กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 167.2 ข้ามีสมบัติอาคมเยอะนะ
แน่นอนว่าชุยฉานไม่ได้โง่ถึงขนาดเดินไปเคาะประตูบ้านทีละหลังจริงๆ เขาแตะปลายเท้าเบาๆ แล้วทะยานร่างเหนือหลังคาเรือนพักของสำนักศึกษา กวาดตามองไปรอบด้าน เห็นว่ามีอาคารอยู่สองสามแห่งที่ยังมีแสงไฟสว่างจึงทะยานร่างไปยังตำแหน่งที่ใกล้ที่สุด เขย่งปลายเท้าเกาะขอบหน้าตามองเข้าไป ไม่เห็นหน้าคนในห้อง แต่ในยินเสียงน้ำไหลซู่ๆ ชุยฉานจึงเจาะหน้าต่างกระดาษอย่างไม่รีบไม่ร้อน แล้วเขาก็ได้เห็น “ภาพสาวงามอาบน้ำ” จริงดังคาด เสียดายก็แต่เรือนกายของสตรีนางนั้นไม่น่ามองเอาเสียเลย ในขณะที่ชุยฉานรู้สึกเสียสายตาที่ได้มาเห็นภาพนี้ สาวน้อยในอ่างน้ำกลางห้องก็กรีดร้องเสียงดัง
ชุยฉานยังไม่ไป เขายืนบ่นอยู่ที่เดิม “ทำไมๆ ข้าไหมที่เป็นคนเสียเปรียบน่ะ!”
เสียงปังดังหนึ่งครั้ง หยดน้ำก็สาดกระเซ็นอยู่เต็มหน้าต่าง ที่แท้ขันน้ำก็ปลิวมากระแทกนั่นเอง
ชุยฉานที่นวดคลึงดวงตาพลิ้วกายจากไปนานแล้ว ปากยังบ่นพึมไม่หยุด “ปวดตาเลย”
ด้านหลังตามมาด้วยเสียงกรีดร้องที่แหลมดังมากกว่าเดิม แสงสว่างถูกจุดขึ้นในหอพักบริเวณใกล้เคียงอย่างต่อเนื่อง
ชุยฉานอาศัยความทรงจำเดินตามหาไล่ไปทีละหอพัก สุดท้ายก็หาคนที่ต้องการพบเจอในที่สุด บังเอิญมากที่หลี่ไหว หลี่เป่าผิง หลินโส่วอีและอวี๋ลู่ต่างก็อยู่กันครบทั้งสี่คน
อวี๋ลู่นอนตะแคงข้างอยู่บนเตียง แม้ว่าใบหน้าจะซีดขาวราวหิมะ แต่สีหน้าท่าทางกลับไม่เลว
หลี่ไหวนั่งอยู่ตรงหัวเตียง ก้มหน้าลงมองรองเท้าแตะบนเท้าตัวเอง ท่าทางกลัดกลุ้มคิดหนัก
หลี่เป่าผิงและหลินโส่วอีนั่งตรงข้ามกันอยู่ข้างโต๊ะ ต่างคนต่างอ่านหนังสือ
ชุยฉานผลักประตูเดินเข้าไปพลางหัวเราะเสียงดัง “ดีใจหรือไม่? แปลกใจหรือไม่?”
หลี่เป่าผิงอึ้งตะลึงก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็หันไปมองข้างนอกอย่างดีใจ “อาจารย์อาน้อยล่ะ?!”
