กระบี่จงมา! Sword of Coming - ตอนที่ 170.1 ปรมาจารย์ใหญ่ที่ดื่มสุรารสเลิศ
บริเวณรอบๆ วังหลวงมีเงาร่างของคนเจ็ดแปดคนบ้างก็ลอยตัวอยู่กลางอากาศ บ้างก็ยื่นตระหง่านอยู่บนกำแพงอย่างหมายมั่นปั้นมือ รอแค่ฮ่องเต้มีคำสั่งก็พร้อมร่วมมือกันสังหารศัตรูทันที เทพเซียนเฒ่าและปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์เหล่านี้ต่างรู้ตื้นลึกหนาบางกันดี การร่วมมือกันจึงไหลรื่นสอดประสาน หากสู้กันตัวต่อตัว พวกเขารู้ดีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับชายฉกรรจ์จากต่างถิ่นผู้นั้น ทว่าการทะเลาะกันของเทพเซียนใต้หล้านี้ก็ไม่ได้เลื่อมใสการจับคู่ต่อสู้อยู่แล้ว
นอกกำแพงสูงของลานกว้างตำหนักอู่อิง ชุดคลุมลายงูหลามสีแดงสดบนร่างขันทีเฒ่าขาดวิ่นไม่เหลือดี พอลุกขึ้นยืนได้ ริมฝีปากของเขาถึงกับสั่นระริก
ฮ่องเต้ต้าสุยพยักหน้า “ระวังหน่อย”
ขณะเดียวกันระหว่างวังหลวงและด้านนอกวังหลวงของต้าสุย ในพื้นที่ที่กว้างขวางมากมีเรื่องอัศจรรย์บังเกิดขึ้น กองโหราศาสตร์ซึ่งเป็นพื้นที่หนึ่งในนั้นมีมัลละ (ภาษาสันสกฤต หนึ่งหมายถึงชายผู้มีพละกำลัง สองหมายถึงเผ่าพันธุ์ที่มีพละกำลังมาก) เกราะทองส่องประกายแวววาวสิบสองตนมุดดินออกมาจากสี่ด้านแปดทิศ สูงสามสี่จั้ง บนร่างสลักตัวอักขระ แต่ละคนถืออาวุธเทพพิทักษ์แคว้นคนละหนึ่งชิ้น
เสียงระฆังดังขึ้นในวัดแห่งหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงสวดภาษาสันสกฤต ในกระถางธูปของอารามเต๋าแห่งหนึ่งมีควันสีม่วงลอยกรุ่น ควันธูปมารวมตัวกันกลายเป็นยันต์ขนาดใหญ่ยักษ์แผ่นหนึ่ง ใต้สะพานหินโค้งแห่งหนึ่งมีเจียวขาวตัวหนึ่งเลื้อยขึ้นไปบนผนังของสะพาน ยื่นหน้าออกมาจากตรงราวสะพาน…
ในวังหลวงมีค่ายกลกำแพงมังกรที่คอยให้การปกป้องลูกหลานมังกรสกุลเกาต้าสุย นอกวังหลวงยังมีค่ายกลขนาดใหญ่ที่ยิ่งใหญ่งดงาม ผ่านการดำเนินการและสั่งสมพลังงานมาหลายร้อยปีของต้าสุย เอาไว้ใช้เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของทั่วทั้งเมืองหลวง ไม่ให้ได้รับภัยคุกคามจากการทำลายล้างของกลุ่มอิทธิพลบนภูเขา
หากค่ายกลใหญ่พิทักษ์เมืองถูกเปิดใช้เมื่อไหร่ก็สามารถบีบให้ผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวทั้งหมดที่อยู่ในอาณาเขตของเมืองรับการกดดันจากปราณมังกรสกุลเกา ระดับขั้นลดต่ำลงมาหนึ่งถึงสองขั้น สมมติว่าผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนพยายามที่จะทำลายเมืองหลวงของต้าสุย ต่อให้สุดท้ายคนผู้นั้นจะถูกล้อมสังหาร ทว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่เมืองหลวงก็ยังหนักหนาสาหัสอย่างที่สกุลเกาต้าสุยไม่อาจแบกรับไว้ได้อยู่ดี
แต่หากเผชิญหน้ากับนักพรตห้าขอบเขตบนที่ถูกกำราบศักยภาพที่แท้จริงให้เหลือแค่ขอบเขตสิบก็เห็นได้ชัดว่าไม่คณามือเมืองหลวงต้าสุยเลย ต่อให้ทุกคนจะขอบเขตลดลง แต่นี่เรียกว่าฝูงมดกัดช้างให้ตายได้ พลังการทำลายล้างของขอบเขตสิบคนหนึ่ง ต่อให้เจ้าจะสู้สุดชีวิต ตบฟ้าฟาดดินไม่เหลือทางถอยไว้แค่ไหน เมืองหลวงต้าสุยที่มีรากฐานลึกล้ำก็ยังไม่กลัวอยู่ดี
