กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 161.2 แม่น้ำและภูเขาย่อมมีวันต้องจากลา
แสงจันทร์และแสงดาวอ่อนจาง ลมเย็นโชยพัดใบหน้า
บนใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติของเด็กหนุ่มชุดขาวผู้มีไฝแดงกลางหว่างคิ้วมีความกลัดกลุ้มจางๆ ผุดขึ้นมา เขายิ้มขื่นกล่าวว่า “หลังจากที่ข้าออกจากบ้านเกิดก็เดินทางรอนแรมไกลไปขอศึกษาต่ออย่างพวกเจ้าเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเดินทางไกลกว่าเจ้ามากนัก เนื่องด้วยปณิธานสูงและจิตใจที่หยิ่งทระนง ในที่สุดก็ยอมขายหน้าใครใหญ่ สุดท้ายด้วยความโมโหจึงกราบไหว้ขอเป็นศิษย์ในสำนักของซิ่วไฉเฒ่า ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่ายังมีชื่อเสียงไม่มาก ความรู้บางส่วนของเขาก็ถูกมองว่ามีแนวโน้มของความนอกรีต ดังนั้นข้าก็คือลูกศิษย์คนแรกของเขา”
“คนแซ่จั่ว ฉีจิ้งชุน คนเหล่านี้ต่างก็ทยอยกันเข้ามาเป็นลูกศิษย์ในสำนักของตาเฒ่า อันที่จริงลูกศิษย์เข้าสำนักนั้นมีไม่มาก ซิ่วไฉเฒ่าคือคนที่ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ต้องอธิบายอย่างละเอียด ยามที่ถ่ายทอดความรู้ หลักการง่ายๆ ที่อธิบายไม่กี่คำก็เข้าใจได้อย่างชัดเจน เขากลับสามารถพูดได้เป็นวันๆ จึงไม่มีกำลังเหลือให้รับลูกศิษย์ใกล้ชิดไว้ติดตามตัวได้มากเกินไปนัก ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อมีมากหน่อย ส่วนพวกคนที่ยอมเรียกตัวเองว่าเป็นสุนัขรับใช้ในสำนักของเหวินเซิ่งก็ยิ่งมีจำนวนมหาศาล เหมือนปลาในแม่น้ำที่มีมากจนนับไม่ถ้วน”
“ส่วนอาเหลียงนั้นก็ยิ่งรู้จักกับซิ่วไฉเฒ่าก่อนหน้าข้าเสียอีก แรกเริ่มอาเหลียงบุกมาเพื่อจะเล่นงานซิ่วไฉเฒ่า ซิ่วไฉเฒ่าเป็นใครกันล่ะ ฝีปากนั้นของเขาร้ายกาจนักแล การโต้วาทีของสามลัทธิอย่างขงจื๊อ พุทธ เต๋าที่จะจัดขึ้นทุกๆ หกสิบปีคือเรื่องอันตรายอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่มีที่สอง! มีชาวพุทธและเต๋ามากเท่าไหร่ที่ต้องพลัดตกลงสู่วิถีมาร กลายมาเป็นพวกนอกรีตที่น่าสงสารในระบบลัทธิของตัวเอง ความมีหน้ามีตาในกาลก่อน ความอเนจอนาถน่าสมเพชในกาลหลัง ช่างน่าเวทนาจนไม่อาจทนมอง ก่อนที่ข้าจะทรยศต่อสำนัก ได้เสนอความคิดเห็นข้อนั้นของตัวเองออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ ก็ไม่ใช่เพราะอยากจะช่วย…ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ชายชาตรีไม่พูดถึงความกล้าหาญในอดีต ความจริงก็คือมีแต่ซิ่วไฉเฒ่าคนเดียวเท่านั้นที่เข้าร่วมการโต้วาทีสองครั้งในประวัติศาสตร์ติดต่อกัน ประเด็นสำคัญก็คือเขายังเถียงชนะคนอื่นทั้งสองครั้ง ช่างเถอะๆ ตอนนี้อาจารย์ยังไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้ จะอย่างไรซะซิ่วไฉเฒ่าในเวลานั้น จุ๊ๆ หากจะพูดว่าเขาเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในใต้หล้าก็ไม่เกินไปเลย ความเลิศล้ำเป็นเอกที่ถูกขนานนามว่า ‘การศึกษาหนึ่งสำนัก ดั่งจันทราเจิดจ้ากลางท้องนภา’ หากไม่ใช่บัณฑิตก็ไม่มีทางเข้าใจได้เด็ดขาด หาไม่แล้วท่านคิดว่าแค่ตำแหน่งซิ่วไฉที่น่าสงสารของตาเฒ่าจะถูกคนเชื้อเชิญไปบูชาในศาลเจ้าบุ๋นได้อย่างไร? แถมยังขยับตำแหน่งรุดหน้าไปเบื้องบนอย่างต่อเนื่อง? ภายหลังแคว้นเล็กที่ซิ่วไฉเฒ่าอยู่ยังถึงขั้นอยากจะอวยยศให้เขาเป็น ‘บรรพบุรุษจ้วงหยวน’ ด้วยซ้ำ แต่ซิ่วไฉเฒ่ากลับไม่ต้องการ ต้องอัดอั้นตันใจแทบตาย ท่านคิดว่าเป็นเพราะเหตุใดล่ะ?”