ชุยฉานข้ามผ่านธรณีประตูเข้ามา ใช้ปลายเท้าแตะปิดประตูดังปัง เดินไปนั่งบนม้านั่งตรงกลางระหว่างหลี่เป่าผิงกับหลินโส่วอี กลอกตาพูด “อาจารย์ไม่ได้มา ข้ามาคนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดาย”
หลี่เป่าผิงลุกขึ้นวิ่งไปที่หน้าประตู เปิดประตูเยี่ยมหน้าออกไปมองนานมาก เมื่อไม่เห็นเงาร่างของอาจารย์อาน้อยถึงได้กลับมานั่งที่เดิมอย่างไร้เรี่ยวแรง ฟุบตัวลงบนโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยาก
หลินโส่วอีวางหนังสือ ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ลง ใช้ด้ายสีทองมัดพันอย่างระมัดระวัง พอเก็บเข้าไปในสาบเสื้อหน้าอกเรียบร้อยแล้วก็ขยับปากทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
ชุยฉานรินน้ำชาให้ตัวเอง ยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด แล้วโบกมือพูด “ข้ารู้เรื่องหมดแล้ว”
เขาหันไปยิ้มให้หลินโส่วอี “ไปเรียกเซี่ยเซี่ยมา บอกว่าคุณชายของนางต้องการคนยกน้ำรินน้ำชา”
หลินโส่วอีลังเล ชุยฉานมองตาขวาง “ทำไม เจ้าแอบชอบเซี่ยเซี่ยเลยกลัวว่าคืนนี้ข้าจะให้นางอุ่นเตียงให้? เจ้าตาบอดหรือข้ากันแน่ที่ตาบอด?”
หลินโส่วอีลุกขึ้นยืน เดินออกจากหอพักไปเรียกเซี่ยเซี่ยอย่างจำใจ
ชุยฉานมองหลี่ไหวที่เซื่องซึม ยิ้มบางๆ พลางกล่าวว่า “หลี่ไหวเอ๋ย เลิกเสียใจได้แล้วน่า หลังจากเฉินผิงอันได้ยินเรื่องนี้ยังชมเจ้าด้วยนะ บอกว่าเจ้ากล้าหาญ มีความรับผิดชอบ คือชายชาตรีที่องอาจอย่างแท้จริง”
เด็กชายพลันเงยหน้าขึ้น “จริงหรือ?!”
หลี่ไหวคลี่ยิ้มกว้างทันใด
หลี่เป่าผิงหัวเราะหยัน “เจ้าโง่หรือไง อาจารย์อาน้อยไปจากเมืองหลวงต้าสุยนานขนาดนี้แล้ว จะรู้เหตุการณ์ล่าสุดของในสำนักศึกษาได้อย่างไร? อีกอย่างอาจารย์อาน้อยจะพูดชื่นชมคนอื่นแบบนี้หรือ?”
หลี่เป่าผิงเชิดหน้าขึ้น “อย่างมากก็แค่ยิ้ม นี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว หรือถ้าจะมากๆ ที่สุดก็แค่ยกนิ้วโป้งให้เจ้าเท่านั้น”
แม่นางน้อยพลันยืดเอวขึ้นตรง ยกแขนสองข้างกอดอก “คำชมและของรางวัลจากอาจารย์อาน้อยเก็บไว้ให้ข้าคนเดียวเท่านั้นแหละ!”
หลี่ไหวหน้าหมองเล็กน้อย
เขาลังเลอยู่นาน ก่อนจะก้มหน้าลงพูดคล้ายพูดกับรองเท้าแตะคู่นั้นของตัวเอง “ไม่อย่างนั้นข้าย้ายมาอยู่กับหลินโส่วอีดีไหม?”
หลี่เป่าผิงหันมามอง “หลี่ไหว ทำไมเจ้าถึงยังได้ขี้ขลาดแบบนี้อยู่อีก? ทำไมต้องเป็นเจ้าที่ย้ายออก จะย้ายก็ควรต้องเป็นเจ้าสามคนนั่น!”
