนอกฟ้า
บนยอดเขาสูงตระหง่าน
เทพสีทองที่เดิมทีกายธรรมสูงพันจั้ง พอพลิ้วกายลงมาบนยอดเขาก็ย่อร่างเล็กลงจนกลายเป็นบุรุษร่างกำยำสูงหนึ่งจั้ง เขาสวมเสื้อเกราะสีทองเคร่งขรึมเปี่ยมบารมี พื้นผิวของเกราะทองสลักอักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วน อักขระโบราณบางตัวที่หายสาบสูญไปนานแล้วแผ่กลิ่นอายเรียบง่ายเยือกเย็น ไม่รู้ว่าสืบทอดต่อกันมากี่พันกี่หมื่นปี บางตัวที่แม้จะผ่านกาลเวลามาเป็นพันปีก็ยังดูใหม่เอี่ยม ส่องประกายแสงแห่งความศักดิ์สิทธิ์ อักขระแต่ละตัวฝังเลื่อมอยู่ในเสื้อเกราะ ระหว่างบรรทัดตัวอักษรคล้ายมีธารน้ำสีทองไหลริน ส่วนตัวอักษรเหล่านั้นก็เหมือนขุนเขาสีทองอร่ามหลายลูก
ซิ่วไฉเฒ่ารู้สึกผิดเล็กน้อยจึงทำคอย่น แสร้งมองซ้ายมองขวาเรื่อยเปื่อย
ใบหน้าของบุรุษก็สวมหน้ากากเช่นกัน เขาเอ่ยด้วยเสียงทุ้มทึบหนัก “นับตั้งแต่ที่ข้ารับตำแหน่งเทพภูเขาเขาสุ้ยซานก็เป็นเวลาหกพันปีเต็มแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าใช้กระบี่มาท้าทายเขาสุ้ยซานของข้า ซิ่วไฉ เจ้ามีอะไรจะอธิบายหรือไม่?!”
ซิ่วไฉเฒ่าทำหน้าเหลอหลา “อธิบายอะไรหรือ?”
บุรุษเกราะทองรู้นิสัยของซิ่วไฉเฒ่าดี จึงคร้านจะพูดให้มากความ หันหน้าไปมองทางเฉินผิงอันก็ขมวดคิ้ว “ปราณบนร่างของนางมีที่มาลึกล้ำ คือเทพเซียนของที่ใด? นางเป็นคนลงมือฟันเขาสุ้ยซานด้วยตัวเองรึ?”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเบาๆ “ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าไปหาเรื่องนางเลย นิสัยของแม่นางเฒ่าผู้นี้ไม่ค่อยดีนัก”
บุรุษเกราะทองพูดเสียงเรียบ “ข้านิสัยดีงั้นสิ?”
ซิ่วไฉเฒ่าค้อนใส่ “ใช่ๆๆ พวกเจ้าต่างก็นิสัยไม่ดี มีแต่ข้าที่นิสัยดีกว่าใคร พอใจหรือยัง พวกเจ้านี่นะ แต่ละคนชอบทำตัวไร้เหตุผลกับคนมีเหตุผล ข้าผู้อาวุโสโมโหจะตายอยู่แล้ว!”
ไม่รู้ว่าเทพเกราะทองคิดอะไรขึ้นมาได้ บรรยากาศที่เคร่งเครียดจึงพลันสลายหายไป
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ “ที่มาของเรื่องนี้ ข้าคงไม่เล่าแล้ว สรุปคือเกี่ยวข้องกับเสี่ยวฉี เจ้าก็สนับสนุนสักครั้ง?”
บุรุษเงียบงันเป็นการตอบรับ
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “งั้นก็ถือว่าเจ้ายอมรับแล้ว เฮ้อ เจ้าคนนี้อะไรก็ดีไปหมด แต่หน้าบางไปหน่อย แถมยังชอบวางท่า เจ้าก็รู้ว่าเราสองคนสนิทกันแค่ไหน ปีนั้นพวกเราสองคนแอบไปลอบยลโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าแม่เทพภูเขาท่านนั้นด้วยกัน นึกไม่ถึงว่านางจะกำลังอาบน้ำผลัดเสื้อผ้า หากไม่เป็นเพราะข้ามีคุณธรรม ยอมแบกรับโทสะท่วมเทียมฟ้าของนางไว้เพียงลำพัง ใช้เวลาสามวันสามคืนอธิบายเหตุผลของมหาปราชญ์กับนาง จนกระทั่งสุดท้ายใช้เหตุผลสยบคนได้สำเร็จ กว่าจะทำให้นางไม่ตำหนิเรื่องในอดีตได้ไม่ใช่ง่ายๆ หาไม่แล้วเจ้าจะเอาหน้าแก่ๆ นี่ไปวางไว้ที่ไหน…”
บุรุษกล่าวเสียงหนัก “หุบปาก!”