เรื่องที่ค่ายกลสยบขอบเขตก็เหมือนกับการสร้างด่านบนสะพานแห่งความเป็นอมตะ เป็นเหตุให้การไหลเวียนลมปราณของผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธ์ถูกขัดขวาง จำเป็นต้องชะลอความเร็วในการเดินทาง
ถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีตที่ลอยอยู่เหนืออาณาเขตของต้าหลีถูกสร้างขึ้นจากฝีมือของอริยะสี่ฝ่าย ถูกขนานนามว่าเป็นถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่ภายในไม่อนุญาตให้ใช้ทุกเวทคาถา หากฝืนร่ายอาคมจะถูกพลังแว้งกลับอย่างรุนแรง ตอนนั้นหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินแค่ทำการพยากรณ์เล็กน้อยก็ถูกหักอายุขัยไปหลายสิบปี เห็นได้ชัดว่าพลานุภาพของค่ายกลนั้นไม่ธรรมดาเลย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้ำสวรรค์หลีจูก็คือปฐมาจารย์ของค่ายกลประเภทนี้
หลังจากขันทีเฒ่าลุกขึ้นยืนก็กำหมัดสองข้างแล้วชนกันแรงๆ หนึ่งครั้ง ขนคิ้วตั้งด้วยความเดือดดาล คำรามกร้าว “มา!”
เจียวและมังกรมายาสีทองเก้าตัวที่ซ่อนกายอยู่ในค่ายกลกำแพงมังกรของวังหลวงพากันบินจากตำแหน่งต่างๆ เข้าหาจุดที่ขันที่ยืนอยู่อย่างรวดเร็ว สีทองแต่ละเส้นเลื้อยขึ้นสู่เบื้องบน จากนั้นก็กลายมาเป็นงูเล็กสีทองยาวเท่านิ้วมือที่พากันลอดผ่านทวารทั้งเจ็ดของขันทีเฒ่า เข้าไปในจิตวิญญาณของเขาแล้วผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
เพียงไม่นานผู้เฒ่าก็เหมือนกลายมาเป็นเทพเจ้าสีทองบรรพกาลที่เยื้องกรายลงมาจากสรวงสวรรค์ เขาก้าวยาวๆ ไปทางหลุมโพรงตรงกำแพงสูง ทุกก้าวที่เหยียบลงไปล้วนก่อให้เกิดริ้วคลื่นสีทอง เขาไม่ก้มหัวค้อมเอวลอดออกมา แต่ใช้มือตบผนังให้แตกแล้วเดินตรงกลับออกมายังลานกว้างนอกตำหนักอู่อิงอีกครั้ง
ขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊คอยให้ความช่วยเหลือกษัตริย์ เรียกว่าผู้ประคองมังกร (ฝูหลง 扶龙) ส่วนพวกขันทีข้ารับใช้ฝ่ายในนั้นจะเรียกว่าผู้แอบอิงมังกร (ฟู่หลง 附龙) อันดับหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีการขานตอบบางอย่างต่อปราณมังกรของจักรพรรดิ ทว่าการที่ขันทีเฒ่าสูงวัยซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เฝ้าประตูเมืองหลวงต้าสุยท่านนี้สามารถดึงปราณมังกรของสกุลเกาเชื้อพระวงศ์ผู้ยิ่งใหญ่มาให้ตัวเองใช้ก็ยังคงเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออยู่ดี ผู้ฝึกลมปราณและปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่อยู่รอบนอกของวังหลวงหันมามองหน้ากัน สายตาของแต่ละคนต่างก็ฉายแววตกตะลึงระคนหวาดกลัว
เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ต้องมีความลับยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจบอกใครได้แอบแฝงอยู่แน่นอน
ขันทีเฒ่าหันไปตวาดใส่ชายฉกรรจ์จากต่างถิ่นผู้นั้น “มาสู้กันอีกหน่อยเป็นไง?!”
หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้เขาคือนักเล่นหมากล้อมผู้อ่อนด้อยขั้นเก้าในบรรดาฉีไต้จ้าวของต้าสุย ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ฝีมือการเล่นหมากล้อมของเขาก็ทะยานพรวดขึ้นกลายมาเป็นนักเล่นผู้แข็งแกร่งขั้นเก้าซึ่งเป็นระดับสูงสุดแล้ว (*ผู้เล่นหมากล้อมแบ่งเป็นคนที่ฝีมืออ่อนด้อยและแข็งแกร่ง ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็แบ่งระดับออกเป็นเก้าขั้นเหมือนกัน)
หลี่เอ้อร์มองผู้เฒ่าด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ในร่างของอีกฝ่ายเหมือนถูกกรอกของเหลวสีทองปริมาณมหาศาลลงไปคล้ายคาถาเชิญเทพของปฐมสำนักสองแห่งของสำนักการทหาร แต่ตามหลักแล้วไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นไปได้
หลี่เอ้อร์คร้านจะคิดให้ลึกซึ้ง เพียงผงกศีรษะ “แบบนี้ถึงจะพอใช้ได้”
การต่อสู้ครั้งใหญ่กับซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีในถ้ำสวรรค์หลีจูครานั้นมีหินลับมีดสองก้อน ก้อนหนึ่งคือซ่งจ่างจิ่ง ก้อนที่สองคือตัวของถ้ำสวรรค์หลีจูเอง แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ หลี่เอ้อร์ก็ยังไม่สามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้สำเร็จ กลับกลายเป็นว่าส่งให้ซ่งจ่างจิ้งเลื่อนสู่ขอบเขตสิบในตำนาน เดินเข้าสู่ขอบเขตปลายทางอย่างแท้จริง
หากจะบอกว่าไม่ผิดหวังเลยสักนิด นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นหลี่เอ้อร์จึงรับปากอาจารย์หยางเหล่าโถวว่าจะออกจากบุรพแจกันสมบัติทวีป เพื่อตามหาโอกาสในการพิสูจน์มหามรรคาของตน
ตอนนั้นผู้เฒ่าเอ่ยประโยคหนึ่งที่เป็นการเปิดเผยความลับสวรรค์ว่า “การฝ่าทะลุขอบเขตของเจ้าไม่ได้อยู่ระหว่างความเป็นความตาย”
หลี่เอ้อร์หันมองรอบด้านแล้วพลันกระจ่างแจ้ง
เหตุใดหยางเหล่าโถวต้องบอกให้เขาอำพรางฐานกระดูกและพรสวรรค์ของหลี่ไหว แล้วเหตุใดคืนที่อาจารย์ฉีไปเยี่ยมเยือนถึงบ้านได้พูดประโยคหนึ่งคล้ายชวนคุยเรื่อยเปื่อยตอนดื่มเหล้าว่า “ผู้แข็งแกร่งชักดาบเข้าใส่ผู้ที่แข็งแกร่งกว่า” ตอนนี้มาตอนนึกดู นี่เป็นการแสดงให้รู้ว่าอาจารย์ฉียอมรับในวิถีการต่อสู้ของเขา ตอนนั้นฉีจิ้งชุนชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว เขาหลี่เอ้อร์เดินอยู่บนมหามรรคาใต้ฝ่าเท้าของตัวเองตลอดเวลา เสียดายก็แต่ว่าเขาไม่เคยรู้มาก่อน
ออกหมัดใส่ผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ถูกต้องแล้ว!