แล้วจู่ๆ แม่นางน้อยก็ก้มหน้าลง กลับไปนอนฟุบบนโต๊ะอีกครั้ง “ช่างเถอะ ข้าไม่มีสิทธิ์พูดเรื่องพวกนี้”
อวี๋ลู่ขยับตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก หลี่ไหวรีบเข้าไปช่วยประคอง อวี๋ลู่เอนหลังพิงกำแพง ยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิ เอ่ยขออภัย “ไม่อาจลุกไปต้อนรับคุณชายได้”
ชุยฉานไม่คิดจะสนใจเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ เขามองประเมินเครื่องตกแต่งเรียบง่ายในหอพัก นิ่งคิดไปอีกครู่หนึ่งถึงพูดกับหลี่เป่าผิงว่า “หลี่ไหวย้ายมาอยู่นี่น่ะถูกแล้ว นี่ไม่เกี่ยวกับว่ากล้าหาญหรือไม่ หลี่ไหวอยู่ที่นั่นต่อคือแผนระดับล่าง ย้ายมาอยู่ที่นี่คือแผนระดับกลาง ย้ายไปอยู่ที่หอพักของหลี่ฉางอิงถึงจะเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยม”
และเวลานี้หลินโส่วอีก็พาเซี่ยเซี่ยกลับมา พอหลินโส่วอีนั่งลงแล้วเด็กสาวผิวดำเกรียมก็มองเห็นชุยฉาน ท่าทางของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด กล้ายืนอยู่แค่ตรงหน้าประตูเท่านั้น
หลี่เป่าผิงสงสัย “ทำไมถึงเป็นแผนที่ดีเยี่ยมนั้นข้าเข้าใจ แต่แผนระดับล่างนี่หมายความว่ายังไง?”
ชุยฉานไล้นิ้วหมุนถ้วยชากระเบื้องสีขาวพลางเอ่ยเนิบช้า “ขโมยของ รังแกหลี่ไหว นี่เป็นเรื่องปกติของเด็กที่ไม่รู้ความ อีกอย่างเด็กหนุ่มเลือดร้อน ไม่มีเหตุผลมากที่สุด พวกเจ้าไม่เคยได้สัมผัสกับยุทธภพที่แท้จริงมาก่อน พวกจอมยุทธ์พเนจรไร้สมองเหล่านั้น แค่พูดไม่เข้าหูคำเดียวก็สามารถฆ่าคนทั้งตระกูลของอีกฝ่ายได้ หลังจบเรื่องถูกทางการจับตัวไปตัดหัว ลองเดาดูสิว่าพวกเขาจะทำอย่างไร? เมื่ออยู่บนลานประหาร ต่อให้เพชฆาตจ้องมองลำคอของพวกเขา คิดว่าควรจะบั่นคอพวกเขาอย่างไร คนเหล่านั้นก็ยังสามารถลำพองใจได้เหมือนเดิม ไม่มีใครรู้สึกผิด เจ้าคิดว่าพวกเขากลัวตายงั้นหรือ? ฆ่าคนไม่ใจอ่อน ถูกฆ่าไม่ก้มหัวให้ พวกเขาก็ร้ายกาจอย่างนี้แหละ”
หลี่ไหวรับฟังอย่างตั้งใจ รู้สึกเพียงว่าคนพวกนี้สมองเสื่อมหรือไร? บนโลกจะมีคนที่ไร้เหตุผลแบบนี้จริงๆ หรือ?
ชุยฉานเอ่ยยิ้มๆ “ดังนั้นต่อให้เด็กพวกนั้นจะยอมรับผิด กลับไปถูกพวกบิดาตีจนก้นลาย ไม่แน่ว่าวันไหนโมโห รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมขึ้นมาอีก ข่มกลั้นความขุ่นเคืองเอาไว้ตลอดเวลา ปะเหมาะพอดีถูกคนข้างกายที่ประสงค์ร้ายพูดยั่วยุสองสามคำ บอกว่าเจ้าเป็นถึงบุตรชายของกั๋วกงคนนั้น ท่านโหวคนนี้ เก็บกลั้นความอัปยศเช่นนี้เอาไว้จะไม่ผิดต่อวิญญาณของบรรพชนที่อยู่บนสวรรค์หรือ? เจ้าเป็นถึงลูกหลานของขุนนางบุกเบิกแคว้นผู้มีคุณูปการของต้าสุย รูปภาพบรรพบุรุษของพวกเจ้าตอนนี้ยังแคว้นอยู่ในหอจื่อเซียวของต้าสุยอยู่เลยนะ”
อวี๋ลู่พยักหน้ารับน้อยๆ
ในฐานะองค์รัชทายาทของราชวงศ์สกุลหลู เหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา และในบรรดาคนทั้งหมดที่นั่งอยู่ในห้อง เขาอาจเป็นคนที่เข้าใจความหมายของชุยฉานได้ดีที่สุด
ชุยฉานหัวเราะเฮอๆ อยู่สองที แล้วพูดต่อว่า “จากนั้นพวกเขาก็จะรู้สึกว่าจริงด้วย พวกเราแหยในถิ่นตัวเองแบบนี้ วันหน้าจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร? ไม่เท่ากับว่าทำให้คนทั้งตระกูลเดือดร้อนกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเมืองหลวงหรอกหรือ? ดังนั้นกลางดึกของคืนใดคืนหนึ่งจึงหยิบมีดมาปาดคอหลี่ไหว ลูกหลานของตระกูลเศรษฐีสามคนนั้นอาจทำไม่ได้เหมือนจอมยุทธ์พเนจรที่พอความตายมาเยือนแล้วยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญ แต่หากถึงขั้นนั้นจริงๆ หลี่ไหวตายไปแล้ว พวกเขาจะรู้สึกเสียใจภายหลังหรือไม่ จะตกใจจนอึราดกางเกงหรือไม่ จะยังมีความหมายอีกหรือ?”
