กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 157 นับแต่โบราณกาลมาปราชญ์เมธีล้วนเงียบเหงา
สำหรับในสายตาของแม่นางน้อยที่ไร้ทุกข์ไร้กังวลแล้ว เขตการปกครองที่เจริญรุ่งเรืองซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของแคว้นหวงถิงแห่งนี้ช่างคึกคักยิ่งนัก ต่อให้เมืองเล็กที่เป็นบ้านเกิดมารวมกันหลายแห่งก็ยังเทียบไม่ได้
แต่ในสายตาของซิ่วไฉเฒ่าที่เห็นโลกมามากมาย แน่นอนว่าต้องมองการณ์ไกล มองเห็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงได้ดีกว่า เขาอาจจะเห็นภาพที่กองทัพม้าเหล็กบุกลงใต้ ควันดินปืนปะทุสี่ทิศชวนสลดหดหู่ใจมานานแล้ว เสียงหัวเราะสนุกสนานของผู้คนที่รวมตัวจอแจจะกลายมาเป็นต้นตอของความเจ็บปวดรวดร้าวในกาลหลัง กลับเป็นขอทานข้างถนนสวมเสื้อผ้าเก่าขาดต่างหากที่พอได้รับความทุกข์ทรมานในอนาคตจะยิ่งผ่อนคลายมากกว่า ส่วนพวกอันธพาลเกกมะเหรกเกเรก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะก้าวกระโดดขึ้นท่ามกลางกลียุคอันวุ่นวาย ไม่แน่ว่าอาจได้เป็นขุนนาง ชนชั้นสูง แม่ทัพนายกองรุ่นใหม่ของแคว้นหวงถิง
เพียงแต่ว่าซิ่วไฉเฒ่าที่ผ่านประสบการณ์มาโชกโชนย่อมไม่มีทางเปิดเผยอารมณ์เหล่านี้ออกมาทางใบหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทำลายอารมณ์สนุกสนานในการเดินเล่นของเด็กหนุ่มและแม่นางน้อย
ผู้เฒ่าพาพวกเขาเลี้ยวซ้ายทีขวาทีเจ็ดแปดตลบ พอเจอร้านหนังสือเก่าแก่ร้านหนึ่งก็ควักเงินตัวเองซื้อหนังสือให้คนทั้งสองหลายเล่ม ผู้เฒ่าเจ้าของร้านคือบัณฑิตตกอันดับที่สอบเคอจวี่ไม่สมใจปรารถนา เวลาปกติเห็นใครก็ไม่ใคร่จะให้ความสนใจ แต่พอเจอกับซิ่วไฉเฒ่ายากจนที่พูดเป็นน้ำไหลไฟดับกลับเหมือนกับวีรบุรุษที่ได้พบกันเมื่อสาย บวกกับที่ความรู้ของซิ่วไฉเฒ่าสยบให้เขายอมศิโรราบ หนังสือราคายี่สิบตำลึงเงินจึงคิดแค่สิบตำลึงเงินเท่านั้น พอซิ่วไฉเฒ่าเดินออกมาจากประตู เห็นสีหน้าเลื่อมใสของเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงแล้วก็เอ่ยยิ้มๆ “เป็นยังไง เรียนหนังสือยังพอมีประโยชน์ใช่ไหม? วันนี้ช่วยพวกเจ้าประหยัดเงินไปได้แปดกว่าตำลึงเงิน เพราะฉะนั้นถึงมีคำบอกอย่างไรล่ะว่า ในตำราย่อมมีห้องทองคำ…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ซิ่วไฉเฒ่าก็ลดเสียงลง ทำท่าทางลึกลับ “แต่อย่าว่าไปนะ ทางทิศใต้มีสถานที่อยู่แห่งหนึ่ง แน่นอนว่าไม่ใช่ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปพวกเจ้า ในตระกูลสกุลเฉินที่เป็นชาวขงจื๊อดั้งเดิมมีตาเฒ่าคนหนึ่งที่ไม่ถูกชะตากับข้าเอาเสียเลย ตอนเขายังหนุ่มก็เอาแต่อ่านหนังสือทั้งเช้ากลางวันเย็น อ่านไปได้หลายสิบปี คงจะเพราะศึกษาอย่างลึกซึ้งถึงแก่น มีวันหนึ่งสามารถอ่านจนเจอห้องทองคำและสาวงามคนหนึ่งจริงๆ”
เฉินผิงอันเบิกตากว้าง กลืนน้ำลาย “ห้องทองคำนั่นใหญ่แค่ไหน?”