ศึกตัดสินเป็นตายกับซ่งจ่างจิ้งในครั้งนั้น เดิมทีหลี่เอ้อร์ก็เป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่แล้ว อันที่จริงปณิธานในการต่อสู้ของเขาไม่สูงมาก เพียงแค่ทำตามคำสั่งของอาจารย์ผู้มีพระคุณเท่านั้น บวกกับที่อยากรู้ว่าฝีมือการต่อสู้ของตนมีมากน้อยแค่ไหนกันแน่ ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขาจึงลงมือต่อสู้อย่างเต็มคราบ ทว่าส่วนลึกในใจหลี่เอ้อร์กลับไม่รู้สึกว่านั่นเป็นการ “ระบายโทสะ” อย่างที่ตัวเองต้องการ
ทว่าวันนี้เขาตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนทั้งต้าสุย หากจะบอกว่าสาเหตุเป็นเพราะต้องการทวงความยุติธรรมให้กับหลี่ไหวบุตรชาย ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เผชิญหน้ากับศัตรูจากทั่วสารทิศ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกรุมล้อมด้วยพยัคฆ์และหมาป่า หลี่เอ้อร์กลับหัวเราะ หัวเราะอย่างเบิกบานใจ
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนยอดเขาตงหัว หลี่เอ้อร์อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร จึงได้แต่เก็บไว้ในใจตัวเองเท่านั้น
ดังนั้นตอนนี้หลี่เอ้อร์ที่เป็นคนไม่เอาถ่านในถ้ำสวรรค์หลีจูมาชั่วชีวิตจึงคิดตกแล้ว ลูกชายของตนว่าง่ายขนาดนี้ แถมยังถูกคนรังแก หากศักยภาพขอบเขตเก้าของเขาที่เป็นบิดาไม่มากพอ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างหัวขอบเขตที่เก้ามันเถอะ ฝ่าไปให้ถึงขอบเขตที่สิบได้ก่อนค่อยว่ากัน!
หลี่เอ้อร์สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง รับสัมผัสกับแรงกดดันไร้รูปลักษณ์ที่มาจากสี่ด้านแปดทิศอยู่เงียบๆ พลางเอ่ยกับตัวเองในใจ “อย่าเพิ่งรีบร้อน ข้าวต้องกินทีละคำ หินลับมีดก้อนนี้ยังไม่หนักมากพอ”
หลี่เอ้อร์ที่ในมือไร้อาวุธ มีเพียงหมัดหนึ่งคู่กับขันทีเฒ่าที่อาศัยปราณมังกรต้าสุยสร้างร่างทองคำ ไม่มีศาสตราวุธแข็งแกร่งใดๆ ในมือเช่นกันเริ่มกระโจนเข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม
วิถีการต่อสู้นั้นสุดโต่ง ไม่มีคำว่ากระบวนท่าลูกไม้ใดๆ ให้ใช้ มีแค่สามคำว่าเร็ว แรงและแม่นยำเท่านั้น ใช้ความเร็วที่มากที่สุด ใช้พละกำลังที่มากที่สุดโจมตีไปยังจุดที่อ่อนแอที่สุดบนร่างของอีกฝ่าย เพื่อลดทอนพลังของกันและกันแบบน้ำซึมลึก ดูว่าใครที่สามารถอดทนได้ถึงท้ายที่สุด ใครยืนอยู่ก็รอด ล้มลงก็ตาย ง่ายดายแค่นี้
ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกซึ่งเป็นขอบเขตเก้าขั้นสูงสุดทั้งสองคน ทุกครั้งที่ออกหมัด หมัดนั้นต่างก็กระแทกลงบนร่างของฝ่ายตรงข้าม ถึงขั้นทำให้ทะเลสาบในหัวใจของผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดที่อยู่บนบริเวณริมขอบของวังหลวงสั่นสะเทือน ลมปราณซัดตลบวุ่นวาย
การประหัตประหารกันระหว่างหลี่เอ้อร์และขันทีผู้สวมชุดคลุมลายงูหลามนับเป็นการต่อสู้ระหว่างเทพเซียนบนภูเขาแล้ว นี่ไม่เหมือนการเข่นฆ่าในยุทธภพที่พลังพิฆาตมีจำกัด อย่าได้คิดจะมาชมเรื่องสนุกใกล้ๆ เด็ดขาด และนี่ก็คือกฎเกณฑ์ข้อหนึ่งที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรของตระกูลเซียนบนภูเขา
ชมเรื่องสนุกก็จริง แต่อาจเอาชีวิตไปทิ้งจริงๆ ส่วนพวกที่คิดจะตบมือร้องให้กำลังใจหรือชี้แนะแนวทางก็ยิ่งเป็นข้อห้ามใหญ่ การทะเลาะเบาะแว้งระหว่างผู้ฝึกลมปราณมักจะต้องโยนสมบัติอาคมออกมา ช้างสารชนกัน ก็ไม่พ้นหญ้าแพรกต้องแหลกลาญ ยิ่งทุ่มสุดชีวิตมากเท่าไหร่ ใช้เคล็ดลับกลยุทธ์มากมายแค่ไหนก็ง่ายที่จะเปลี่ยนจากสมรภูมิรบเดิมไปยังนอกสมรภูมิรบมากเท่านั้น บวกกับที่ว่าหากไม่ทันระวังการต่อสู้ก็จะลุกลามกินรัศมีหลายลี้หลายสิบลี้ สิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้เคียงล้วนไม่มีเหลือ หากยังกล้าละโมบอย่างชมเรื่องสนุก ไม่เรียกว่ารนหาที่ตายจะเรียกว่าอะไร?
