กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 169.2 เอาคนที่สู้เป็นมา
วังหลวงต้าสุย ตำหนักจรุงจิตที่สง่างามเรียบง่าย ฮ่องเต้ต้าสุยเรียกเจ้ากรมพิธีการมาพบอีกครั้ง ขมวดคิ้วถาม “ทางฝ่ายของสำนักศึกษามีความเคลื่อนไหวอีกหรือไม่?”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยส่ายหน้า “เหมาเสี่ยวตงบอกแค่ว่าจะให้คำอธิบายแก่ฝ่าบาท แต่ไม่ได้บอกว่าจะเข้าวังตอนไหน”
บุรุษท่าทางสุภาพสวมชุดคลุมมังกรกล่าวอย่างจนใจ “ต้องเป็นต้าสุยของพวกเราที่ให้คำอธิบายแก่สำนักศึกษาพวกเขามากกว่ากระมัง ทว่าเหมาเหล่าไม่มา กว่าเหรินก็ไม่อาจเร่งรัดให้สำนักศึกษามาทวงความยุติธรรมได้”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยใคร่ครวญถึงคำพูดที่จะใช้อย่างระมัดระวัง หลังจากเรียบเรียงประโยคได้เรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยคำที่ผ่านการไตร่ตรองแล้วออกมา “หากจะบอกว่าสาเหตุการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างหลี่ไหวกับเพื่อนร่วมหอพักเป็นความขัดแย้งของเด็กๆ ก็พอจะเข้าใจได้ เป็นฝ่ายต้าสุยของพวกเราที่ทำความผิดก่อน ส่วนมรสุมน้อยใหญ่ที่เกิดขึ้นมาตามหลัง ต่างก็ผิดถูกกันคนละครึ่ง สุดท้ายตอนที่เด็กหนุ่มซึ่งชื่อว่าอวี๋ลู่ผู้นั้นลงมือ ถือว่าเกินเหตุไปจริงๆ ประเด็นสำคัญคือเด็กหนุ่มคนนี้ไม่เพียงแต่ลงมืออย่างเหี้ยมโหด อีกทั้งยังมีกลอุบายลึกล้ำ ตามคำบอกของผู้ฝึกกระบี่คนนั้น หลายครั้งที่อวี๋ลู่ลงมือแบ่งพลังออกเป็นของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ ขอบเขตที่ห้าและหก ตอนหลังพยายามกดตบะให้อยู่ในขอบเขตที่หกตลอดเวลา การลงมือในครั้งสุดท้ายถึงจะใช้ตบะขอบเขตที่เจ็ดอย่างเหี้ยมหาญ ทำร้ายผู้ฝึกกระบี่ให้บาดเจ็บสาหัส”
ฮ่องเต้ต้าสุยพยักหน้ารับ อันที่จริงขันทีสวมชุดคลุมงูหลามที่อยู่นอกประตูผู้นั้นได้เล่าให้เขาฟังตั้งนานแล้ว เด็กหนุ่มอวี๋ลู่น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ผู้มีตบะขอบเขตหกขั้นสูงสุด แต่ในศึกใหญ่กลางหอหนังสือครานั้นกลับใช้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรเป็นหินลับมีด อาศัยเหตุการณ์ครั้งนี้ช่วยให้ตัวเองฝ่าทะลุขอบเขต ฐานกระดูก พรสวรรค์ จิตใจปณิธาน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าล้วนเป็นการเลือกสรรจากส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดทั้งสิ้น
เรื่องราวและบุคคลที่บุรุษซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรผู้นี้มองเห็นในสายตา ไม่ว่าจะเป็นความดีเลวของคน หรือแนวโน้มในการพัฒนาของเรื่องราวก็ล้วนแตกต่างไปจากขุนนางฟ้ากรมพิธีการที่เปี่ยมไปด้วยความระแวดระวังผู้นี้
ขันทีเฒ่าที่อยู่นอกประตูพลันมาหยุดอยู่ข้างกายฮ่องเต้ต้าหลี เจ้ากรมพิธีการรู้สึกเพียงว่าหูตาพร่าลาย อยู่ดีๆ ก็เห็นชุดคลุมงูหลามสีแดงสดบังขวางอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้ต้าสุยอย่างไม่สนใจมารยาทพิธีการระหว่างกษัตริย์กับขุนนางเลยแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้ต้าสุยแค่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ไม่ได้โกรธ ยิ่งไม่มีความหวาดกลัว
จากนั้นทั่วทั้งวังหลวงก็เกิดแรงสั่นสะเทือนรุนแรงราวกับวัวดินกำลังพลิกตัว
แล้วก็ได้ยินเสียงกังวานของคนผู้หนึ่งเอ่ยถาม “ฮ่องเต้ต้าสุยอยู่ไหน?”