ส่วนหลี่เป่าผิงกลับถามอย่างใคร่รู้ “แล้วสาวงามคนนั้นงามถึงขนาดไหน?”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะร่า ยื่นนิ้วชี้หน้าเด็กทั้งสอง “วันหน้ามีโอกาสก็ไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง ข้าไม่บอกพวกเจ้าหรอก สิบปากว่าย่อมไม่เท่าตาเห็น ภูเขาสวย น้ำใส ทัศนียภาพงดงามล้วนมีเขียนบรรยายอยู่ในหนังสือก็จริง แต่ก็ไม่สู้ได้เห็นด้วยตาตัวเอง”
หลี่เป่าผิงพลันถาม “อาจารย์เฒ่าเหวินเซิ่ง ทำไมท่านถึงซื้อหนังสือพวกนั้นให้อาจารย์อาน้อยของข้า มันตื้นเขินมากจริงๆ นะ ขนาดข้ากับหลินโส่วอียังสอนได้ นี่ไม่เท่ากับว่าสิ้นเปลืองเงินหรอกหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าหุบยิ้ม ตอบด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงาน “ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันมากๆ ตำราที่มีความรู้อัดแน่นมากที่สุดในใต้หล้า ต้องเป็นตำราที่อธิบายทฤษฎีที่ลึกซึ้งด้วยภาษาง่ายๆ เหมาะสมกับการนำมาสั่งสอนปวงประชามากที่สุด แล้วรู้หรือไม่ว่าตำราแบบนี้ขายด้วยราคาถูกที่สุด? ยกตัวอย่างเช่นตำราอักษรห้าพันตัวของมรรคาจารย์เต๋าเล่มนั้นที่ขายราคาย่อมเยาว์มาก ขอแค่อยากอ่าน ไม่ว่าใครก็หาซื้อได้ ขอแค่ยินดีอ่าน ไม่ว่าใครก็สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากในตำราเล่มนั้น”
หลี่เป่าผิงเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ “พิมพ์ไว้มาก บวกกับคนซื้อเยอะล่ะสิถึงได้ถูก”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับยิ้มๆ “เดาถูกครึ่งหนึ่ง หากหลักการในตำราแพงเกินไป ใครจะยอมควักกระเป๋าจ่ายเงิน? ทำไมไม่เอาเงินไปซื้อของกินที่ช่วยให้ท้องอิ่มได้ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นก็คือ หากเหล่าอริยะผู้มีคุณธรรมที่สูงส่งเกินใครเหล่านั้นต้องการถ่ายทอดความรู้ของตัวเองให้กลายเป็นความรู้ของหนึ่งเขตการปกครอง หนึ่งแคว้น หรืออาจถึงขั้นหนึ่งทวีป ตลอดทั้งทั่วหล้า ลูกศิษย์ที่ตัวเองสามารถสั่งสอนได้ด้วยตัวเองจะมีสักกี่คน? ยังไม่สู้เผยแพร่แบบกว้างขวาง นำหลักการความรู้ของตัวเองพิมพ์ลงบนตำรา ธรณีประตูต่ำแล้ว คนที่เดินเข้าไปได้ก็จะมีมากขึ้น ธรณีประตูสูงเกินไป แค่ปีนยังปีนข้ามไม่พ้น สุดท้ายจะมีลูกศิษย์ในนาม ลูกศิษย์ที่เป็นความภาคภูมิใจอยู่สักกี่คน?”
เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ
ซิ่วไฉเฒ่าถามอย่างเป็นกังวล “ทำมรึ? รู้สึกว่าไม่น่าสนใจ? แบบนี้ไม่ได้นะ ยังไงก็ยังต้องอ่านหนังสือศึกษาเล่าเรียน”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าแค่รู้สึกว่าทำแบบนี้เหมือนแย่งอาชีพของชาวบ้านเลย ที่ตรอกฉีหลงของบ้านเกิด ข้ามีร้านค้าสองร้านที่เพื่อนช่วยดูแลให้ ไม่รู้ว่าตอนนี้ได้กำไรหรือขาดทุน”
ดูเหมือนว่าซิ่วไฉเฒ่าจะนึกถึงเรื่องหยุมหยิมเก่าเก็บอะไรได้ก็ให้ปลงอนิจจัง โบกมือเป็นวงกว้าง “ไป จะพาพวกเจ้าไปดื่มเหล้า เฉินผิงอันหากอยากกินจริงๆ ก็ลองดื่มได้สักเล็กน้อย เป่าผิงอายุน้อยเกินไปยังดื่มไม่ได้”
ยังเช้าอยู่มาก หอสุราส่วนใหญ่จึงยังไม่เปิดทำการ ยังดีที่ซิ่วไฉเฒ่าเจอร้านสุราร้านหนึ่งตรงมุมเลี้ยวของถนนเส้นหนึ่ง ในร้านค่อนข้างสกปรกเลอะเทอะอยู่บ้าง ยังดีที่คนทั้งสามไม่สนใจในข้อนี้ หากชุยฉาน อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยสามคนอยู่ด้วย เกรงว่าคงต้องขมวดคิ้ว อีกหนึ่งสายตามองแต่ที่สูง อีกคนหนึ่งเป็นโรครักความสะอาด ส่วนอีกคนก็ถูกประคบประหงมเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็ก คาดว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีทางมาดื่มเหล้าในสถานที่แบบนี้แน่นอน
ซิ่วไฉเฒ่าสั่งเหล้าซ่านจิ่ว (ลักษณะคล้ายเหล้าขาว ใช้วิธีหมักดองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศจีน คุณภาพเหมือนกับเหล้าขาวในท้องตลาดทั่วไป แตกต่างกันที่ซ่านจิ่วจะไม่มีบรรจุภัณฑ์ คนซื้อต้องเอาภาชนะมาเอง) มาหนึ่งจินกับถั่วลิสงโรยเกลือหนึ่งจาน เฉินผิงอันยังคงยืนกรานว่าผู้ฝึกยุทธ์ไม่อาจดื่มเหล้า อันที่จริงหลี่เป่าผิงอยากดื่ม แต่มีอาจารย์อาน้อยอยู่ข้างกาย ไหนเลยจะกล้าบอกความต้องการนี้ออกไปจึงได้แต่น้ำลายสอจ้องซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าตาไม่กะพริบ
อยู่กับเฉินผิงอันมานานขนาดนี้ ตั้งแต่หลี่เป่าผิงไปจนถึงหลินโส่วอีและหลี่ไหวล้วนได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เห็นและสิ่งที่ได้ยินมาตลอดทาง สำหรับเรื่องที่ว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ส่วนใหญ่พวกเขาล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ อันที่จริงบางครั้งหลี่เป่าผิงก็รู้สึกว่าอาจารย์อาน้อยเข้มงวดเกินไป แต่เห็นแก่หีบหนังสือใบเล็กที่งดงามและรองเท้าสานคู่น้อยที่ทั้งอ่อนนุ่มทั้งแข็งแรงจึงไม่พูดอะไรให้มากความ
หลินโส่วอีก็เนื่องจากเป็นเทพเซียนบนภูเขา ปณิธานยาวไกลจึงไม่มีความคิดเห็นอะไรต่อเฉินผิงอัน เพราะว่ายืนอยู่สูงมองเห็นได้ไกลจึงรู้สึกว่าเรื่องยิบย่อยใต้เปลือกตาเหล่านี้ล้วนไม่มีค่าพอให้เขาเสียสมาธิ ดังนั้นจึงไม่เคยพูดอะไร