การที่ยังมีคนยอมเสี่ยงตายมาชมสุดยอดแห่งการต่อสู้ที่สร้างความเห่อเหิมนี้นั่นเป็นเพราะการเข่นฆ่าของผู้แข็งแกร่งที่เจอกับผู้แข็งแกร่งกว่าสามารถขัดเกลาจิตใจ อาศัยหินบนภูเขาอื่นมากลึงเป็นหยก พยายามชดเชยช่องโหว่เพื่อปรับเปลี่ยนแก้ไขเวทคาถาของตัวเองให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น ไม่ใช่เพื่อวิจารณ์ว่ากระบวนท่านี้สวยงาม หรือหมัดนั้นเหวี่ยงมาอย่างเจ้าเล่ห์
ดังนั้นระหว่างอยู่บนเส้นด้ายแห่งความเป็นความตาย ในฐานะคนเฝ้าประตูของเมืองหลวงต้าสุย ระหว่างที่ออกหมัด ขันทีสูงวัยก็ยังออกกฎข้อหนึ่งกับหลี่เอ้อร์ “ใครพ้นออกจากลานอู่อิง ผู้นั้นคือคนแพ้!”
เห็นได้ชัดว่าพยายามอย่างตั้งใจมากจริงๆ
โชคดีที่หลี่เอ้อร์พยักหน้าตอบรับ
คนทั้งสองอยู่ห่างกันไม่มาก หมัดที่ปล่อยออกมาก่อให้เกิดบรรยากาศยิ่งใหญ่พลิกฟ้าพลิกดิน
ก้อนอิฐที่ปูบนลานกว้างของตำหนักอู่อิงที่เดิมทีรายเรียบเด้งกระดอนปริแตก ร่องลึกตัดสลับกัน ขรุขระเป็นแถบๆ
แม้แต่กำแพงสีชาดสองฝั่งก็เกิดเป็นหลุมโพรงขนาดใหญ่หลายสิบหลุม ด้านหลังของหลี่เอ้อร์มีแค่สี่ห้าหลุม ทว่ากำแพงสูงด้านหลังขันทีขุดงูหลามกลับเกิดรอยปริร้าวมากกว่า มีอยู่จุดหนึ่งที่เป็นสามหลุมใหญ่เชื่อมต่อกัน เป็นเหตุให้ผนังแทบนั้นล้มครืนลงมาคล้ายเปิดประตูบานใหญ่ ทุกครั้งคนทั้งสองต่างก็ไม่ถอยออกไปจากกำแพงสูงอย่างแท้จริง นี่จึงหมายความว่ายังไม่รู้ผลแพ้ชนะ ยังต้องสู้กันต่อ!