“สรุปก็คือไปๆ มาๆ ตาเฒ่าก็พูดกล่อมซะจนอาเหลียงมึนงง ศัตรูสองคนกลับกลายมาเป็นสหายร่ำสุราที่สนิทกันมากที่สุด ตำแหน่งของซิ่วไฉเฒ่าขยับสูงมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่สองต่างได้รับผลประโยชน์ ความสัมพันธ์จึงดีมากมาโดยตลอด อาเหลียงสนิทกับข้า ฉีจิ้งชุนและเจ้าคนแซ่จั่วมากที่สุด อาเหลียงลำบากเพื่อพวกเราสามคนไม่น้อย โดยเฉพาะเพื่อฉีจิ้งชุนกับเจ้าคนแซ่จั่วที่ทำให้เขาต้องต่อสู้อย่างดุเดือดจนเรียกว่าพลิกฟ้าพลิกดิน ห้าวเหิมสาสมใจ!”
กล่าวมาถึงตรงนี้ก็ยกยิ้มอย่างรู้ใจ “ทุกครั้งที่กลับมา อาเหลียงจะต้องมาโม้ให้พวกเราสามคนฟังเสมอ อย่างเช่นพูดว่า ‘ขนาดเช็ดก้นให้ลูกหมาสามตัวอย่างพวกเจ้ายังห้าวหาญขนาดนี้ ข้านี่ห้าวหาญจริงๆ’ หรือไม่ก็ ‘พวกเจ้าไม่รู้อะไร วันนี้ข้าบุกไปสังหารในสำนักแห่งนั้น เซียนแต่ละคนของที่นั่นเจ็บใจกันอย่างยิ่งที่ตบะของตัวเองไม่สูงมากพอ หาไม่แล้วจะต้องถลกหนังเขมือบหัวข้าอาเหลียงทั้งเป็นแน่นอน เฮ้อ บุรุษทนรับน้ำใจจากสาวงามไม่ได้มากที่สุด พวกเจ้ายังเด็ก ไม่เข้าใจหรอก’”
ชุยฉานดื่มเหล้าหนึ่งอึก “อาเหลียงมีนิสัยข้อหนึ่งที่ดีมาก เขาไม่เคยคุยโวโอ้อวด ไม่เหมือนบัณฑิตอย่างพวกเรา”
คราวนี้ชุยฉานพูดไปเสียตั้งมากมาย สุดท้ายเอ่ยกับเฉินผิงอันที่ตัวเองนั่งหันหลังให้ว่า “เอาล่ะ ก็เหมือนท่าน ข้าเองก็สบายใจขึ้นเยอะมาก”
เฉินผิงอันหลับตาฝึกท่าเจี้ยนหลูเงียบๆ อยู่กับตัวเองนานแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าทุกถ้อยคำ เด็กหนุ่มล้วนรับฟังอย่างตั้งใจ ไม่พลาดไปแม้แต่คำเดียว
ชุยฉานสีหน้าเรียบเฉย “พูดคุยเปิดใจ ไม่กระทบต่อภายหลังที่ข้ายังคงเป็นคนเลว เจ้าก็ยังเป็นคนดีต่อไป”
เฉินผิงอันลืมตา “ข้าจะลงไปฝึกเดินนิ่งต่อ”
ชุยฉานยิ้มกว้าง “ได้เลย”
หลังกระโดดลงจากรถม้ามาแล้ว เฉินผิงอันก็ก้าวเร็วๆ ฝึกเดินนิ่งอย่างเงียบเชียบ
ชุยฉานค่อยๆ หุบยิ้ม มือข้างที่ว่างยกกาเหล้ามาดื่มเหล้าอึกสุดท้าย พึมพำอย่างเหม่อลอยซึ่งไม่ค่อยจะเป็นบ่อยนัก “เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าคนอย่างเจ้าไม่น่ากลัวงั้นหรือ?”