ส่วนหลี่ไหวนั้นเป็นประเภทที่เต็มใจพูดทุกเรื่องที่ตัวเองต้องการ น่าเสียดายก็แต่ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นเรื่องที่ไร้สาระหาแก่นสารไม่ได้ เฉินผิงอันยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็ถูกหลี่เป่าผิงกำราบไปก่อนแล้ว ดังนั้นการเดินทางไปขอศึกษาต่อครั้งนี้จึงไม่เคยมีความแตกแยกไม่ปรองดองปรากฎขึ้น ยังคงรักษาความสมดุลอันมหัศจรรย์เอาไว้ได้ ภายหลังพ่อลูกจูเหอจูลู่จากไป ชุยฉานพาคนอีกสองคนเข้ามาร่วมกลุ่มที่นอกด่านเหย่ฟู ทำให้คนทั้งสี่ยิ่งเหมือนมีศัตรูคนเดียวกัน กลับยิ่งทำให้พวกเขาเกาะกลุ่มเหนียวแน่น สนิทสนมใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม
ซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าได้แค่ครึ่งจินก็เริ่มเมามาย อาจเป็นเพราะทัศนียภาพเบื้องหน้าสะเทือนอารมณ์ อีกทั้งยังไม่ได้จงใจใช้วิชาอภินิหาร หายากที่จะผ่อนคลายได้แบบนี้ จึงปล่อยให้ตัวเองดื่มเหล้าดับทุกข์ ผู้เฒ่ากวาดตามองรอบด้านแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้ามีเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ที่บ้านเขายากจนจึงต้องหยุดเรียนกลางคัน ภายหลังเปิดร้านเหล้าร้านหนึ่ง เป็นร้านเล็กๆ ที่ขนาดพอๆ กับร้านนี้นี่แหละ เขาแต่งภรรยามีบุตรตอนอายุสิบแปดปี จนกระทั่งป่วยตายตอนอายุหกสิบห้าปี เปิดร้านเหล้ามานานเกือบสี่สิบปี ขายสุรามานานเกือบสี่สิบปี”
ซิ่วไฉเฒ่าแกว่งถ้วยเหล้าเบาๆ “ขอแค่ในกระเป๋าข้ามีเงินเหลือ ขอแค่อยากดื่มเหล้าก็จะชอบไปซื้อเหล้าจากที่ร้านของข้า ไม่ว่าจะอยู่ห่างไปไกลแค่ไหนก็ต้องไปให้ได้”
รอยยิ้มของซิ่วไฉเฒ่าค่อนข้างเศร้าหมอง “แต่สุดท้ายมีวันหนึ่ง ประตูร้านปิดสนิท พอถามเอาจากร้านข้างเคียงถึงได้รู้ว่าเพื่อนของข้าคนนั้นตายแล้ว ในเมื่อร้านเดิมที่ตั้งใจไปเยือนปิดไปแล้ว ข้าจึงได้แต่ไปซื้อเหล้าที่ร้านอื่น นั่นถึงทำให้ข้ารู้ว่าเหล้าที่เขาขายให้ข้า ขายแพงกว่าร้านอื่น”
หลี่เป่าผิงกล่าวขุ่นเคือง “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ท่านเห็นคนอื่นเป็นเพื่อน แต่ดูเหมือนคนอื่นกลับจะไม่เห็นท่านเป็นเพื่อนเลยนะ”
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร
ผู้เฒ่าดื่มเหล้าหนึ่งอึก “แต่พอผ่านไปอีกหลายปีข้าถึงเพิ่งรู้ว่า เหล้าที่เขาขายให้ข้าคือเหล้าที่เขาขึ้นภูเขาไปเก็บสมุนไพรมาหมักด้วยตัวเอง ไม่คิดต้นทุน ทุกอย่างล้วนใช้แต่ของที่ดีที่สุด ขายราคานั้นนับว่าเข้าเนื้อ”
หลี่เป่าผิงอ้าปากกว้าง ในใจของแม่นางน้อยพลันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ผู้เฒ่าคีบถั่วลิสงเม็ดหนึ่งขึ้นมาวางลงในปากแล้วเคี้ยว “ในเวลาสี่สิบปี จากบัณฑิตยากจนคนหนึ่ง กว่าข้าจะสอบติดได้ตำแหน่งซิ่วไฉไม่ใช่เรื่องง่าย ภายหลัง…ก็มีความสามารถและชื่อเสียงอยู่บ้างเล็กน้อย ทุกครั้งที่เพื่อนคนนั้นพบข้าก็จะเอาแต่ร้องบอกให้ข้าดื่มเหล้า ไม่เคยเรียกร้องขอให้บุตรชายบุตรสาวของเขามาเรียนด้วย ไม่เคยพูดถึงเรื่องจุกจิกในบ้านของตัวเอง เพียงแค่บอกให้ข้าดื่มเยอะๆ ทุกครั้งเขาจะนั่งอยู่ในตำแหน่งของเจ้าเป่าผิงน้อย อยู่ฝั่งตรงข้าม ห่างไกลจากข้าที่สุด แต่พอเงยหน้าก็จะมองเห็นข้าได้ทันที และจะต้องส่งยิ้มโง่งมมาให้ทุกครั้ง”