หลี่ไหวฟังจนหน้าซีดขาวไร้สีเลือด
อวี๋ลู่ยื่นมือไปตบไหล่เด็กชายแสดงการปลอบใจ เด็กชายหันหน้ามามองเขา น่าเสียดายก็แต่รอยยิ้มของเขาน่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก
ชุยฉานวางถ้วยชาลง เคาะโต๊ะเบาๆ “ส่วนเรื่องที่นอกเหนือจากการทำอะไรตามอารมณ์อย่างแท้จริงนั้น ย่อมต้องเป็นการช่วงชิงกันทางผลประโยชน์ที่มีความคาบเกี่ยวสลับซับซ้อน มีคนโยนหินถามทาง มีคนกระพือลมจุดไฟ มีคนจับปลาในน้ำขุ่น ไม่ว่าอะไรก็มีหมด แต่ไม่เป็นไร ข้ามาแล้วนี่ไง หลังจากนี้พวกเจ้าก็ทำใจให้สงบศึกษาเล่าเรียนของตัวเองไป เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องสนใจ”
อารมณ์ของทุกคนที่อยู่ในห้องพักต่างก็ซับซ้อน
ชุยฉานหัวเราะฮ่าๆ “ทำไม ไม่เชื่อข้า? ไม่เชื่อว่าข้ามีความสามารถนี้ หรือไม่เชื่อว่าข้าหวังดี? หากเป็นข้อแรก พวกเจ้าสามารถตั้งตารอได้เลย แต่หากเป็นข้อหลัง…เอาเถอะ เฉินผิงอันอาจารย์ของข้าเป็นกังวลว่าพวกเจ้าจะถูกคนรังแก ตลอดระยะทางที่เดินทางกันไป เขาไม่เคยสงบใจได้เลย ดังนั้นจึงทำการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่ากับข้าครั้งหนึ่ง โดยให้ข้ามาช่วยดูแลพวกเจ้าที่มาศึกษาอยู่ต่างถิ่น ตอนนี้คงเชื่อข้าได้แล้วกระมัง?”
ชุยฉานมองหลี่เป่าผิง “หลักการที่แท้จริงในยุทธภพไม่เคยอยู่ที่คำว่ารวดเร็ว”
แล้วก็หันไปมองหลินโส่วอี “ภูเขาสูงน้ำไหล วันเวลายาวไกล ชั่วชีวิตนี้หากผูกปมแค้นกับใครแล้วรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจจริงๆ ก็ควรเล่นงานศัตรูคู่แค้นของตัวเองก่อน จากนั้นค่อยหันไปรังแกลูกหลานของเขา ลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สายไม่ใช่หรือ?”