ซิ่วไฉเฒ่ารู้ว่าตัวเองทำสำเร็จแล้วจึงไม่คิดได้คืบเอาศอก จะบอกว่ากฎของเทพภูเขาเขาสุ้ยซานคือกฎทองระเบียบหยกก็ไม่เกินจริงเลย สามารถทำให้เจ้าทึ่มผู้นี้หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งได้ ซิ่วไฉเฒ่ารู้สึกว่าตัวเองร้ายกาจมากแล้ว จึงรู้สึกตัวลอยเล็กน้อย ชี้ไปยังทิศไกล “ใช่แล้ว เห็นหรือไม่ เด็กหนุ่มคนนั้นก็คือลูกศิษย์คนสุดท้ายที่เสี่ยวฉีช่วยรับไว้ให้ข้า เจ้ารู้สึกว่าเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ ฮ่าๆ ข้าชอบเขามากเลยล่ะ นิสัยคล้ายข้าในอดีต ชอบใช้เหตุผลกับคนอื่น หากพูดไม่รู้เรื่องจริงๆ ค่อยลงมือ ส่วนวิธีการลงมือก็เหมือนเสี่ยวฉีในอดีต จุ๊ๆ เจ้าพกเหล้ามาบ้างไหม?”
บุรุษเกราะมองกวาดตามองประเมินไปบนร่างของเด็กหนุ่ม “หากฉีจิ้งชุนไม่บ้า เจ้าก็ตาบอด”
ซิ่วไฉเฒ่าไม่โกรธ ยังคงหัวร่ออารมณ์ดี “เรื่องของบัณฑิต คนหยาบกระด้างอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร”
บุรุษชุดทองน่าจะถือว่าเป็นมหาเทพห้าขุนเขาที่ตำแหน่งสูงที่สุด พลังอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดของใต้หล้าไพศาลแห่งนี้แล้ว เพียงแต่ว่ายิ่งมีพละกำลังแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่สามารถทำทุกอย่างได้สมใจปรารถนา เพราะองค์เทพที่มีพลังการต่อสู้ล้ำเลิศ ฐานะสูงส่งอย่างพวกเขานี้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ต้องได้รับอิทธิพลจากควันธูป ก็มักจะยิ่งถูกพันธนาการจากกฎเกณฑ์ของใต้หล้าไพศาลมากเท่านั้น ก่อนหน้าที่เทวรูปของซิ่วไฉเฒ่าจะถูกนำไปวางในศาลเจ้าบุ๋น เคยมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่เขาได้รับหน้าที่ให้คอยจับตามองขุนเขาใหญ่ทั้งห้าซึ่งรวมภูเขาสุ้ยซานไว้ด้วย นี่สามารถเรียกได้ว่าเป็นตำแหน่งสบายว่างงานของที่ว่าการ และบางครั้งก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่
ยกตัวอย่างเช่นหนึ่งในการลงมือสามครั้งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของซิ่วไฉเฒ่า ซึ่งก็คือการใช้ตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตกดสยบห้าขุนเขาขนาดใหญ่ของแผ่นดินกลางให้จมลงไปใต้ดินเกินครึ่งลูก
ร่างทองขององค์เทพห้าขุนเขาที่มีที่พึ่งยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุดผู้นั้นแตกทลายคาที่ ศิษย์รองของมรรคาจารย์เต๋าเดือดดาลอย่างถึงที่สุด เกือบจะแหวกม่านฟ้า พุ่งจากฟ้านอกฟ้าบุกเข้ามาในใต้หล้าไพศาล
ตอนนั้นซิ่วไฉที่ยังไม่แก่เท่าไหร่ไม่เพียงไม่เข้าไปหลบอยู่ในสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ กลับยังทะยานขึ้นฟ้าเพียงลำพังอย่างห้าวหาญ คุมเชิงอยู่กับศิษย์รองของมรรคาจารย์เต๋าที่บุกมาด้วยท่าทางดุดันอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อของสองดินแดน บัณฑิตยื่นคอออกไป ชี้นิ้วที่ลำคอตัวเองแล้วเอ่ยว่า ‘มาๆๆ ฟันลงมาตรงนี้เลย’
การเดินทางขึ้นฟ้าในครั้งนั้น บัณฑิตไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
นี่ยังเรียกว่านิสัยดีได้อีกหรือ?