ด้านหลังรถม้ามีเสียงดังขึ้น “ข้าได้ยินนะ”
ชุยฉานหัวเราะเสียงดัง “อาจารย์หูดียิ่งนัก ไม่เสียแรงที่เป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ซึ่งร้อยปีพันปียากจะพานพบสักครั้ง วันหน้าใต้หล้าทั่วยุทธภพไร้ศัตรูต่อกร เตรียมนับวันรอได้เลย!”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะสวนกลับเขาไปหนึ่งประโยคอย่างไม่ใคร่จะสบอารมณ์นัก “ข้าต้องขอบใจเจ้าสินะ”
……
บนเส้นทางย้อนกลับไปยังบ้านเกิดยังคงต้องเดินผ่านภูเขา แล้วก็ต้องข้ามแม่น้ำเหมือนเดิม
รถม้าคันนั้นถูกขายไปพร้อมกับม้าแล้ว ชุยฉานขายได้ราคาสูงถึงหนึ่งพันห้าร้อยตำลึง จากนั้นก็ซื้อหีบหนังสืองดงามใบหนึ่งให้กับตัวเองเพื่อยัดของมีค่าที่แต่เดิมมีอยู่ในห้องโดยสารเข้าไป
เมื่อเทียบกับตอนเดินทางไปศึกษาต่อก่อนหน้านี้ เฉินผิงอันสามารถใช้เวลาว่างมากกว่าเดิมมาฝึกวิชาหมัดเขย่าขุนเขา รวมไปถึงวิชาโคจรลมปราณสิบแปดหยุดอย่างลึกซึ้ง
ขอแค่ไม่มีฝนตกหนัก เขาจะฝึกวันละสองครั้งคือช่วงเช้าและช่วงเย็น การเดินนิ่งของเฉินผิงอันจะเนิบช้าอย่างมากราวกับว่ายังคงนำพาพวกหลี่เป่าผิงและหลี่ไหวฝึกหมัดมวยอยู่ด้วยกัน
ข้างกายเขามีเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งที่ต่อยหมัดไปพร้อมๆ กัน ท่าทางของเขาคล่องแคล่วราบรื่นดุจเมฆาคล้อยดั่งวารีไหลรินยิ่งกว่าเฉินผิงอันเสียอีก
ทุกครั้งที่พบภูเขาสูงหรือแม่น้ำกว้างใหญ่ ชุยฉานจะต้องท่องคัมภีร์ของมหาปราชญ์เสียงดัง แม้เฉินผิงอันจะไม่ออกเสียง แต่ก็จะต้องท่องตามไปในใจเงียบๆ โดยไม่รู้ตัว
คนทั้งสองไม่พูดคุยกันด้วยถ้อยคำจากหัวใจที่แท้จริงเหมือนตอนอยู่บนทางหลวงนอกเมืองหลวงต้าสุยคืนนั้นอีกแล้ว ช่วงเวลาส่วนใหญ่มักจะไม่พูดคุยกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ บางครั้งที่ชุยฉานจะแอบหลบออกไปนอกการมองเห็นของเฉินผิงอัน ตอนกลับมาก็มีทั้งอารมณ์ดีและอารมณ์ไม่ดี เฉินผิงอันเองก็ไม่เคยซักไซ้
และท่ามกลางเสียงล้อรถบดถนนที่ไม่เร่งไม่ร้อนนี้ อาจารย์และลูกศิษย์สองคนในนามก็เดินทางจากต้นฤดูใบไม้ร่วงจนเข้าหน้าหนาวอย่างเรียบง่ายไร้เรื่องน่าตื่นตาตื่นใจ
เส้นทางที่เลือกเดินไม่ค่อยเหมือนกับขามา ชุยฉานเป็นคนเลือก ซึ่งเฉินผิงอันไม่มีข้อโต้แย้ง
และคนทั้งสองก็ได้เจอเรื่องประหลาดพิสดารอยู่บ้างเล็กน้อย บางครั้งก็มองดูอยู่ไกลๆ หรือไม่ก็ตกอยู่ในสถานการณ์นั้นเอง ยังคงทำให้เฉินผิงอันที่เดินทางจากต้าหลีไปถึงต้าสุยรู้สึกอัศจรรย์ใจและเหลือเชื่อ
ขณะที่คนทั้งสองกำลังเร่งเดินทางยามค่ำคืน ภายใต้แสงจันทร์ พวกเขามองเห็นเทพเซียนกลุ่มหนึ่งขี่กระบี่อยู่แถวทะเลสาบผืนใหญ่ทางทิศตะวันออกของต้าสุย ในมือพวกเขาต่างก็ถือห่วงโซ่เหล็กขนาดมหึมาคนละหนึ่งห่วง สุดท้ายเมื่อน้ำในทะเลสาบสั่นกระเพื่อมก่อเกิดเป็นคลื่นลูกยักษ์ เหล่าเซียนทั้งหลายก็ดึงเอาหินยักษ์ก้อนหนึ่งมาจากก้นทะเลสาบ หินนั้นใหญ่ดุจขุนเขา แต่กลับถูกดึงออกมาจากในทะเลสายทั้งอย่างนี้ ก่อนจะถูกพวกเขาขยับเคลื่อนผ่านกลางอากาศไปยังสำนักของตัวเอง