ฮ่องเต้ต้าสุยลุกขึ้นยืน ถามยิ้มๆ “ไอ้หมอนี่ใจกล้าจริงๆ เขาแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่?”
ขันทีสูงวัยตอบเสียงทุ้มหนัก “ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าธรรมดา สามารถพูดได้ว่าร้ายกาจอย่างถึงที่สุด”
ฮ่องเต้ต้าสุยพยักหน้ารับ “ก็เหมือนกับบรรดฉีไต้จ้าว (ชื่อตำแหน่งขุนนาง คือยอดฝีมือในการเล่นหมากล้อม หมากรุก มีหน้าที่หลักๆ คือคอยเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนฮ่องเต้) ที่ผู้เล่นระดับแคว้นเก้าขั้นก็มีการแบ่งแข็งแกร่งและอ่อนด้อย ระดับขั้นอาจมองดูเหมือนใกล้เคียงกัน แต่แท้จริงแล้วความต่างกลับมากมหาศาล”
ภายใต้การคุ้มกันของขันทีหนึ่งในผู้เฝ้าประตูเมืองหลวงต้าสุย บุรุษเดินออกจากตำหนักจรุงจิตพลางเอ่ยเนิบช้า “เดิมทีควรมีสิบขั้น แต่เพราะเล่าลือกันว่าในนครจักรพรรดิขาวของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีมารใหญ่ตนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าขั้นสิบ บนกำแพงเมืองยังปักธงผืนหนึ่งที่เขียนว่า ‘ถ่อมตนแด่บรรพชนหมากล้อมทั่วหล้า’ ดังนั้นจึงไม่มีราชวงศ์ใดที่มีความกล้ามากพอจะประทานตำแหน่งขั้นสิบให้แก่นักเล่นหมากล้อมในแคว้นตัวเอง บอกตามตรงว่านักเล่นหมากล้อมผู้มีพรสวรรค์ในต้าสุยล้ำเลิศเป็นอันดับหนึ่งในแจกันสมบัติทวีป แต่กระนั้นต้าสุยก็ยังไม่กล้าแหกกฎข้อนี้ กว่าเหรินอยากจะไปเป็นนครจักรพรรดิขาวแห่งนั้นกับตาตัวเองจริงๆ”
ขันทีกล่าว “ลองให้ยอดฝีมือในวังหลวงหยั่งเชิงดูก่อน ฝ่าบาทค่อยปรากฏตัวก็ยังไม่สาย”
ฮ่องเต้ต้าสุยกับขันทีผู้สวมชุดคลุมลายงูหลามเพิ่งจะเดินออกมาจากระเบียงก็มีผู้ฝึกลมปราณผมขาวโพลนผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงานสถานการณ์การต่อสู้
บนลานกว้างนอกตำหนักอู่อิง รองผู้บัญชาการณ์ทหารองค์รักษ์ส่วนพระองค์ที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดคนหนึ่งถูกคนผู้นั้นต่อยจนหมดสติไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปหามตัวรองผู้บัญชาการณ์ออกมา
คนทั้งสามเดินออกไปได้ประมาณร้อยกว่าก้าวก็มีแม่ทัพร่างกำยำสวมเสื้อเกราะสีทองอีกคนหนึ่งเข้ามารายงาน
ปรมาจารย์ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบที่เฝ้าพิทักษ์บริเวณใกล้เคียงนอกวังหลวงคนหนึ่งรุดเข้ามาในวังหลวงอย่างเร่งร้อน เพิ่งจะเรียกอาวุธอาคมออกมาก็ถูกหมัดหนึ่งของคนผู้นั้นต่อยอาวุธอาคมกระเด็นออกไปนอกวัง ส่วนตัวเขาก็ถูกอีกหมัดหนึ่งต่อยให้ลอยลิ่วไปกระแทกกับำแพง เขาไม่ได้หมดสติไป แต่ก็ไม่เหลือพละกำลังให้ต่อสู้อีกแล้ว
ฮ่องเต้ต้าหลีอืมรับหนึ่งที แล้วถามว่า “เปิดใช้ค่ายกลในวังแล้วหรือยัง?”