หากเป็นอาจารย์ที่นิสัยดีจริงๆ จะสั่งสอนลูกศิษย์ออกมาเป็นอย่างฉีจิ้งชุน คนแซ่จั่ว หรือชุยฉานได้หรือ? คนหนึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะตั้งสำนักเรียกตนเป็นบรรพจารย์ คนหนึ่งเป็นพวกนอกรีตนอกรอย อีกคนหลอกลวงอาจารย์ล้มล้างบรรพบุรุษ
เทพเกราะทองพลันถามว่า “เพื่อฉีจิ้งชุนที่ต้องตายแน่นอนแล้ว เจ้าถึงกับละเมิดคำสาบานออกมาจากสวนป่ากงเต๋อ แม้แต่มหามรรคาก็ไม่ต้องการอีกต่อไป เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
นักปราชญ์ละเมิดกฎ วิญญูชนหันหลังให้เหตุผล ต่างคนต่างมีจุดจบน่าสมเพช และในระบบของลัทธิขงจื๊อก็จะต้องมีอริยะใช้กฎมาสั่งสอน
แต่หากอริยะทำผิดกฎเสียเอง จุดจบจะอเนจอนาถมากที่สุด
สำหรับฉีจิ้งชุนที่ต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว ก็ถือว่าซิ่วไฉเฒ่ายอมทุ่มสุดชีวิตแก่ๆ อย่างแท้จริง
แทบจะไม่มีใครเข้าใจการกระทำของเขา
ทั้งๆ ที่รู้ว่าสถานการณ์โดยรวมถูกกำหนดไว้แล้ว ยังจะโต้เถียงเพื่อปณิธานยิ่งใหญ่ ช่างไร้ความหมาย
ดังนั้นต่อให้เทพเกราะทององค์นี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของภูเขาและแม่น้ำมาจนชินชาแล้วก็ยังคงรู้สึกเหลือเชื่ออยู่ดี
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหัวจัดเส้นผม ยิ้มบางเอ่ยว่า “ข้าเคยมีคำถามข้อหนึ่งที่ให้ฉีจิ้งชุนไปหาคำตอบ ในเมื่อฉีจิ้งชุนบอกคำตอบของเขามาแล้ว ข้าที่เป็นอาจารย์ก็ไม่ควรทำตัวสู้ลูกศิษย์ไม่ได้”
มหาเทพภูเขาสุ้ยซานหัวเราะหยัน “เลิกพูดจาวกวนอ้อมค้อมกับข้าสักที น้ำเงินกำเนิดจากต้นคราม แต่สีเข้มกว่าคราม ประโยคนี้เจ้าเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือ? ในเมื่อลูกศิษย์ไม่จำเป็นต้องเทียบอาจารย์ได้ ประโยคนี้ของเจ้าก็ฟังไม่ขึ้น”
ซิ่วไฉเฒ่าชี้หน้าเทพเกราะทอง “เจ้ามันหัวทื่อ เชื่อตามตำราทั้งหมด ไม่สู้ไม่รู้หนังสือจะดีกว่า เคยได้ยินไหม?”
เทพเกราะทองฉุนจนกลายเป็นขำ “คร้านจะพูดเรื่องไร้สาระกับเจ้า ไปล่ะ เจ้ารักษาตัวด้วย”
เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ “หากไม่ไหวจริงๆ ก็มาที่เขาสุ้ยซาน”
ซิ่วไฉเฒ่าโบกมือ “สถานที่อย่างภูเขาสุ้ยซานนั่น อึทีหนึ่งก็เหมือนกำลังดูหมิ่นปราชญ์เมธี ข้าไม่ไปหรอก อีกอย่างตอนนี้ข้าสูญเสียโอกาสที่จะพิสูจน์มรรคา ไม่มีความสามารถเหมือนเมื่อก่อนแล้วจริงๆ แต่หากใครคิดจะเล่นงานข้า หึๆ ก็ดาหน้าเข้ามาได้เลย น่าเสียดาย หากปีนั้นข้ามีโอกาสอย่างนี้ ตอนเจอกับเจ้าเฒ่าจมูกโค (คำดูหมิ่นนักพรตเต๋า) ผู้นั้น จะต้องกอดขาให้เขาฟันหัวของข้า หากไม่ฟันข้าก็ไม่ปล่อยให้เขากลับไป ไหนเลยจะยังขาสั่นเพราะหวาดผวาหลังจบเรื่อง”