ชุยฉานอธิบายว่าระหว่างภูเขาและแม่น้ำล้วนมีวัตถุชั้นยอดที่มีปราณวิญญาณมารวมตัวกันมากมาย หากกองกำลังตระกูลเซียนบนภูเขาค้นพบเข้าก็มักจะชอบใช้เวทอภินิหารมาเก็บเอาไป หรือไม่ก็ย้ายไปไว้ในสำนักพรรคของตัวเอง มองมันเป็นสมบัติส่วนตัว ใช้มันมาช่วยสยบโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำ ชุยฉานยังพูดยิ้มๆ ว่า กองกำลังตระกูลเซียนนั้นนับว่ามีมโนธรรมแล้ว ถึงได้เลือกลงมือยามค่ำคืน อีกทั้งยังยอมลงทุนซื้อโซ่เหล็กกล้าราคาสูง หากเป็นตระกูลเซียนทั่วไป ไหนเลยจะยังสนใจเรื่องพวกนี้ คงทำเพียงแค่ซื้อโซ่เหล็กราคาถูกจำนวนมากมาอย่างไม่ใส่ใจ ส่วนข้อที่ว่าระหว่างที่ภูเขาร่วงลงสู่พื้นดินจะมีชาวบ้านธรรมดาประสบภัยหรือไม่ ที่ว่าการท้องถิ่นหรือจะกล้าคิดเล็กคิดน้อยด้วย เว้นเสียแต่ว่าจะร่วงลงกลางเมืองใหญ่ ไม่อาจปิดบังได้จริงๆ สุดท้ายแล้วอย่างมากกองกำลังตระกูลเซียนพวกนั้นก็จะแค่จ่ายเงินค่าทำขวัญพอเป็นพิธี
ระหว่างเทือกเขาสูงตระหง่านอันเป็นจุดตัดของต้าสุยกับแคว้นหวงถิง เฉินผิงอันได้เห็นปลาฝูงใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายปลาตะเพียน พวกมันถึงขนาดพากันย้ายถิ่นฐานอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรโดยใช้เส้นทางเลียบทางภูเขา แม้ทั่วร่างจะเปรอะไปด้วยโคลนก็ไม่เป็นอุปสรรค
ชุยฉานบอกว่านั่นคือปลาตะเพียนข้ามภูเขา พวกมันสามารถออกจากน้ำมาได้นานครึ่งเดือนโดยที่ไม่ตาย ปลาตะเพียนข้ามภูเขามีข้อเรียกร้องต่อคุณภาพน้ำในทะเลสาบสูงมาก หากคุณภาพน้ำของที่พักพิงเดิมเลวร้ายลงก็จะไม่อาจพักอาศัยอยู่ต่อไปได้อีก จึงต้องรีบย้ายบ้านทันที หากเป็นต้นกำเนิดน้ำที่ปราณวิญญาณเต็มเปี่ยมมากเท่าไหร่ ปลาตะเพียนข้ามภูเขาก็แพร่พันธ์ได้ดีมากเท่านั้น อีกทั้งในบรรดาปลาหนึ่งหมื่นตัวจะต้องมีปลาวิเศษที่ทั่วร่างเป็นสีเหลืองทองถือกำเนิดหนึ่งตัว ด้วยเหตุนี้โดยทั่วไปแล้วกองกำลังบนภูเขาจึงมักจะเต็มใจเลี้ยงสัตว์ชนิดนี้เอาไว้ ใช้พวกมันเป็นตัวชี้วัดแนวโน้มของสถานการณ์ เพื่อตัดสินสถานการณ์ของปราณวิญญาณในสำนักอย่างแม่นยำ
จากนั้นก็เป็นในตลาดที่คึกคักของเมืองที่เจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่งในแคว้นหวงถิง มีผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสองคนที่กำลังขี่กระบี่อยู่ห่างจากพื้นมาไม่ถึงครึ่งจั้ง บินทะยานไปมาท่ามกลางกลุ่มคน ราวกับกำลังแข่งกันว่าฝีมือการควบคุมกระบี่ของใครยอดเยี่ยมกว่า ไม่สนใจความโกลาหลดุจไก่บินหมากระโดดของผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนเลยแม้แต่น้อย ชาวบ้านบางคนที่หลบไม่ทันก็จะถูกกระบี่บินที่คมกริบแทงจนบาดเจ็บ ล้มไปกองกับพื้นแล้วร้องครวญครางไม่หยุด