ขุนพลเสื้อเกราะทองพยักหน้ารับ “เปิดแล้วพะย่ะค่ะ! สามารถโคจรได้ตลอดเวลา ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์และผู้ฝึกลมปราณใหญ่ทั้งในและนอกเมืองหลวง ตอนนี้ต่างก็มุ่งหน้ามาที่วังหลวง”
ฮ่องเต้ต้าสุยถาม “คนผู้นั้นได้ลงมือก่อนบ้างหรือไม่?”
ขุนพลฝ่ายบู๊ส่ายหน้า “ไม่เลย แค่บอกว่าต้องการพบฝ่าบาท หากพวกเราลงไม้ลงมือ เขาก็จะยืนนิ่งอยู่กับที่”
ฮ่องเต้ต้าสุยพูดกับตัวเอง “ความผิดเดิมไม่ทำซ้ำสาม”
ขันทีสวมชุดลายงูหลามเอ่ยยิ้มๆ “ในเวลาอย่างนี้ฝ่าบาททรงอย่าพิถีพิถันกับเรื่องพวกนี้เลย ให้ข้าไปพบเขาก่อนเถิดพะย่ะค่ะ หากยังคงแพ้ ฝ่าบาทค่อยเผยกาย”
ฮ๋องเต้ต้าสุยเอ่ยหยอกเย้า “พวกเจ้าต่างก็เป็นคนที่เดินบนวิถีของการฝึกวรยุทธ์เหมือนกัน อย่าให้แพ้จนน่าเกลียดเกินไปนักล่ะ”
ฐานะของขันทีเฒ่าสูงส่ง ในอดีตเคยรับใช้อดีตฮ่องเต้ต้าสุยมาสามสมัย ได้ยินประโยคนี้ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ พวกเราไม่มีทางใช้ปราณมังกรของเมืองหลวง”
ขันทีเฒ่าแตะปลายเท้าเบาๆ พริบตาเดียวก็พุ่งไปอยู่บนหลังคาของตำหนักแห่งหนึ่ง แล้วกระโดดไปกลางอากาศเหมือนกบแตะผิวน้ำ บังคับลมพุ่งไปด้านหน้าประหนึ่งเทพเซียนที่เดินทางท่องเที่ยว
ขอบเขตของผู้ฝึกยุทธ์ในโลก ขอบเขตแปดคือขอบเขตจำแลงขนนก จะสามารถลอยตัวอยู่กลางอากาศ บังคับลมเดินทางไกล จึงเป็นสาเหตุให้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าขอบเขตเดินทางไกล
ส่วนขอบเขตเก้าขั้นสูงสุดก็คือปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางในสายตาของคนในยุทธภพ ความหมายก็ถือเส้นทางแห่งวรยุทธ์ใต้ฝ่าเท้าได้เดินมาจนถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ระดับความแข็งแกร่งของเรือนกายเหนือกว่าร่างอรหันต์ทองคำของลัทธิพุทธ ในบรรดาผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางซึ่งไม่นับรวมนักพรตขอบเขตสิบ หากถูกขอบเขตเก้าเข้าใกล้ในระยะสิบจั้ง โดยที่ไม่มีอาวุธอาคมระดับสูงสุดคุ้มกันกายก็ต้องมีจุดจบด้วยความตายกันแทบทุกคน