แม้ว่าขันทีสูงวัยจะตกเป็นรองไม่น้อย แต่ยิ่งพบอุปสรรคเขาก็ยิ่งกล้าหาญ ไม่มีท่าทางทดท้ออาลัยแม้แต่น้อย ชุดคลุมงูหลามสีแดงสดอันเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจยิ่งขาดวิ่น ทว่าร่างทองคำมิพ่ายที่ยากจะทำลายนั้นกลับไม่มีลางว่าจะหม่นมัวลงแม้แต่น้อย เพราะจะอย่างไรซะการต่อสู้ในที่แห่งนี้ นับว่าฟ้าอำนวยดินอวยพรต่อขันทีของต้าสุยท่านนี้ ไม่เพียงแต่เปลี่ยนจากอ่อนด้อยขั้นเก้าเป็นแข็งแกร่งขั้นเก้า อีกทั้งปราณมังกรในวังหลวงที่เชื่อมโยงกับโชคชะตาแคว้นต้าสุยอย่างแนบแน่นยังมารวมตัวกันไม่ขาดสาย ทำให้ผู้เฒ่ายืนหยัดมิพ่ายแพ้
หมัดแลกหมัดแบบเน้นๆ หมัดหนึ่งของผู้เฒ่าร่างทองต่อยลงบนหน้าผากของหลี่เอ้อร์ หมัดของหลี่เอ้อร์ก็กระแทกลงบนหน้าอกของผู้เฒ่า
ร่างของหลี่เอ้อร์กระเด็นออกไป เท้าเหยียบลงบนกำแพงสูง อาศัยแรงสะท้อนดีดตัวกลับ พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม ผนังด้านหลังถล่มครืนลงมาแถบใหญ่ ขันทีเฒ่าที่ก่อนหน้านี้เจอกับหมัดนั้นถอยกรูดไปด้านหลัง ยิ่งไถลลื่นเท้าทั้งสองข้างก็ยิ่งกดลึกลงบนพื้น ไถครูดให้เกิดร่องลึกเส้นหนึ่งที่ยาวหลายสิบจั้ง เมื่อหลี่เอ้อร์กระโจนเข้ามาอีกครั้งจึงได้แต่ยกแขนสองข้างบังศีรษะ
หมัดนี้ของหลี่เอ้อร์ต่อยให้ร่างของผู้เฒ่าจมลึกลงไปในดินอีกสองจั้งกว่า บนพื้นจึงกลายเป็นหลุมใหญ่
หลี่เอ้อร์ยังไม่เลิกรา เขากระโดดตัวขึ้นสูง กำมือสองข้างแน่นแล้วควงหมัดแสกหน้าขันทีเฒ่าที่กึ่งคุกเข่าอยู่ใต้หลุม
ปังๆๆ!
ในหลุมใหญ่เกิดเสียงทึบหนักดังเป็นระลอก ถี่กระชั้นดั่งเสียงกีบม้าของกองทัพม้าเหล็กที่เหยียบลงบนพื้นดิน
ทุกครั้งที่แรงสั่นสะเทือนส่งมาจากใต้ดิน หลุมใหญ่ก็เริ่มขยายขนาด พื้นผิวหน้าดินมีสะเก็ดก้อนอิฐปลิวว่อนไม่หยุด
ชายฉกรรจ์ที่ป่าเถื่อนอย่างถึงที่สุดผู้นั้นทำราวกับว่ากำลังขุดบ่ออย่างไรอย่างนั้น!
หมัดของเขาต่อยจนผู้เฒ่าไม่เหลือแรงตอบโต้ ร่างจมดิ่งสู่ด้านล่าง แสงทองทั่วกายระเบิดแตกต่อเนื่อง
มีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบคนหนึ่งขี่กระบี่มากลางอากาศ ยิ้มเจื่อนเอ่ยขึ้น “เพิ่งรู้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าขั้นสูงสุดไร้เหตุผลได้ถึงขนาดนี้”
ระหว่างที่พูดกระบี่บินใต้ฝ่าเท้าของเขาก็ส่ายไหวน้อยๆ ประหนึ่งต้นไม้น้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวที่ส่ายสะบัด หากไม่เป็นเพราะคนคุมหางเสือมือนิ่งมากพอก็คงลอยล่องไปไกลแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะมีหน้าที่ที่ต้องทำ การช่วงชิงบนวิถีวรยุทธ์ไม่มีประโยชน์ใดๆ ต่อผู้ฝึกลมปราณชั้นเอกที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วราชสำนักอย่างเขา มีหรือที่เขาจะต้องพาตัวมาลำบากที่นี่