สุดท้ายมองไปยังหลี่ไหว “จำไว้นะ ผู้ฝึกบำเพ็ญตนจะแก้แค้นก็ดี ตอบแทนบุญคุณก็ช่าง หนึ่งร้อยปีก็ยังไม่ถือว่ายาวนาน”
ชุยฉานกล่าวจบก็ตบมือตัวเอง “เอาล่ะ ข้าพูดธุระสำคัญจบแล้ว”
แล้วเขาก็ตบศีรษะตัวเอง “ใช่แล้ว เป่าผิงน้อย ตอนที่ข้ากับอาจารย์เดินทางผ่านภูเขาลูกหนึ่ง โชคดีได้เห็นปลาตะเพียนข้ามภูเขาที่กำลังย้ายบ้านฝูงใหญ่ อาจารย์ท่านนั้นของข้าเคยได้ยินมาว่าในกลุ่มของปลาตะเพียนข้ามภูเขาหมื่นตัวอาจจะมีบรรพบุรุษของปลาตะเพียนข้ามภูเขาที่ทั้งตัวเป็นสีทองตัวหนึ่ง อาจารย์ดึงดันจะลาขาให้นั่งยองอยู่บนกิ่งไม้ จับจ้องมองพวกมันบื้อๆ อยู่อย่างนั้น รออย่างยากลำบากหนึ่งชั่วยามกว่าถึงจะเจอปลาตะเพียนข้ามภูเขาสีทองอร่ามที่จงใจคลุกร่างให้เปรอะดินโคลนตัวนั้น”
หลี่เป่าผิงเบิกตากว้าง ลุกขึ้นยืนบนม้านั่ง จากนั้นก็นั่งยองลง ราวกับว่าหากทำอย่างนี้จะสามารถขยับระยะทางให้ใกล้กับอาจารย์อาน้อยของนางและปลาตะเพียนข้ามภูเขาตัวนั้นได้อีกนิด
ชุยฉานส่ายหน้า “พอลงจากต้นไม้ เขาก็ล้มลุกคลุกคลานไปตลอดทาง กว่าจะจับปลาตะเพียนหายากตัวนั้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เดิมทีคิดจะรีบส่งมาให้เจ้าทันที แต่ปลาตะเพียนข้ามภูเขาพ้นจากน้ำได้นานสุดแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น ต่อให้เป็นตัวที่จับมาได้ก็ยังทนได้แค่เดือนกว่าๆ หากบอกกับคนที่จุดพักม้าไปตามตรง ขอให้พวกเขาเลี้ยงดูมันโดยคอยปล่อยมันลงน้ำทุกๆ สามวันห้าวัน เฉินผิงอันก็ไม่วางใจ กลัวว่าพวกเขาจะเห็นของมีค่าแล้วเกิดใจละโมบ กังวลว่าส่งกันไปส่งกันมาจะหายทั้งของหายทั้งคน ทำให้เจ้าดีใจไปเปล่าๆ เขาเลยบอกว่าเมื่อไปถึงบ้านเกิดแล้วจะไปเยี่ยมหาพี่ชายใหญ่ของเจ้า บอกให้เขารู้ว่าเจ้าสบายดี และเอาปลาตัวนั้นไปให้หลี่ซีเซิ่งเลี้ยงให้ก่อน”
ดวงตาสองข้างของหลี่เป่าผิงเปล่งปราย ไหนเลยจะยังมีสีหน้าเซื่องซึมเหงาหงอยอยู่อีก พริบตาเดียวก็กลายมาเป็นแม่นางน้อยที่แบกหีบหนังสือทัศนาจรไกล ออกมาเผชิญโลกกว้างเป็นครั้งแรกอีกครั้ง
ชุยฉานถอนหายใจ “เป่าผิงน้อย อาจารย์ของข้าดีต่อเจ้าจริงๆ ไม่ว่ามีของดีอะไรก็ล้วนนึกถึงเจ้า หึ ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ด้วยนิสัยตระหนี่ขี้เหนียวขนาดตุ๋นเนื้อนึ่งปลาก็ยังไม่ยอมใส่เกลือเยอะของอาจารย์ พอมาเจอพวกเจ้า ทำไมถึงไม่เห็นของล้ำค่าที่แท้จริงเป็นของล้ำค่า? เขาก็ไม่ใช่คนโง่นี่นา”
ดีนักนะ