ขันทีเฒ่าสวมชุดคลุมลายงูหลามสีแดงสดพลิ้วกายลงบนลานกว้างนอกตำหนักอู่อิง อยู่ห่างจากชายฉกรรจ์ที่หน้าตาไม่โดดเด่นผู้นั้นประมาณยี่สิบกว่าจั้ง
ก่อนหน้าที่ขันทีใหญ่ผู้นี้จะปรากฏตัว พื้น หลังคาและกำแพงทั่วทั้งวังหลวงต่างก็มีแสงสีทองชั้นหนึ่งปรากฎขึ้นเหมือนกระแสน้ำสีทองที่ไหลรินเอื่อยเฉื่อย ท่ามกลางน้ำสีทองบางๆ ชั้นหนึ่งที่แผ่ไปทั่วพื้นดินพอจะมองเห็นภาพมายาของเจียวและมังกรที่แสยะปากกางกรงเล็บ แผ่พลังอำนาจน่ากริ่งเกรงได้รำไร
ค่ายกลหลังนี้ของวังหลวงต้าสุยมีชื่อว่ากำแพงมังกร
ราชวงศ์ต้าสุยสงบสุขมาเนิ่นนาน กำแพงมังกรจึงไม่เคยถูกใช้งานมาร้อยกว่าปีแล้ว
เมื่อค่ายกลหลังนี้ถูกเปิดใช้ ตลอดทั้งวังหลวงจึงทอแสงทองอร่าม ขันทีเฒ่าที่เคยผ่านศึกใหญ่โหดร้ายครั้งนั้นมากับตัวพลันสับสนด้วยความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามา
“นึกไม่ถึงว่าพวกเราจะได้พบหน้ากันอีกแล้ว”
ขันทีเฒ่ามือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งกำเป็นหมัดวางไว้ตรงหน้าท้อง “แลกกันสามหมัด หากเจ้าชนะ ก็จะได้พบฝ่าบาทของพวกเรา”
ตอนนั้นที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูก็เป็นชายฉกรรจ์ผู้นี้ที่ถือกรงราชามังกรไว้ในมือ คิดจะขายปลาหลีสีทองที่อยู่ด้านในให้กับเด็กหนุ่มจากตรอกยากจนคนหนึ่ง
ทว่ากลับถูกผู้เฒ่ากับองค์ชายเกาเซวียนดักชิงโชควาสนาใหญ่สองส่วนไปกลางคัน
ในเวลานั้นชายฉกรรจ์เก็บซ่อนตัวตนได้อย่างลึกล้ำ บวกกับการสยบเวทอาคมของถ้ำสวรรค์หลีจู ผู้เฒ่าจึงมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายคือปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์คนหนึ่ง
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่คิดจะตีสนิทกับขันทีเฒ่าชุดงูหลามสีแดง เพียงเอ่ยด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปที่ค่อนข้างจะผิดเพี้ยนว่า “ข้าต่อให้เจ้าต่อยก่อนสองหมัดก็แล้วกัน”
ขันทีเฒ่าเลิกคิ้วสูง “ตกลง!”