วังหลวงต้าสุยมีระเบียงผนังแห่งหนึ่งที่ซุกซ่อนความลี้ลับเอาไว้ สามารถใช้ช่องทางลับเดินทางไปยังที่ใดก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นสำนักโหราศาสตร์ ที่ว่าการหกกรม รวมไปถึงสำนักศึกษาซานหยาแห่งใหม่บนภูเขาตงหัว ฯลฯ ฮ่องเต้ต้าสุยสามารถเดินเข้าไปในระเบียงผนังแห่งนี้โดยไม่สร้างความแตกตื่นให้กับขุนนางในวังหลวงและชาวบ้านนอกวัง หลีกเลี่ยงไม่ให้ชาวบ้านต้องทำความสะอาดกวาดถนนทุกครั้งที่เขาออกนอกวัง
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ตรงเอวห้อยไม้บรรทัดสีแดงคนหนึ่งก้าวเดินเนิบช้า ข้างกายมีขันทีผู้ถือพู่กันดูแลงานด้านเอกสารที่หน้าผากมีเหงื่อซึมคนหนึ่ง เขาเองก็สวมชุดคลุมลายงูหลามสีแดงสดเหมือนขันทีที่กำลังต่อสู้เพื่อบ้านเมืองบนลานกว้างตำหนักอู่อิงผู้นั้น เพียงแต่ว่าสถานะและระดับขั้นของคนทั้งสองนั้นต่างกันราวก้อนเมฆกับดินโคลน
ขันทีผู้ถือพู่กันได้แต่เร่งให้เหมาเหล่ารีบเข้าวังอย่างระมัดระวังอีกครั้ง ทว่าแม้ปากของเหมาเสี่ยวตงที่เดินทางออกจากภูเขาตงหัวจะตอบรับ ทว่าฝีเท้ากลับยังคงไม่รีบไม่ร้อน ทำเอาขันทีร้อนรุ่มกระวนกระวายใจ นึกอยากจะแบกผู้เฒ่าวิ่งกลับไปยังวังหลวงเสียเดี๋ยวนี้
ในสำนักศึกษาซานหยาบนภูเขาตงหัว หลังออกมาจากยอดเขา เด็กหนุ่มชุดขาวทีเปลี่ยนชื่อเป็นชุยตงซานอย่างเป็นทางการก็เดินไปยังหอพักของตัวเองอย่างเกียจคร้าน เขาได้ครอบครองเรือนขนาดเล็กเงียบสงบเป็นส่วนตัวแห่งหนึ่ง ตอนนี้เขาที่ไปทะเลาะกับคนอื่นได้ตัวตนบรรพบุรุษตระกูลชุยมา เด็กสาวเซี่ยเซี่ย หรือก็คือเซี่ยหลิงเยว่นักพรตผู้มีพรสวรรค์ของราชวงศ์สกุลหลูจึงกลายมาเป็นลูกศิษย์ของเขาอย่างถูกต้องสมเหตุสมผล และได้ย้ายมาพักอยู่ที่เรือนเพื่อคอยปรนนิบัติรับใช้เขา
ชุยตงซานเดินเข้าไปในลานบ้าน สะบัดชายแขนเสื้ออย่างสง่างาม บนโต๊ะหินก็มีกระดานหมากล้อมและเม็ดหมากล้อมสองกล่องปรากฎขึ้น บนกระดานหมากมีเม็ดหมากวางไว้ก่อนแล้ว หมากขาวและดำตัดสลับกันไม่เป็นระเบียบ สถานการณ์ซับซ้อนอย่างยิ่ง
ชุยตงซานคีบหมากสีขาวเม็ดหนึ่งขึ้นมา นิ่งคิดไม่พูดจา ถือค้างไม่ยอมวางลง
เด็กสาวที่ตะปูขังมังกรในร่างถูกเอาออกไปครึ่งหนึ่ง ตบะของผู้ฝึกลมปราณได้กลับคืนสู่ขอบเขตห้าแล้ว หากเพ่งมองอย่างละเอียดก็ยังพอจะมองเห็นได้ว่าทั่วร่างของนางมีประกายแสงไหลวน
ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที วางหมากสีขาวกลับลงไปในกล่องใส่เม็ดหมาก ไม่สนใจจะเล่นหมากอีกต่อไป เดินเข้าไปในห้อง นั่งลงเรียบร้อยสำรวม วางคัมภีร์ของลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งไว้ตรงหน้า นิ้วทั้งสิบของสองมือสอดประสานวางไว้หน้าตัก