คราวนี้ใบหน้าเล็กๆ ของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงยับยุ่ง มุมปากเบะลงด้านล่าง ท่าทางเหมือนจะร้องไห้
ชุยฉานรีบร้อนอธิบาย “ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง ปลาตะเพียนข้ามภูเขาไม่สามารถส่งผ่านจุดพักม้ามายังสำนักศึกษาได้ แต่จดหมายส่งมาได้ ตอนอยู่จุดพักม้าริมชายแดนต้าสุย เฉินผิงอันได้เขียนจดหมายมาให้พวกเจ้าทุกคน คาดว่าอีกสักสิบวันครึ่งเดือนก็น่าจะมาถึงที่นี่ ถึงเวลานั้นจะร้องไห้หรือหัวเราะ บรรพบุรุษน้อยอย่างพวกเจ้าก็เชิญเลือกได้ตามสบาย”
สุดท้ายชุยฉานกล่าวด้วยความจนใจว่า “เฉินผิงอันยังบอกด้วยว่า ชุยฉานลูกศิษย์ของข้านั้นคือคนชั่วช้า อย่าเชื่อใจเขาเด็ดขาด แต่หากเจอเรื่องอะไรก็มาขอให้เขาช่วยได้”
พอเขาเอ่ยประโยคนี้จบ หลี่เป่าผิงสามคนกลับเชื่อเกินครึ่ง ต่อให้เป็นอวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยก็ยังเชื่อใจเขาถึงสี่ห้าส่วน
หลี่ไหวไปพักที่หอพักของหลินโส่วอี หลี่เป่าผิงกลับห้องพักตัวเอง คนทั้งสองแยกกันกลางทาง
หลังจากคนทั้งสามแยกตัวออกไป ชุยฉานรออยู่ชั่วครู่ แล้วดื่มชาไปอีกถ้วย ถึงได้พาเซี่ยเซี่ยออกไปจากที่พักของอวี๋ลู่
หัวใจของเด็กสาวบีบรัดตัวแน่น เดินตามไปด้านหลังเด็กหนุ่มชุดขาวด้วยความระมัดระวัง ตอนนี้นางตึงเครียดยิ่งกว่าตอนที่เผชิญหน้ากับ “เมล็ดพันธ์แม่ทัพของต้าสุยที่บิดาตายไปแล้ว” ผู้นั้นนับหมื่นเท่า
ไม่มีเด็กๆ อย่างพวกหลี่เป่าผิงสามคนอยู่ด้วย ชุยฉานสีหน้าไร้อารมณ์ ถามเสียงเย็นโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง “ทำไมตอนที่เผชิญหน้ากับหลี่ฉางอิงถึงไม่ลงมือ? ไม่กล้าหรือว่าตัดใจไม่ลง?”
เซี่ยเซี่ยตอบตามความจริง “เรียนคุณชาย ทั้งสองอย่าง”
ชุยฉานหยุดเดิน หันมาตบบ้องหูเด็กสาวอย่างแรงหนึ่งครั้ง “ตลอดทางที่เดินทางมาดีแต่กินแต่ดื่ม ถึงท้ายที่สุดกลับลงมืออัดลูกแม่ทัพที่พ่อตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ? เจ้าช่างมีฝีมือนัก! หากเจ้าเก่งกาจขนาดนี้ทำไมไม่ขึ้นฟ้าไปเสียเลยล่ะ?”
เด็กสาวที่ใบหน้าบวมเป่งปลุกความกล้าประสานสายตากับชุยฉาน “ในเมื่อรู้ว่าทุ่มเทสุดชีวิตก็ยังเอาชนะไม่ได้ ข้าจะต้องทำไปทำไม! คุณชาย ท่านช่วยบอกข้าหน่อยสิ!”
ชุยฉานตบฉาดไปอีกหนึ่งที “เพราะชีวิตของเจ้าไม่มีค่า ยังเทียบกับนิ้วมือสักนิ้วของหลี่ไหวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ในสายตาของข้า เจ้าไม่มีค่าแม้แต่อีแปะเดียว!”