ชายฉกรรจ์ไม่พูดอะไรอีก ลมปราณจมสู่จุดตันเถียน ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ลานกวางนอกตำหนักอู่อิงเริ่มเกิดเสียงแตกร้าว ทว่าชายฉกรรจ์กลับยืนนิ่งประดุจขุนเขาที่ตั้งตระหง่านกลางวังหลวงต้าสุย
ในรัศมีสิบลี้โดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง แสงสว่างสีทองบนพื้นพลันหม่นมัวลง
ขันทีเฒ่าสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เริ่มก้าวเดินไปข้างหน้าประมาณหนึ่งชุ่น จากนั้นแต่ละก้าวที่ตามมาก็เริ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ก้าวสุดท้ายไกลถึงสองจั้ง พลังอำนาจน่าเกรงขาม พอมาหยุดอยู่ด้านหน้าชายฉกรรจ์แล้วก็ปล่อยหมัดต่อยไปที่หน้าอกของอีกฝ่าย
เสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว
ประหนึ่งระฆังใบใหญ่ถูกตีก้องดังไปทั้งวังหลวง
เจียวสีทองตัวหนึ่งที่เดิมทีว่ายวนอยู่บนพื้นของลานกว้างนอกตำหนักอู่อิงถูกลมปราณยิ่งใหญ่ขุมนี้กระแทกชน ร่างที่อยู่ท่ามกลางม่านกระแสน้ำสีทองจึงกลิ้งหลุนๆ ไปด้านหลังทันที สุดท้ายไปขดตัวอยู่ในมุมของกำแพงสูงแห่งหนึ่งที่ห่างไปไกล ให้ตายก็ไม่ยอมขยับตัว
ชายฉกรรจ์ถอยไปสามสี่ก้าว ยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “เหลืออีกหนึ่งหมัด”
ขันทีเฒ่าไม่พูดไม่จา ชุดคลุมสีแดงสดสะบัดพึ่บพั่บ ย่างเท้าออกไปก้าวหนึ่งพลางคำรามกร้าว ส่งอีกหมัดให้กระแทกลงบนหน้าผากของชายฉกรรจ์
หมัดนี้ไม่ว่าจะเป็นตอนออกหมัดหรือตอนปะทะกับหน้าผากของอีกฝ่ายล้วนเงียบกริบ
ทว่าองค์รักษ์ส่วนพระองค์และนางกำนัลกับขันทีจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในวังต่างก็ได้รับการโจมตีอย่างรุนแรง กลุ่มคนฝ่ายแรกมีตบะเป็นพื้นฐาน จึงรู้สึกเพียงว่าเยื่อหูสั่นสะเทือน เลือดลมปั่นป่วนยากสงบ ทว่าฝ่ายหลังมีหลายคนที่ร่างปลิวหวือออกไป พอร่วงกระแทกพื้นแล้วหูทั้งสองข้างต่างก็มีเลือดสดทะลักอาบน่าสยดสยอง
หมัดที่เหวี่ยงออกมาเต็มแรงของขันทีเฒ่าต่อยให้ร่างของชายฉกรรจ์ลอยลิ่วไปกระแทกกับผนังสูง ทว่าเพียงไม่นานเขาก็ใช้ฝ่ามือสองข้างดันผนังด้านข้าง ดึงตัวเองออกมาจากในกำแพง กระโดดลงพื้นเบาๆ ก่อนเดินเข้าหาขันทีอายุมากที่ปล่อยหมัดไปแล้วสองครั้งพลางเอ่ยด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปจากเดิม “เจ้ายังเหลืออีกหนึ่งหมัด ลงมือได้เต็มที่ แต่คราวนี้ข้าเองก็ต้องแสดงฝีมือบ้างแล้ว”
นับตั้งแต่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดก่อนหน้านี้ ภายหลังเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบ มาจนถึงหนึ่งในคนเฝ้าประตูเมืองหลวงอย่างท่านผู้นี้ นับรวมแล้วชายฉกรรจ์ออกหมัดไปแค่ครั้งเดียว
หมัดเดียวเท่านั้น
และชายฉกรรจ์ก็เป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมามากพอ เขาไม่คิดจะรังแกผู้ใดจริงๆ
ขันทีสูงวัยสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “โปรดชี้แนะ!”
ชายฉกรรจ์เริ่มการจู่โจม หมัดเรียบง่ายที่พุ่งตรงมาต่อยลงบนหน้าอกของขันทีเฒ่า
นาทีถัดมาบนลานกวางของตำหนักอู่อิงก็ไม่มีเงาร่างของขันทีต้าสุยผู้นี้อยู่อีก ทว่าตรงกำแพงสูงกลับเกิดโพรงขนาดใหญ่ ชายฉกรรจ์รออยู่พักหนึ่ง ไม่เห็นว่ามีคนเดินออกมาจากทางนั้น เขาถึงได้เอ่ยว่า “ฮ่องเต้ต้าสุย หากเจ้าจะหลบซ่อนตัวต่อไปก็ส่งคนที่สู้เป็นออกมา ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้มาพร้อมหมดทีเดียว!”
—–