เทพเกราะทองส่ายหน้า ไม่เหลืออารมณ์อยากจะพูดคุยแล้วจริงๆ เขาไม่อยากเสวนาเรื่องเก่าแก่นานนมกับบัณฑิตผู้นี้ เพราะอย่างไรซะนับตั้งแต่ที่ตนได้รู้จักกับซิ่วไฉเฒ่าผู้นี้ ทุกครั้งที่เจอเจ้านี่ต้องหมดสนุกเสมอ แต่แม้จะเสียอารมณ์ในทุกๆ ครั้ง กลับอดที่จะรอคอยการพบเจอกันครั้งหน้าไม่ได้
ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดนัก
ซิ่วไฉเฒ่าพลันส่งเสียงตะโกน “อย่าเพิ่งไปๆ มีเรื่องจะขอร้อง เรื่องใหญ่แค่เมล็ดงาเมล็ดถั่วเขียวเท่านั้น เจ้าไม่ต้องกลัว”
เทพเกราะทองไม่พูดไม่จา กลายร่างเป็นแสงสีทองทะยานขึ้นฟ้าเตรียมไปจากพื้นที่แห่งนี้
แต่นาทีถัดมา เขากลับหยุดอยู่กลางอากาศด้วยร่างจริง
ที่แท้ซิ่วไฉเฒ่าก็หน้าด้านยื่นมือไปดึงข้อเท้าของเขาเอาไว้ จึงห้อยตัวอยู่กลางอากาศพร้อมกับเขาด้วย
เขาจึงได้แต่ลดตัวลงบนพื้นอีกครั้ง มองซิ่วไฉเฒ่าที่ยืนตบมือหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ ก็กล่าวอย่างโมโห “ทำตัวหยาบคายนัก! มีลมก็รีบผาย!”
ซิ่วไฉเฒ่าถูมือ “ข้าเพิ่งจะรับลูกศิษย์คนสุดท้ายใช่ไหมล่ะ ความประทับใจแรกที่ข้ามอบให้เขาคงไม่ดีเท่าไหร่นัก เลยอยากจะชดเชยด้วยการมอบของขวัญพบหน้าอะไรสักหน่อย เพราะอย่างไรซะอีกไม่นานก็ต้องจากลากันแล้ว ไม่มีโอกาสสั่งสอนเขา ข้ารู้สึกผิดยิ่งนัก”
เทพเกราะทองหลุดหัวเราะพรืด “ให้ช่วยเจ้าเตรียมของขวัญพบหน้าหนึ่งชิ้น? ได้สิ เรื่องนี้ง่ายมาก ในภูเขาสุ้ยซานของข้ามีกระบี่สยบขุนเขาเล่มหนึ่งที่สูญเสียจิตวิญญาณกระบี่ จะเอามอบให้ลูกศิษย์ของเจ้าไหม? มีน้ำหนักมากพอหรือเปล่า?”
ซิ่วไฉเฒ่าทำสีหน้าเขินอายอย่างไร้ความจริงใจ “แบบนี้จะได้อย่างไร ของขวัญชิ้นนี้หนักเกินไป ข้าจะรับมาได้อย่างไร…แต่จะพูดไปแล้วนี่ก็ถือเป็นน้ำใจของผู้อาวุโสอย่างเจ้า หากเจ้าจะยัดเยียดให้ข้าจริงๆ ข้าสามารถบอกให้เฉินผิงอันรอไปก่อนหนึ่งร้อยปีแล้วค่อยไปรับมา ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นเขาอาจจะถือไหวแล้ว…”
เทพเกราะทองสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง คนที่สนิทกับเขาล้วนรู้ดีว่า นี่คือสัญญาณว่าจะลงไม้ลงมือแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่ารีบพูดอย่างจริงจังทันที “จะดึงหญ้าช่วยให้โตเร็วได้อย่างไร เจ้านี่ก็จริงๆ เลย แค่มีใจก็ดีแล้ว ไม่รู้จักหลักการที่ว่ายิ่งเร่งรีบยิ่งไม่ถึงจุดหมายหรือไร? ลูกศิษย์น้อยคนนี้ของข้าต้องแบกกระบี่เดินทางไกลไปศึกษา เจ้ามอบตัวอ่อนกระบี่ไร้เจ้านายให้เขาสักก้อนก็พอแล้ว แต่มีเงื่อนไขเล็กน้อยว่าเมื่อเอามาแล้วต้องใช้ได้จริง ไม่ใช่ว่าต้องเป็นนักพรตขอบเขตสิบเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์แตะต้อง ตกลงไหม? เจ้าที่เป็นผู้อาวุโสเห็นว่าอย่างไร?”
เทพเกราะทองหัวเราะเย้ย “หากข้าไม่ให้ เจ้าก็จะไม่ปล่อยให้ข้ากลับไปใช่ไหม?”