หลี่เป่าผิงคิดตามแล้วก็เปลี่ยนที่เงียบๆ ขยับมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเฉินผิงอันแล้วยิ้มกว้าง
เฉินผิงอันทำหน้าหลอกผีใส่นาง
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเนิบช้า “แล้วหลังจากนั้นข้าถึงได้รู้อีกว่าบุตรชายบุตรสาวของเขา หากไม่เป็นขุนนางของที่ว่าการท้องถิ่น เป็นอันธพาลรังแกชาวบ้านสร้างหายนะให้แก่แว่นแคว้น ไม่ก็เป็นฮูหยินตราตั้งตั้งแต่อายุยังน้อย เอะอะก็ตบตีสังหารสาวใช้ ตระกูลของลูกสะใภ้เขารวยขึ้นในฉับพลัน กลายมาเป็นตระกูลใหญ่ของเมือง ตลอดทั้งครอบครัวชั่วร้ายเลวทรามอย่างยิ่ง ไม่ว่าเรื่องเลวร้ายแค่ไหนก็ทำได้ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ไปมากมาย”
ซิ่วไฉเฒ่าจับจ้องไปยังตำแหน่งฝั่งตรงข้ามที่ว่างเปล่า “แต่เจ้ากลับดึงดันจะเฝ้าอยู่ในร้านเหล้าเล็กๆ แห่งนั้น คอยต้มเหล้าปีแล้วปีเล่า จนกระทั่งแก่ตายไป”
หลี่เป่าผิงอ้าปากค้างอีกครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ซิ่วไฉเฒ่าถอนสายตากลับมา ดื่มเหล้าเคล้าถั่วลิสงเป็นกับแกล้ม พูดกับเฉินผิงอันว่า “วันหน้าต้องตั้งใจฝึกวรยุทธ์ฝึกกระบี่ให้ดี ไม่ต้องใช้เหตุผลกับทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรทำตามหลักการในหนังสือไปทั้งหมด ต้องรู้จักพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ หาไม่แล้วเจ้าจะเหนื่อยมาก เมื่อถึงท้ายที่สุดข้างกายอาจเหลือเพียงเจ้าคนเดียว ไม่เหลือเพื่อนแม้แต่ครึ่งคน นับตั้งแต่โบราณกาลมา ปราชญ์เมธีที่ยิ่งตำแหน่งสูงส่งมากเท่าไหร่ ก็เพราะว่ายกตัวเองเป็นที่ตั้ง กระทำเรื่องไม่สมเหตุสมผลมีน้อยนักหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่ายื่นมือออไปวาดเส้นเส้นหนึ่งบนโต๊ะ สุดท้ายแขนยืดตรงคล้ายต้องการจะวาดทางเส้นหนึ่งนอกโต๊ะ “เจ้าคิดดูนะ เส้นทางบางสาย เจ้าเดินเพียงลำพังหนึ่งปีนั้นยังได้ แต่สิบปีล่ะ? ร้อยปีพันปี? ทว่าปัญหากลับบังเกิดขึ้นแล้ว คนบางคนนั้นดื้อด้าน ดึงดันจะเดินต่อไป แล้วควรจะทำอย่างไร? นั่นก็ต้องทำเรื่องที่เหมาะสมในช่วงเวลาที่เหมาะสม ไม่ควรคร่ำครึหัวโบราณ ไม่ว่าประสบการณ์ใดๆ ก็ล้วนผ่านมาแล้ว วันหน้าเมื่อต้องเดินอยู่เพียงลำพังบนมหามรรคก็จะไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง กลับกันยังจะรู้สึก…”
ซิ่วไฉเฒ่าดื่มจนเมาแล้วจริงๆ ถึงได้ชูนิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง “ข้าแม่งสุดยอดไปเลย!”