มีลมเย็นพัดผ่านตำรา เปิดหน้าหนังสือที่เหลืองเก่าคร่ำคร่าออก
เด็กสาวเซี่ยเซี่ยยืนอยู่หน้าประตู สายตามีทั้งความเคารพเกรงกลัวและความอิจฉา
ลมเย็นขุมนั้นก็คือลมเปิดหน้าหนังสือที่มีเฉพาะในสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ
ลึกล้ำไม่อาจคาดการณ์ แปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้
นี่คือความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหลังผ่านการสังเกตการณ์ที่นางและอวี๋ลู่มีต่อราชครูต้าหลีที่อยู่ในหนังหุ้มกายเป็นเด็กหนุ่ม
เจ้าไม่มีทางรู้เลยว่าในหัวเขาคิดอะไรอยู่ ก้าวถัดไปจะทำอะไร
นางพลันนึกถึงเด็กหนุ่มจากตรอกยากจนที่สวมรองเท้าแตะตลอดปีชาติ เขาทำอย่างไรถึงสามารถสยบราชครูต้าหลีผู้นี้ได้ทุกจุด? เพียงแค่อาศัยตำแหน่งอาจารย์ที่ได้มาครอบครองอย่างประหลาดอย่างเดียวเท่านั้นจริงๆ น่ะหรือ?
การแข่งขันทางจิตใจประหนึ่งการแข่งชักคะเย่อ ต้องมีคนที่แพ้หรือชนะ
ชุยตงซานนั่งนิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้ลมเปิดหน้าหนังสือพลิกเปิดหน้าตำรา ก้มหน้าจ้องมองตัวอักษรอันเป็นคำสอนของอริยะและนักปราชญ์เหล่านั้นเขม็ง แล้วกล่าวพลางอมยิ้ม “อาเหลียงเคยมีคำพูดติดปากประโยคหนึ่งบอกว่า ‘อยู่ในยุทธภพ พวกเราต้องใช้คุณธรรมสยบใจคน ใช้หน้าตาเอาชนะศัตรู’ อาจารย์ของข้าได้รับการสืบทอดมาทั้งหมด ดังนั้นข้าที่เป็นลูกศิษย์จึงยอมศิโรราบด้วยความปลื้มปิติ”
เด็กสาวหลุบตาลงต่ำ ไม่กล้าเปิดเผยแววตาของตัวเองอีก
ชุยตงซานพูดเสียงขุ่นโดยที่ยังคงไม่เงยหน้า “นังอัปลักษณ์ไสหัวไปไกลๆ มาอยู่ร่วมห้องกับเด็กหนุ่มหล่อเหลาสง่างามเช่นข้า ไม่ทำให้เจ้ารู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือ? หากข้าเป็นเจ้าคงฆ่าตัวตายด้วยความอับอายไปนานแล้ว!”
เด็กสาวยอบตัวคารวะ เอ่ยเสียงแผ่ว “บ่าวขอตัว”
ชุยตงซานเอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค “จะตายก็อย่ามาตายในบ้าน บนยอดเขามีต้นอิ๋นซิ่งสูงใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ไปผูกคอตายที่โน่น”
เด็กสาวจากไปอย่างหม่นหมอง นางเดินไปนั่งลงบนม้านั่งหิน มองกระดานหมากแล้วดวงตาพลันเป็นประกายราวกับหาทางรอดในการมีชีวิตอยู่เจอ
สัมผัสได้ถึงคลื่นลมปราณที่ผิดปกติของเด็กสาว ชุยตงซานที่อยู่ในห้องหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังจนต้องรีบเอามือกุมท้อง เช็ดคราบน้ำตาพลางพูดเสียงดัง “คนอย่างเจ้าเนี่ยนะคิดจะเป็นอาจารย์แม่ของข้า? ข้าผู้อาวุโสจะหัวเราะตายเพราะเจ้าแล้วนะเนี่ย ถือว่าเจ้าร้ายกาจ จะทำให้คุณชายของเจ้าหัวเราะตายจริงๆ …”
เด็กสาวพลันรู้สึกสิ้นหวังอีกครั้งในชั่วพริบตา
เด็กหนุ่มชุดขาวที่อยู่ในห้องกลับขำกลิ้งไม่เลิก
—–