ซิ่วไฉเฒ่าขยับเท้าเข้าใกล้เทพเกราะทองอย่างเงียบเชียบ ยื่นมือไปจับแขนเขา พูดอย่างมีเหตุมีผล “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าเป็นคนแบบนั้นหรือ?”
มหาเทพภูเขาสุ้ยซานส่ายหน้าอย่างระอาใจ “เพื่อลูกศิษย์พวกนี้ เจ้าก็ไม่ต้องการชีวิตแล้วจริงๆ แม้แต่ศักดิ์ศรีหน้าตาก็ไม่ต้องการแล้ว ได้ๆๆ ข้าให้ๆ!”
เขาสะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง สิ่งของลักษณะเป็นก้อนเงินขนาดเท่ากำปั้นชิ้นหนึ่งก็ลอยอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง
สีหน้าของซิ่วไฉเฒ่าเคร่งเครียด ไม่ได้รีบร้อนยื่นมือไปรับ แต่ถามว่า “เจ้าเดินทางมาครั้งนี้เพราะมีเป้าหมายอะไรหรือไม่? ไม่อย่างนั้นแล้วเจ้าจะพกสิ่งของแบบนี้ติดตัวได้อย่างไร? แม้จะไม่ใช่สมบัติที่มีค่าเกินจริงอะไร แต่สำหรับเจ้าแล้วกลับมีความหมายไม่ธรรมดา หากเจ้าไม่อธิบายไม่ชัดเจน ข้าก็ไม่รับมาแน่”
เทพเกราะทองยกสองแขนกอดอก มองไปทางทิศใต้ “เจ้าคิดว่าข้าติดตามเบาะแสมาที่นี่ได้อย่างไร?”
ซิ่วไฉเฒ่าขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ว่าตบะเจ้าสูง อีกทั้งยังมีชะตาเชื่อมโยงกับภูเขาสุ้ยซาน และความเคลื่อนไหวทางข้าก็ค่อนข้างจะใหญ่โตไปสักหน่อย จึงเผยช่องโหว่ให้เจ้ามีโอกาสฉกฉวย?”
เทพเกราะทองหันหน้ากลับมาถาม “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งโง่กันแน่?”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวอย่างกังขา “คนหยาบกระด้างอย่างเจ้ารู้จักยึกยักเล่นท่าตั้งแต่เมื่อไหร่? แม้ภูเขาสุ้ยซานที่เป็นภาพลวงตานี้ของข้าจะถูกคนใช้กระบี่ฟัน แต่กลับไม่ส่งผลกระทบที่เป็นรูปธรรมอะไรกับพื้นที่ของเจ้า”
ในที่สุดเทพเกราะทองที่มีนิสัยดุดันก็ผรุสวาทเสียงดังอย่างอดไม่ไหว “มารดามันเถอะ! กระบี่นั้นฟันตรงเข้าไปที่ภูเขาสุ้ยซานของข้าผู้อาวุโสแล้ว แต่ตอนนี้เจ้ากลับแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อหน้าข้า?! แม้ตอนที่กระบี่นั้นปรากฏขึ้น ในสายตาคนนอกจะมองว่าเป็นม้าตีนปลาย แต่ภูเขาสุ้ยซานของข้าผู้อาวุโสมีค่ายกลใหญ่พิทักษ์ขุนเขาแน่นหนาแค่ไหน ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่สามารถอาศัยกระบี่เดียวก็บุกเข้าไปในค่ายกลใหญ่ได้? ตอนนี้คนทั่วทั้งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ พากันคาดเดาว่าเจ้าเฒ่ารองจมูกโคอะไรนั่นที่เจ้าเรียกกำลังบอกอะไรเป็นนัย หรือไม่พวกตาแก่หนังเหนียวของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะมาทวงความยุติธรรมอยู่หรือเปล่า”
ซิ่วไฉเฒ่าอ้าปากค้าง “ดุดันขนาดนี้เชียว?”
ประโยคนี้เท่ากับสาดเกลือลงบนแผลสดของเทพเกราะทอง
“ไสหัวไป!” เขาโมโหเดือดจึงเหวี่ยงแขนออกไป กระแทกให้ “ร่างกาย” ของซิ่วไฉเฒ่าปลิวออกไปหลายร้อยลี้ จากนั้นก็ร่วงลงบนแม่น้ำด้านหลังภูเขาสุ้ยซานอย่างแรง
เขาแค่นเสียงหนึ่งที ตบก้อนเงินที่ไม่สะดุดตาก้อนนั้นให้ปลิวไปยังตำแหน่งที่ซิ่วไฉเฒ่าตกน้ำ