หลังกล่าวประโยคห้าวเหิมนี้จบ เสียงตุ้บก็ดังหนึ่งครั้ง ศีรษะของซิ่วไฉเฒ่าฟุบลงมาด้านหน้า หัวกระแทกลงบนหน้าโต๊ะอย่างแรง
เด็กหนุ่มเรียกเจ้าของร้านมาคิดเงินแล้วแบกผู้เฒ่าเดินออกไปข้างนอก
แม่นางน้อยแอบหัวเราะคิกคัก
ที่แท้ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งก็ดื่มเหล้าเมาได้ด้วยหรือ แถมพอเมาแล้วยังพูดมากอีกด้วย
“เฉินผิงอัน! คนไม่หาความผ่อนคลายย่อมเสียดายวัยเยาว์ เจ้าจะต้องดื่มเหล้านะ ดื่มเหล้าดีนักล่ะ!”
“เป่าผิงน้อย จำไว้แม่นๆ เลยนะ จะต้องถนอมคนดีคนโง่อย่างเฉินผิงอันเอาไว้ให้ดี อย่ารู้สึกว่าเขานิสัยประหลาดเพียงเพราะเขาทำดีเกินไป ทำถูกเกินไป ยิ่งเดินกลับยิ่งเหินห่างจากเขา หาไม่แล้วสักวันหนึ่งเจ้าจะต้องรู้สึกเสียใจทีหลัง เฉินผิงอันจะกลายเป็นเสี่ยวฉีคนที่สอง สุดท้ายเวลาเกิดเรื่อง หากไม่มีใครรับรู้ ก็รับรู้แล้ว แต่ไม่มีความกล้าจะออกหน้าให้ความช่วยเหลือ แบบนั้นคงน่าสงสารยิ่งนัก…”
“ผิงอันน้อย พวกเราใช้เหตุผลไม่ใช่เพื่อให้ตัวเองน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ค่อยๆ สะสมเอาไว้ หากวันใดรู้สึกว่าทั่วทั้งใต้หล้าต่างก็ไร้เหตุผลไร้หลักการ เจ้ามีความมั่นใจและกำลังใจนั้นอยู่ จงพูดกับโลกใบนี้ดังๆ ว่า ‘พวกเจ้าผิดแล้ว!’”
ผู้เฒ่าพูดอ้อแอ้ด้วยความเมามายพลางตบศีรษะเด็กหนุ่มแรงๆ ไปด้วย
เฉินผิงอันที่แบกซิ่วไฉเฒ่าไว้บนหลังหน้าเบ้ ได้แต่พยักหน้ารับรัวๆ
ซิ่วไฉเฒ่าเรอดัง ยืดคอขึ้นคล้ายกำลังมองหาแม่นางน้อยหีบหนังสือสีเขียว หลี่เป่าผิงรีบกระโดดแสดงตัว “ข้าอยู่นี่!”
ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้ร้องอ้อๆ สองที จากนั้นตบศีรษะเฉินผิงอันแรงๆ อีกหนึ่งครั้ง “ผิงอันน้อย ข้าถามเจ้า ในอนาคตเมื่อเจ้าอ่านหนังสือได้มากขึ้น รู้สึกว่าหลักการในหนังสือมีเหตุผลมากขึ้นเรื่อยๆ แต่หากมีวันหนึ่ง บัณฑิตตลอดทั้ง…หรืออาจจะครึ่งหนึ่งของใต้หล้าไพศาลต่างก็เริ่มประณามหลี่เป่าผิง ด่าว่านางไม่ไร้คามละอายใจ ถึงกับชอบอาจารย์อาน้อยของตัวเอง เจ้าจะทำอย่างไร?”
แม่นางน้อยไม่ได้เห็นเป็นเรื่องสำคัญแม้แต่น้อย ยังเอ่ยด้วยความโมโห “ข้าชอบอาจารย์อาน้อยมีอะไรผิดด้วยหรือ คนพวกนี้เรียนมายังไงกันแน่!”