ความเศร้าอาดูรลุกลามไปทั่วหัวใจของเด็กสาว นางกัดริมฝีปากจนเลือดซึม
ชุยฉานยกมือขึ้นทำท่าจะตี เด็กสาวกลัวเขาอย่างถึงที่สุด ไม่กล้าขยับหนี ได้แต่หันหน้าไปทางอื่น
ชุยฉานยกยิ้ม ก่อนจะดึงมือกลับมา สุดท้ายถึงขนาดยื่นมือไปตบซีกแก้มของเด็กสาวเบาๆ อย่างอ่อนโยน “กลัวข้าขนาดนี้เชียว นับเป็นเรื่องดี ข้ายังนึกว่าไม่เจอกันพักหนึ่ง โสเภณีน้อยไร้ยางอายอย่างเจ้าจะปีกกล้าขาแข็งอีกหลายส่วน คุณชายอย่างข้าทั้งผิดหวังทั้งปลื้มใจ”
สีหน้าเด็กสาวทึ่มทื่อ
ชุยฉานหมุนตัวกลับแล้วเดินหน้าต่ออีกครั้ง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าสามารถช่วยเอาตะปูขังมังกรที่ตรอกตรึงอยู่ในจิตวิญญาณของเจ้าออกมาได้ครึ่งหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นอีกไม่นานเจ้าก็จะกลับไปเป็นขอบเขตถ้ำสถิตอีกครั้ง”
เซี่ยเซี่ยถามเสียงเบา “ทำไมล่ะ?”
ชุยฉานไม่ได้หันกลับมา แต่ตวัดเท้าถีบมาด้านหลังอย่างไม่มีลางบอกเหตุ ฝ่าเท้ากระแทกเข้าที่หน้าท้องของเด็กสาว เด็กสาวที่ไม่ทันตั้งตัวเกือบจะผงะหงายหลัง ความเจ็บปวดทรมานแผ่ซ่านไปทั่วอณูกายจนแทบทนไม่ไหว
ชุยฉานกล่าวด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “เพิ่งจะเข้าใจเหตุผลข้อหนึ่ง เรียนรู้มาจากเฉินผิงอัน เขาน่ะในมือกำเหรียญทองแดงไว้เหรียญหนึ่ง แต่ใจปรารถนาว่ามันจะใช้จ่ายได้เท่ากับเหรียญเงินหนึ่งตำลึง ในเมื่อเจ้าเป็นเหรียญเงินหนึ่งตำลึง แล้วทำไมข้าต้องเห็นเจ้าเป็นเงินเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งด้วยเล่า?”
กรอบตาของเด็กสาวเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาใสแวววาว
เหรียญทองแดง เหรียญเงิน
วิธีการพูดที่หยาบคายตรงไปตรงมา อีกทั้งชีวิตของทุกคนในครอบครัวกลับมีค่าแค่เงินหนึ่งเหรียญทองแดง เงินหนึ่งตำลึงเงินเท่านั้น
ผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่มีชื่อเสียงเกียรติยศในราชสำนักคนใดบ้างที่ไม่ได้ใช้จ่ายเงินทองโดยมีหน่วยเป็นภูเขากี่ลูกๆ เพื่อให้ขอบเขตไต่ทะยานขึ้นสูง?
ชุยฉานเดินพลางลูบคลำปลายคาง จมสู่ภวังค์ของการครุ่นคิด พอคืนสติก็หันมาส่งยิ้มกว้างขวาง “อยากฉีกหนังหน้าผืนนั้น เผยกายต่อผู้คนด้วยโฉมหน้าที่แท้จริงหรือไม่? วันนี้คุณชายอารมณ์ดี อยากจะแสดงความเมตตา วันหน้าชื่อของเจ้าก็เปลี่ยนกลับมาเป็นเซี่ยหลิงเยว่แล้วกัน เป็นไง ซาบซึ้งใจในตัวคุณชายจนน้ำหูน้ำตาไหลพรากเลยหรือไม่?”
เด็กสาวที่โดนตีก็ไม่เอาคืน โดนด่าก็ไม่ด่ากลับไม่รู้ว่าเอาความกล้ามาจากไหนถึงแผดเสียงแหลมดังกลับคืน “ไม่นะ!”