ตอนที่ผู้ฝึกกระบี่ขยับมาใกล้ๆ เฉินผิงอัน หญิงชราคนหนึ่งตกใจจนเซถอยหลัง หลบซ้ายหลบขวาไปสองครั้ง จึงไปชนเข้ากับผู้ฝึกกระบี่คนนั้นที่เบี่ยงเส้นทางมาพอดีเข้าอย่างจัง ผู้ฝึกกระบี่ที่อายุน้อยไม่ยินยอมจะแพ้ให้กับสหายที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะไล่ตามมาทัน ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเดือดดาล จึงรีบเพิ่มความเร็วพุ่งทะยานไปข้างหน้าโดยตรง
หากเฉินผิงอันไม่ได้ดึงหญิงชราผู้นั้นให้พ้นทางมา เกรงว่านางคงถูกกระบี่นั้นแทงตายคาที่
ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกซาบซึ้งใจ กลับยังหันมาถลึงตาใส่เฉินผิงอันอย่างดุดันด้วย
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสองคนที่สูงศักดิ์เหนือผู้ใดจึงพุ่งทะยานไล่ตามกันไปทั้งอย่างนี้
แม้ว่าชาวบ้านในเมืองจะหวาดหวั่นกับเหตุการณ์นี้ แต่กลับไม่มีใครคิดจะสืบสาวราวเรื่องให้รู้แน่ชัด แม้แต่เสียงด่ายังต้องกดให้แผ่วเบา
ชุยฉานที่มองดูดายอยู่ด้านข้างเอ่ยประโยคหนึ่งที่แสนผ่อนคลายว่า หากเป็นผู้ฝึกลมปราณคนอื่นที่ยังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางก็ยังไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานอยู่ในเขตเมืองของแคว้นหนึ่งเช่นนี้ นี่ก็เพราะผู้ฝึกลมปราณในโลกมีผู้ฝึกกระบี่ที่สูงศักดิ์และหายากที่สุด
หลังจากหญิงชราผู้นั้นเอ่ยขอบคุณและจากไปอย่างลนลานแล้ว เฉินผิงอันก็หมุนตัวหันไปมองยังทิศทางที่ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองจากไปเป็นนานกว่าจะดึงสายตากลับคืน
ชุยฉานกล่าวอย่างเฉยชา “จัดการไม่ได้ อีกอย่างจะจัดการอย่างไร? ไล่ตามไปฆ่าผู้ฝึกกระบี่สองคนนั้น? พวกเขาไม่ได้ฆ่าใครสักหน่อย หรือจะอธิบายเหตุผลให้พวกเขาฟัง ตักเตือนพวกเขาด้วยความหวังดีว่าวันหน้าอย่าทำตัวเหลวไหลแบบนี้อีก? ถอยไปพูดหนึ่งหมื่นก้าว หมัดของเจ้าแข็งมากพอ บังคับให้พวกเขาเอ่ยปากตอบรับเจ้าได้ รอจนเจ้าจากไปแล้ว วันหน้าเขาก็ยังทำตัวเหมือนเดิม เจ้าจะทำอย่างไร? อารมณ์เสียหรือไม่? ข้าว่าต้องอารมณ์เสียมากแน่”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้ามีความสามารถอยู่เท่านี้ ไม่คิดจะไล่ตามไปหรอก”
“แต่ข้ากลับหวังว่าอาจารย์จะเข้าร่วมเรื่องสนุกในครั้งนี้ ข้าที่เป็นลูกศิษย์เอาแต่กินกับนอนมาตลอดทาง ให้ละอายใจยิ่งนัก จะดีจะชั่วก็ควรให้ข้าช่วยแก้ปัญหาขจัดภัยให้แก่อาจารย์บ้าง”
เฉินผิงอันสะพายตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ออกเดินต่อ “ถ้าอย่างนั้นก็รอให้ถึงวันนั้นก่อนค่อยว่ากัน”
ชุยฉานก้าวเร็วๆ เดินตามไป ยิ้มตาหยีซักถามต่อ “อาจารย์ วันนั้นคือวันไหนหรือ?”