มีชีวิตอย่างยากลำบากอยู่ในชั้นชนระดับล่างมาตั้งแต่อายุยังน้อย เฉินผิงอันจึงคิดไกลกว่า คิดมากกว่า รู้เรื่องสกปรกโสมมดีกว่า เขาตอบอย่างไม่ลังเล “หากมีวันนั้นจริงๆ หากพวกเขาด่าเป่าผิงก็ต้องถามหมัดของข้าเฉินผิงอันก่อน”
เฉินผิงอันหันหน้าไปยิ้มให้แม่นางน้อย “นอกจากวิชาหมัดแล้ว วันหน้าอาจารย์อาน้อยยังมีกระบี่ ดังนั้นหากมีวันนั้นจริงๆ เจ้าจะต้องบอกอาจารย์อาน้อย ต่อให้อาจารย์อาน้อยอยู่ไกลสุดขอบฟ้าก็จะต้องรีบมาปกป้องเจ้า!”
ผู้เฒ่าพูดเสียงอ้อแอ้ “แล้วถ้าแม่นางน้อยรู้สึกว่าไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เอาชนะคนพวกนั้นไม่ได้ กลัวว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บ จงใจไม่ขอให้เจ้าช่วยล่ะ เจ้าเฉินผิงอันเพิ่งจะรู้จุดจบที่น่าสงสารของนางในตอนหลัง เจ้าควรจะทำอย่างไร? เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าจะยังตามไปไล่สังหารบัณฑิตพวกนั้นสะเปะสะปะอีกงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันหยุดเดิน มองไปยังแม่นางน้อย “เป่าผิง เจ้าอยากให้อาจารย์อาน้อยเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ ถูกคนด่าตายตีตายเพื่อเจ้าหลังจบเรื่อง หรือว่าจะประจัญบานกับคนเหล่านั้นอย่างตรงไปตรงมา พวกเราร่วมกันเผชิญหน้าคนเลวร้ายทั้งหลายตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่อง ต่อให้ตายก็ตายอย่างสมเหตุสมผล แถมยังไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย?”
แม่นางน้อยเริ่มลนลาน “อาจารย์อาน้อย ฟังดูแล้วเหมือนว่าทางเลือกข้อหลังจะดีกว่านะ?”
ผู้เฒ่าหัวเราะร่วนเสียงดัง “ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่พวกเจ้าคิดหรอก บัณฑิตยังต้องรักษาหน้าตา ไม่ถึงขั้นตัดสินกันด้วยความเป็นความตาย แค่มีอุปสรรคบ้างเล็กน้อย”
สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่าจุ๊ปากพูดชม “คำสอนที่ว่าทำตามลำดับขั้นตอน นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเอามาใช้เร็วขนาดนี้ เรียนแล้วได้เอามาใช้จริง ร้ายกาจๆ”
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ท่านผู้เฒ่า ท่านพูดขู่พวกเราก็แล้วไปเถอะ แต่นี่ดื่มเหล้าแกล้งเมาทำเนียนไม่จ่ายเงิน จะไม่เกินไปหน่อยหรือ?”
ศีรษะของซิ่วไฉเฒ่าพลันเอียงไปข้าง ปล่อยเสียงกรนดังสนั่น
หลี่เป่าผิงยังหวาดผวาไม่คลายจึงเอื้อมมือมาคว้าชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันเอาไว้
เฉินผิงอันเอ่ยหยอกล้อ “กลัวอะไร วันหน้าเจ้าตั้งใจเรียนให้ดี ช่วงชิงให้ตัวเองเป็นฝ่ายมีเหตุผลก็เอาชนะพวกเขาได้แล้ว หากยังไม่ได้ นับจากวันนี้ไปอาจาร์อาน้อยจะตั้งใจฝึกหมัดฝึกกระบี่ให้มากกว่าเดิม ถึงเวลานั้นอาจารย์อาน้อยบังคับกระบี่บินทะยาน เสียงฟิ้วดังทีเดียวก็ข้ามผ่านระยะทางหมื่นลี้ไปอยู่ข้างกายเจ้า เจ้าคิดดูสิ ทุกคนต่างก็เงยหน้า เบิกตากว้างมองอาจารย์อาน้อยของเจ้า เหมือนกับตอนนั้นที่พวกเรามองเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ ถึงเวลานั้นเจ้าก็บอกกับทุกคนว่า นี่ก็คืออาจารย์อาน้อยของข้า เท่ห์หรือไม่? ร้ายกาจหรือไม่?”
แม่นางน้อยพยักหน้ารับแรงๆ กระโดดโลดเต้นหัวเราะเสียงดังอย่างร่าเริง “ว้าว เท่ห์มาก เท่ห์มาก!”
—–