ชุยฉานหยุดเท้า หันตัวกลับมามองเด็กสาวที่อกสั่นขวัญหายผู้นั้นแล้วจุ๊ปากเป็นทอด “ยังลำบากใจด้วยหรือนี่”
เด็กสาวนั่งคุกเข่าลงบนพื้น ใบหน้านองไปด้วยน้ำตา ร้องสะอึกสะอื้นเสียงขาดๆ หายๆ “คุณชายโปรดอย่าทำเช่นนี้…ข้ายินดีเป็นเซี่ยเซี่ยที่ธรรมดาต่อไป…โปรดอย่าฉีกหนังหน้าผืนนี้ทิ้ง ข้าขอร้องคุณชาย…”
ชุยฉานยื่นนิ้วมือออกมาสองนิ้ว “สองเลือกหนึ่ง ฉีกหนังหน้าผืนนี้ หรือเปิดเผยตัวตนเซี่ยหลิงเยว่ของเจ้า เจ้าเลือกเอาเอง เร็วเข้า ระวังข้าจะไม่เหลือแม้แต่ทางเลือกให้เจ้า”
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นช้าๆ บัดนี้ดวงตาที่เศร้าโศกประหนึ่งดวงตากวางน้อยที่ใกล้ตายตัวหนึ่ง นางพูดเสียงสั่น “ข้าเลือกเปลี่ยนชื่อ”
ชุยฉานส่ายหน้า “เห็นไหมล่ะ บอกว่าเจ้าคือโสเภณีน้อยแล้วยังไม่ยอมรับ บ้านเมืองสำนักอะไรล้วนเทียบกับหน้าตาของตัวเองไม่ได้ เอาเถอะ อีกไม่นานเจ้าก็จะเป็นเซี่ยหลิงเยว่จากตระกูลเซียนอันดับหนึ่งของราชวงศ์สกุลหลู เซี่ยเซี่ย รีบขอบคุณคุณชายของเจ้าสิ”
เด็กสาวกล่าวขมขื่น “ขอบคุณคุณชาย”
ชุยฉานเดินเร็วๆ ไปด้านหน้า ยกเท้าถีบจนเด็กสาวล้มเค้เก้ลงไปบนพื้น พูดเสียงเดือดดาล “เจ้าต้องพูดว่าเซี่ยเซี่ยขอบคุณคุณชาย!” (ประโยคภาษาจีนจะเล่นคำโดยพูดว่า เซี่ยเซี่ย เซี่ยเซี่ยกงจื่อ)
เด็กสาวนอนหมอบอยู่บนพื้น ไหล่บางสั่นสะท้าน “เซี่ยเซี่ยขอบคุณคุณชาย”
ชุยฉานกลอกตามองบนใส่ “น่ารำคาญ กลับไปเองเลย”
เขาย้อนกลับไปทางเดิม เดินกลับไปยังหอพักของอวี๋ลู่เพียงลำพัง ทิ้งเด็กสาวที่ร่ำไห้ปริ่มจะขาดใจไว้ตรงนั้นคนเดียว
แต่ก่อนจะจากไป ชุยฉานยังทิ้งประโยคประหลาดประโยคหนึ่งเอาไว้ น่าเสียดายที่เด็กสาวฟังอะไรไม่เข้าหูแล้ว “เปลี่ยนชื่อก็เท่ากับเปลี่ยนชะตาชีวิต หลังจากนี้เซี่ยหลิงเยว่จะต้องโชคดีตลอดเส้นทาง หากไม่เชื่อก็รอดูไปแล้วกัน ฮ่าๆ มาเจอกับคุณชายที่ชอบแจกจ่ายสมบัติอย่างข้า ช่างเป็นโชควาสนาที่เจ้าสั่งสมมาสิบชาติจริงๆ”
เด็กสาวนั่งเหม่อลอยอยู่ที่เดิม ถึงขนาดลืมเช็ดน้ำตาด้วยซ้ำ
สายลมยามค่ำคืนของฤดูหนาวเย็นเฉียบจับใจ
สายลมก่อตัวบนยอดหญ้า เพียงแต่ไม่ว่าจะพัดไปพัดมาผ่านร่างเด็กสาวอย่างไร นางก็รู้สึกแค่เพียงความอาลัยตายอยาก
—–