เฉินผิงอันตอบกลับไปหนึ่งประโยค “เอาเป็นว่าไม่ใช่พรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
ชุยฉานวิ่งตุปัดตุเป๋ตามไปด้านหลัง “หากเป็นวันมะรืนก็ดีสิ ศิษย์อย่างข้าจะได้มีหน้ามีตากับเขาสักที”
เฉินผิงอันเงยหน้ามองสีท้องฟ้า พลันนึกขึ้นได้ว่ารอจนตนกลับไปถึงบ้านเกิดก็คงเป็นช่วงปีใหม่พอดี จึงคิดว่าควรจะซื้อกลอนคู่วันปีใหม่ไว้ล่วงหน้าก่อนดีหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่าเมืองหงจู๋ของต้าหลีพวกเขาจะมีของพวกนี้ไม่มาก
และเวลานี้เอง ชุยฉานเองก็เงยหน้าขึ้น เพียงแต่ว่าเขามองไปยังหอเรือนสูงแห่งหนึ่งแล้วร้องเอ๊ะ ก่อนจะยกมุมปากขึ้นสูง “แหม น่าสนใจนะเนี่ย”
มองตามสายตาของชุยฉานไป เฉินผิงอันมองเห็นหอเรือนสูงแห่งหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่นอยู่ในตัวเมือง บริเวณใกล้เคียงมีก้อนเมฆดำทะมึนที่ลมพัดพามา ท่ามกลางเมฆดำขยับสูงขึ้นไปพอจะมองเห็นประกายสายฟ้าวูบวาบได้เลือนราง แตกต่างจากทัศนียภาพที่สว่างไสวของพื้นที่อื่น ราวกับว่ามีเพียงพื้นที่เล็กๆ แห่งนี้เท่านั้นที่จะมีฝนตก
ชุยฉานหันกลับมายิ้มให้ “อาจารย์ เรื่องสนุกนี้พวกเราต้องเข้าร่วมให้ได้! ตกลงกันไว้ก่อนเลยนะ หากอาจารย์ไม่เต็มใจไป ข้าจะไปคนเดียว อาจารย์ไปรอข้าที่หน้าประตูเมืองก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันดิ่งไปทางประตูเมืองทันที เพียงทิ้งไว้ประโยคเดียวว่า “หากถึงช่วงห้ามเข้าออกยามวิกาลแล้วเจ้ายังไม่ออกมา ข้าจะเดินทางไปต่อไม่รอเจ้า”
สีหน้าชุยฉานขมขื่นยิ่ง “อาจารย์ช่างใจร้าย”
เฉินผิงอันหันหลังให้ชุยฉาน ชูมือขึ้นแล้วยกนิ้วกลาง
ชุยฉานหน้าเปลี่ยนสีทันใด รีบโบกมือบอกลากับเฉินผิงอัน “ยิ่งอยู่นานอาจารย์ก็ยิ่งมีอารมณ์ขัน นับเป็นคุณความชอบยิ่งใหญ่ของศิษย์!”
เฉินผิงอันหดนิ้วกลางเปลี่ยนมากำเป็นหมัด
ชุยฉานรีบยกมือคารวะ “อาจารย์ค่อยๆ เดิน!”
—–